1 พ.ค. 2022 เวลา 12:00 • ประวัติศาสตร์
นางในอินเดีย : ผู้หญิงที่ถูกลืม
ถ้าพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับนางใน หรือนางสนม หลายคนน่าจะนึกถึงประวัติศาสตร์จีนที่ฮ่องเต้ในวัง มักจะมีเมีย หรือนางสนมหลายคนไว้เพื่อหลับนอนด้วยบ้าง หรือเพราะเสน่หาบ้าง บางคนอาจจะนึกไปถึงวัฒนธรรมของทางออตโตมันหรือตุรกี ที่สุลต่านมักจะมีฮาเร็มที่เต็มไปด้วยสาวสวย ที่คอยทำหน้าที่บำเรอกษัตริย์ หรือแม้กระทั่งในประเทศไทยเอง ที่ในประวัติศาสตร์ก็มีนางใน หรือนางสนมรับใช้ในวังมากมายหลายคน
นางสนมในพระราชวังของจีน (Source: irishtimes.com)
และแน่นอนนางในหรือนางสนมหลายคน ต่อมาก็ได้กลายมาเป็นผู้ที่มีอำนาจและอิทธิพลทางการเมือง ด้วยความชาญฉลาด เก่งกาจ และมีไหวพริบของพวกเธอ ไม่ว่าจะเป็นพระนางชูสี ไทเฮา หรือพระนางบูเช็กเทียนของจีน หรือ สุลตาน่าเฮอร์เรม แห่งอาณาจักรออตโตมัน เป็นต้น
พระนางชูสี ไทเฮา ที่ไต่เต้าจากตำแหน่งนางสนม สู่คนที่มีอำนาจสูงสุดของจีน (Source: wikipedia)
แต่ถ้าพูดถึงประวัติศาสตร์ของอินเดีย เรื่องของนางในในวัฒนธรรมนี้ถูกเขียนเอาไว้น้อยมาก เพราะความที่อินเดียเป็นวัฒนธรรมที่เคร่งศาสนา และชายเป็นใหญ่ ทำให้บันทึกของพวกเธอมีไม่มากนัก ซ้ำร้าย เมื่ออังกฤษเข้ามาล่าอาณานิคมในประเทศอินเดีย พวกเธอยังถูกตราหน้าว่าเป็นหญิงไม่ดี ที่คอยสร้างความเสื่อมเสียให้กับสังคม พวกเขาพยายามลบพวกเธอออกไปจากหน้าประวัติศาสตร์ ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้วพวกเธอคือส่วนสำคัญที่ทำให้อินเดียเป็นอินเดียในทุกวันนี้
จริง ๆ แล้วเรื่องราวของพวกเธอคืออะไร พวกเธอคือตราบาปแห่งสังคมจริงหรือไม่ เรื่องราวของพวกเธอ ได้ทิ้งอะไรไว้ให้กับสังคมอินเดียบ้าง วันนี้ Kang’s Journal ขอพาทุกคนไปรู้จักกับเรื่องราวของนางในอินเดียกันครับ
ภาพวาดของนางในอินเดีย ในอิริยาบถสวยงาม (Source: scroll.in)
นางในอินเดียคือใคร
ถ้าพูดถึงคอนเซปต์ของคำว่านางในในประเทศอินเดีย มีบันทึกเขียนถึงพวกเธอเป็นครั้งแรกประมาณ 8 ปีก่อนคริสตกาล แม้กระทั่งในพงศาวดารของทางศาสนาพุทธก็มีการเขียนถึงพวกเธอเอาไว้เช่นกัน
ถ้าคุณคิดว่านางในอินเดียคือผู้หญิงขายบริการ ที่จะต้องปรนเปรอผู้ชายในด้านกามกิจ เพื่อแลกกับเงินเป็นหลักนั้น ขอบอกว่าพวกคุณคิดผิด เพราะนั่นคือนิยามของโสเภณี ไม่ใช่นางใน
ภาพวาดนางในอินเดียในปี 1880 (Source: Pinterest)
เหล่าบรรดานางในคือผู้หญิงที่มีชีวิตไม่เหมือนกับหญิงคนอื่น พวกเธอจะต้องเรียนรู้ศิลปะวัฒนธรรมต่าง ๆ ของท้องถิ่นให้ลึกซึ้ง จะต้องได้รับการอบรมกิริยามารยาทที่งดงาม สามารถอ่านออกเขียนได้ และมีความรู้ทักษะรอบด้าน
หน้าที่หลักของพวกเธอคือการให้ความบันเทิงกับเหล่าบรรดากษัตริย์ ขุนนาง และชนชั้นสูง หรือ "ผู้อุปถัมภ์" ที่มีเงินมากพอที่จะสามารถจ่ายค่าตัวพวกเธอได้ ลักษณะใกล้เคียงกับเกอิชาของญี่ปุ่นนั่นเอง
1
หน้าที่หลักของนางในอินเดียคือการให้ความบันเทิงกับผู้อุปถัมภ์ของพวกเธอ (Source: amazon.in)
ดังนั้นนางในอินเดีย ไม่ใช่นางสนมที่ทำงานในวัง หรือเมียน้อยของพระมหากษัตริย์แต่อย่างใด พวกเธอคือบรรดาหญิงสาวที่ให้ความบันเทิงทางศิลปะวัฒนธรรมให้กับชนชั้นสูง ซึ่งแน่นอนถ้ากษัตริย์เกิดถูกตาต้องใจนางในคนไหน ก็สามารถเรียกพวกเธอเข้าไปประจำการในพระราชวังได้เช่นกัน และบางคนก็อาจจะได้รับการโปรโมทเป็นนางสนม หรืออาจจะได้รับตำแหน่งราชินีเลยด้วยซ้ำ
1
นอกจากนี้พวกเธอยังมีอาชีพเสริมอีกอย่างหนึ่งคือ การเป็นครู แต่เป็นครูสอนวิชากิริยามารยาทชั้นสูง และการเรือนให้กับบรรดาลูกสาวของชนชั้นสูงของอินเดีย รวมไปถึงสอนมารยาททางสังคม และการปฏิบัติตนต่อผู้หญิงให้กับเด็กผู้ชายด้วย
1
และสิ่งที่หลายคนสงสัยคือเรื่องของเพศ พวกเธอขายบริการทางเพศหรือไม่ จากบันทึกต่าง ๆ ระบุว่าไม่ได้มีการกำหนดว่าเหล่าบรรดานางในจะต้องหลับนอนกับชายใด แต่เรื่องการขายบริการนั้นย่อมมีการเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ซึ่งก็เป็นการตกลงปลงใจกันระหว่างสองฝ่าย และเรื่องนี้นี่เองที่เป็นเรื่องที่ทำให้ชีวิตของพวกเธอต้องประสบกับปัญหาตอนที่อังกฤษเข้ามาปกครองอินเดีย
ภาพวาดนางในอินเดีย (Source: http://levekunst.com)
นางในมีกี่ประเภท
อย่างที่ได้กล่าวไปว่าต้องแยกให้ชัดเจนก่อนระหว่างคำว่านางใน และโสเภณี เพราะในอินเดียนั้นมีหญิงที่ทำอาชีพโสเภณีอยู่จริง และพวกเธอก็ไม่ถือว่าเป็นนางใน
นางในประเภทแรกก็คือเหล่าบรรดานางสนมของกษัตริย์ และขุนนาง ซึ่งก็เหมือนกับหลาย ๆ ประเทศที่พวกเธอจะต้องได้รับการขัดเกลามารยาท และสอนทักษะต่าง ๆ ก่อนที่จะเข้ามาถวายตัวในวัง บางคนอาจจะเข้ามาตั้งแต่เด็ก หรือบางคนอาจจะเป็นนางในที่ไปถูกตาต้องใจกษัตริย์ และถูกเชิญเข้ามาประจำการในวังก็ได้
นางในประเภทแรกคือ นางในที่มีหน้าที่ให้ความบันเทิงกับกษัตริย์ในวัง (Source: https://www.madamegilflurt.com)
อย่างที่สองคือเหล่าบรรดานางในที่ไม่ได้ทำงานในพระราชวัง ไม่ได้เป็นนางสนมของกษัตริย์หรือขุนนาง พวกเธอคือนางในอิสระ ที่ทำงานไม่ขึ้นตรงกับใคร หรืออาจจะทำงานภายใต้การอุปถัมภ์ของเศรษฐีหรือชนชั้นสูงบางคนในสังคม พวกเธออาจจะเป็นส่วนหนึ่งของ “บ้าน” ที่เรียกว่า "Kotha" ซึ่งก็จะผู้ที่ทำหน้าที่เหมือนกับมาม่าซัง ที่คอยจัดคิวให้เหล่าบรรดานางในเหล่านี้ออกไปให้ความบันเทิงกับแขก คล้าย ๆ กับวัฒนธรรมเกอิชาของญี่ปุ่นเช่นกัน
นางในอิสระ มักจะอาศัยรวมกันในบ้าน หรือ "Kotha" (Source: wikipedia.org)
ส่วนที่สามที่คนมักจะเอามารวมกับนางใน ทั้ง ๆ ที่พวกเธอไม่ใช่นางในก็คือโสเภณี ซึ่งก็จะมีหลายประเภทด้วยกัน อย่างเช่น Vandhaki คือแม่บ้านที่ขายตัว เพื่อนำเงินมาเลี้ยงสามีและครอบครัว ใช่แล้วครับ ขายตัวโดยที่สามีก็รู้ว่าเธอทำอาชีพขายตัว หรือ Randa ซึ่งจะเป็นผู้หญิงที่มีอายุมากหน่อย มักจะปลอมตัวเป็นผู้แสวงบุญ เพื่อขายบริการในศาสนสถานต่าง ๆ
2
กลับมาเรื่องของนางในกันบ้าง ว่ากันว่านางในจะถูกจัดออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ ได้แก่ Rupajiva ซึ่งจะเป็นผู้หญิงที่ได้รับการยกย่องว่าสวย มีเสน่ห์ยั่วยวน ส่วนอีกประเภทคือ Ganika (ที่มาของคำว่า คณิกา ในภาษาไทย) ซึ่งนางในประเภทนี้แหละที่นอกจากจะต้องสวย รวยเสน่ห์แล้ว พวกเธอคือตัวท๊อปของบรรดานางใน เพราะพวกเธอจะต้องมีความรู้แตกฉานในด้านต่าง ๆ มากมาย และเหล่าบรรดา Ganika นี่เองที่เป็นที่หมายปอง และมักจะได้รับการอุปถัมภ์โดยกลุ่มชนชั้นสูง
1
หญิง Ganika คือนางในที่เพียบพร้อมด้วยหน้าตา และทักษะ และเป็นที่ต้องการมากที่สุดของชายทั้งปวง (Source: https://www.madamegilflurt.com)
ในแต่ละภูมิภาคก็จะมีการเรียกชื่อนางในที่แตกต่างกันไป อย่างทางอินเดียตอนเหนือจะเรียกพวกเธอว่า Tawaif ในเขตเบงกอลพวกเธอจะถูกเรียกว่า Banji และถูกเรียกว่า Naikin ในเมืองกัว แต่ไม่ว่าจะถูกเรียกชื่อว่าอย่างไร พวกเธอคือนางในที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะวัฒนธรรมของอินเดียแทบทุกแขนง นอกจากนี้ยังมีนางในที่มีชื่อว่า Devadasis (ลูกสาวของเทวี) ที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องของการร้องทำเพลงเพื่อสรรเสริญพระเจ้า ในวัดของฮินดูอีกด้วย
ภาพวาดของนางในอินเดีย ในท่าร่ายรำสวยงาม (Source: amazon.in)
นางในที่ดี ต้องมีทักษะอะไร
การเป็นนางในชั้นสูงนั้นไม่ได้เป็นกันง่าย ๆ พวกเธอจะต้องได้รับการอบรมเลี้ยงดูมาตั้งแต่เด็ก หลายคนมาจากครอบครัวชั้นสูง หลายคนคือบรรดาลูกสาวของนางในเอง บางคนอาจจะเป็นลูกของบรรดาเชลยศึกที่เกิดเข้าตาผู้ฝึกนางใน โดยทักษะทั้งหมดที่พวกเธอต้องเรียนรู้นั้นมีมากถึง 72 ทักษะเลยทีเดียว
โดยมากแล้วพวกเธอจะต้องได้รับการฝึกฝนมาตั้งแต่ยังเด็ก โดยจะเริ่มเข้ามาฝึกฝนกับเหล่าบรรดานางในรุ่นพี่ตั้งแต่อายุ 5-7 ปี จากนั้นก็เริ่มทำการแสดงกับรุ่นพี่ตอนที่อายุ 10-12 ปี และเก็บเกี่ยวประสบการณ์ไปเรื่อย ๆ
แน่นอนว่าทักษะการร้องรำทำเพลงคือส่วนสำคัญ แต่ทักษะอื่น ๆ ก็มีความสำคัญมากเช่นกัน ตัวอย่างเช่น พวกเธอต้องเรียนรู้การอ่านเขียน การแต่งกาพย์กลอน การวาดภาพ งานเย็บปักถักร้อย งานดนตรี และการปรุงอาหาร ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็ดูเหมือนทักษะทั่วไปที่สตรีชั้นสูงที่ดีควรจะมีติดตัวไว้
การเล่นหมากรุกเป็นหนึ่งในทักษะที่เหล่าบรรดานางในต้องเรียนรู้ (Source: Pinterest)
แต่ไม่ใช่แค่นั้นพวกเธอต้องเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์ และหมากรุก เพื่อให้สามารถพูดคุยกับเหล่าบรรดาชายฉกรรจ์ได้อย่างไม่ขัดเขิน การทำน้ำหอมและเครื่องสำอาง เพื่อที่จะใช้ประทินผิวและดูแลตนเอง การขี่และควบคุมม้า การตั้งแคมป์ เพื่อที่จะสามารถออกเดินทางไปกับผู้ชายได้ แม้กระทั่งการฟันดาบเบื้องต้น พวกเธอก็ต้องเรียนด้วยเช่นเดียวกัน และวิชาที่สามารถมัดใจคนทุกเพศทุกวัยได้ไม่เสื่อมคลายนั่นก็คือการดูดวง
ทักษะการเล่นดนตรี การร้องทำเพลง และขี่ม้า คือทักษะที่เหล่าบรรดานางในต้องเรียนรู้ (Source: christies.com)
หลายคนพัฒนาทักษะของตนเองไปไกล ถึงขนาดที่สามารถคุยเรื่องการเมือง การทหาร และสามารถแยกแยะศิลปะหรืองานวรรณกรรมที่ดี ออกจากสิ่งที่ไม่ดีได้ ในสังคมที่สตรีเพศถูกกดขี่ และถูกมองว่าเป็นภาระของครอบครัว ถึงขนาดมีคำพูดที่ว่า “บ้านไหนมีลูกสาว ก็เหมือนกับมีอุจจาระแขวนไว้หน้าบ้าน” เนื่องจากในสังคมอินเดียเมื่อแต่งงาน ฝ่ายหญิงคือผู้ที่ต้องจ่ายค่าสินสอดให้กับฝ่ายชาย บรรดานางในเหล่านี้คือผู้หญิงอินเดียที่ได้รับการศึกษาสูงที่สุด มีความรู้ความสามารถมากที่สุดในบรรดาสตรีอินเดียทั้งปวง พวกเธอคือตัวแทนของมารยาทและศิลปะวัฒนธรรมอันงดงามของอินเดีย และที่สำคัญพวกเธอคือกลุ่มผู้หญิงไม่กี่คนที่สามารถอ่านออกเขียนได้ ในขณะที่ผู้หญิงอินเดียส่วนใหญ่ในยุคนั้นไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้จับต้องหนังสือ
ภาพวาดของนางในอินเดีย ในสมัยราชวงศ์โมกุล (Source: Pinterest)
นางในกับเรื่องเล่าแซ่บ ๆ
นางในได้รับความนิยมเรื่อยมา แต่ยุคที่รุ่งเรืองที่สุดของพวกเธอคือในตอนท้าย ๆราชวงศ์โมกุล และหลังจากที่ราชวงศ์ล่มสลาย พวกเธอก็ย้ายจากกรุงเดลี มายังรัฐ Oudh แถบเมืองลัคเนาวด์ในปัจจุบันแทน ซึ่งตรงกับช่วงประมาณปลายศตวรรษที่ 18 จนถึงต้นศตวรรษที่ 19 โดยเฉพาะนางในที่อยู่ทางตอนเหนือของอินเดียที่เรียกว่า Tawaif ยุคนี้คือยุคที่อินเดียเติบโตถึงขีดสุด ศิลปะวิทยาการได้รับการพัฒนาไปไกล เศรษฐกิจเจริญก้าวหน้า การค้าขายเป็นไปอย่างคล่องตัว ทำให้เกิดเศรษฐีใหม่ขึ้นมามากมาย และเงินทองจากคนเหล่านี้ก็มากพอที่จะช่วยอุปถัมภ์ค้ำจุนเหล่าบรรดานางในให้อยู่ดีกินดี และพัฒนาทักษะทางด้านต่าง ๆ ยิ่งขึ้นไปอีก
นางในหลายคนกลายมาเป็นนักประพันธ์ชื่อดัง โดยได้มีการแต่งร้อยแก้วร้อยกรองมากมาย ที่ปัจจุบันได้รับการจัดให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมของอินเดีย เช่น ในช่วงของอาณาจักรวิชัยนคร ในยุคปี 1336-1646 มีวรรณกรรมประเภทหนึ่งได้รับความนิยมมาก โดยเนื้อเรื่องจะเป็นการบอกเล่าถึงพระกฤษณะ ที่แปลงกายลงมาแอบดูเหล่าบรรดานางใน และเกิดเป็นความรักต้องห้ามขึ้น บางเรื่องราวเป็นเรื่องของพระกฤษณะที่ลงมาจีบบรรดาเหล่านางใน แล้วทิ้งพวกเธอไปอย่างไม่ไยดี บางเรื่องราวบรรยายถึงกิจกรรมบนเตียงอันเร่าร้อนของพวกเธอกับพระกฤษณะ และการที่พวกเธอ "เจ็บ" มากหลังจากกิจกรรมเหล่านั้น บางเรื่องราวเป็นเรื่องราวที่นางในปฏิเสธการเกี้ยวพาราสีของพระกฤษณะ วรรณกรรมเหล่านี้ถือเป็นวรรณกรรมอีโรติคเรื่องแรก ๆ ของโลกเลยทีเดียว
ภาพจากวรรณกรรมที่แต่งโดยเหล่าบรรดานางใน เกี่ยวกับพระกฤษณะและชีวิตของพวกเธอ (Source: https://feminisminindia.com)
ทีนี้เราลองมาฟังเรื่องเล่าแซ่บ ๆ ของเหล่าบรรดานางในกันบ้างดีกว่า แน่นอนว่าเรื่องความรักของพวกเธอต้องน่าสนใจไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าใคร แม้จะมีคำเตือนจากวัทสยานะ ซึ่งเป็นนักปรัชญาชาวอินเดีย ผู้แต่งหนังสือกามา สูตราอันโด่งดังว่า “นางในที่ดีควรจะต้องใส่ใจเรื่องเงิน มากกว่าเรื่องของความรัก มิฉะนั้นจะต้องเจ็บตัวในอนาคตอย่างแน่นอน” ซึ่งคำสอนนี้จริง ๆ ปัจจุบัน ก็อาจจะจริงอยู่ก็ได้….มั้ง?
ก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนว่าด้วยหน้าตาอันสะสวย เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ของพวกเธอ รวมถึงกิริยามารยาทอันงดงาม ประกอบกับความรู้ และทักษะ ทำให้นางในเป็นที่หมายปองของเหล่าบรรดาชายฉกรรจ์เป็นอย่างมาก พวกเธอคือผู้หญิงที่ไม่น่าเบื่อ ทั้งทำงานบ้านได้ ในขณะที่สามารถถกเรื่องการเมือง และทำกิจกรรมต่าง ๆ กับสามีของพวกเธอได้ ดังนั้นหัวกะไดของพวกเธอเลยไม่เคยแห้งกันเลยทีเดียว
ภาพของคณะนางใน ที่กรุงเดลี (Source: Pinterest)
ในอาณาจักรวิชัยนคร พระเจ้ากฤษณะเทวา ซึ่งถือเป็นจักรพรรดิที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่งของประวัติศาสตร์อินเดีย ก็เป็นลูกของกษัตริย์และนางในคนโปรด จริง ๆ แล้วด้วยฐานะอันต่ำต้อย พระองค์ไม่ควรได้ขึ้นครองราชย์ด้วยซ้ำ แต่พี่ชายต่างมารดาของพระองค์เป็นคนที่กำหนดให้พระองค์เป็นผู้สืบทอดราชบัลลังก์ต่อเอง
แต่เรื่องที่น่าสนใจคือสมัยที่พระองค์เป็นหนุ่ม พระองค์ไปตกหลุมรักนางในคนหนึ่งนามว่า ชินเทวี (Chinnadevi) เธอมีหน้าตาสะสวย และมีความสามารถด้านการร้องรำทำเพลงเป็นอย่างมาก พระองค์ตกหลุมรักเธออย่างหัวปักหัวปำ และพระองค์สัญญากับเธอว่าวันหนึ่งจะแต่งงานกับเธอ
พระเจ้ากฤษณะเทวา เจ้าผู้ครองอาณาจักรวิชัยนคร (Source: https://www.ancient-origins.net)
แต่เมื่อพระองค์ได้ขึ้นครองราชย์ การจะเอานางในที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้า แถมยังมาจากวรรณะที่ต่ำต้อย มาเป็นคู่ครองย่อมเป็นเรื่องที่รับไม่ได้ แต่นั่นย่อมไม่ใช่อุปสรรคที่จะขวางกั้นพระองค์ ทุกคืนหลังจากเสร็จกิจธุระ พระองค์จะแต่งกายในชุดนักบวช แอบย่องหนีออกจากพระราชวังไปหาชินเทวีคนสวย จนกระทั่งวันหนึ่งพระองค์โดนเสนาบดีจับได้ และได้รับคำสั่งให้เลิกยุ่งกับนางในผู้แสนต่ำต้อยคนนี้ซะ พระองค์ถูกบังคับให้แต่งงานกับเจ้าหญิงจากต่างเมืองแทน ส่วนชินเทวีก็ถูกสั่งให้เดินทางออกไปจากเมือง และต้องเร่ร่อนเปิดการแสดงไปตามอาณาจักรต่าง ๆ
พระองค์กินไม่ได้ นอนไม่หลับที่ไม่ได้พบเจอกับคนรักของพระองค์ อาการอกหักของพระองค์เรียกความเห็นใจจากเหล่าบรรดาเสนาบดีได้เป็นอย่างดี เสนาบดีคนแล้วคนเล่าค่อย ๆ ยอมถอยให้กับความรักครั้งนี้ จนในที่สุดพระองค์ก็ได้อภิเษกสมรสกับชินเทวี ทำให้เธอได้กลายมาเป็นราชินีที่ได้รับการยกย่องให้เกียรติสูงสุด และพระองค์ก็ได้ขยายอาณาจักรของพระองค์ออกไปได้อย่างกว้างใหญ่ไพศาล
เรื่องราวของชินเทวี ที่ถูกนำมาแต่งเป็นนิยาย (Source: https://www.amazon.in)
ส่วนนางในอีกคนที่มีชื่อเสียงคือ Bani Thani ซึ่งมีความหมายว่าหญิงผู้แต่งตัวดี เธอเป็นนางในที่มีความสามารถในการขับร้องเป็นอย่างมาก และได้รับการทาบทามให้เข้ามาทำงานในพระราชวังในเมือง Kishangarh ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรราชปุต ทางตอนเหนือของอินเดีย
เสียงอันไพเราะและหน้าตาของเธอสามารถมัดใจมหาราชา Samant Singh ได้สำเร็จ ในตอนแรกเธอเป็นเพียงแค่นางสนมอันดับท้าย ๆ แต่ตอนหลังด้วยเสน่ห์ของเธอ ทำให้เธอกลายมาเป็นราชินีที่เคียงคู่บัลลังก์ของกษัตริย์ในที่สุด
ในปัจจุบันภาพวาดที่มีชื่อว่า Bani Thani ได้รับการขนานนามว่าเป็น โมนาลิซ่าแห่งอินเดีย และภาพของนางในผู้เลอโฉมนี้ก็เคยถูกนำมาพิมพ์ลงในแสตมป์ของประเทศอินเดียมาแล้ว
1
ภาพของ Bani Thani ที่ได้ชื่อว่าเป็น Mona Lisa ของอินเดีย (Source: Wikipedia)
อีกตำนานหนึ่งมาจากแคว้นแคชเมียร์ มีกษัตริย์องค์หนึ่งนามว่า Vikramaditya อาณาจักรของพระองค์โดนรุกราน และพระองค์ต้องหนีหัวซุกหัวซุนไปอยู่เมืองอื่น เพื่อวางแผนรวบรวมสรรพกำลัง และช่วงชิงอาณาจักรของพระองค์กลับคืนมา ในขณะที่พระองค์หนีตายอยู่นั้น มีนางในคนหนึ่งนามว่า Vila Sawatthi รับพระองค์เข้ามาดูแล และให้ใช้บ้านของเธอเป็นที่วางแผนการต่าง ๆ จนกระทั่งกษัตริย์ Vikramaditya สามารถรบชนะ และเอาอาณาจักรกลับมาเป็นของตนเองได้ ดังนั้นพระองค์จึงตอบแทนเธอด้วยการอภิเษกสมรสกับเธอ และมอบตำแหน่งนางสนมขั้นสูงสุดให้กับเธอ
มหาราชา Vikramaditya (Source: wikipedia.org)
แต่เรื่องก็ไม่ได้จบแค่นั้น ปรากฏว่า Vila Sawatthi มีคนรักอยู่แล้ว เขาเป็นหนุ่มยากจนที่ต้องผันตัวมาเป็นโจร เพราะความยากลำบาก เขาถูกจับเข้าคุกเพื่อรอรับโทษ เธอจึงขอร้องให้กษัตริย์ปล่อยตัวโจรคนรักของเธอ ซึ่งพระองค์ก็ยอมโดยดี และยังอนุญาตให้เธอครองรักกับเขาได้ ลองคิดดูว่าจะมีสตรีซักกี่คนในประวัติศาสตร์ที่ได้รับเกียรติขนาดนี้
ภาพของนางในอินเดียจากแคว้น Kashmir (Source: https://www.vandaimages.com)
ความงามของพวกเธอไม่ได้มัดใจแค่เหล่าบรรดากษัตริย์อินเดียเท่านั้น ชาวต่างชาติก็ต้องมนต์เสน่ห์ของพวกเธอไม่แพ้กัน ซึ่งจะเห็นได้จากเรื่องของ Begum Samru
Begum Samru มีอาชีพเป็นนางใน และมีฝีมือด้านการร้องรำทำเพลง และเธอได้มีโอกาสแสดงต่อหน้าทหารรับจ้างนายหนึ่งวัย 45 ปี นามว่า Walter Reinhardt Sombre และทั้งสองก็ได้แต่งงานกัน ในตอนนั้นเธอมีอายุเพียง 14 ปีเท่านั้น
ต้องบอกก่อนว่า Walter เป็นทหารรับจ้าง ที่ไม่ได้มีสังกัดแน่ชัด ช่วงที่เขากับ Begum Samru คบกันนั้น เขาได้รับการว่าจ้างโดยกษัตรย์โมกุลของอินเดีย ดังนั้นเขาก็เลยถือว่าทำงานให้กับฝ่ายอินเดีย ไม่ใช่ฝ่ายอังกฤษแต่อย่างใด
Begum Samru (Source: wikipedia.org)
ทั้งสองย้ายเมืองไปเรื่อย ๆ ในขณะที่ตัว Walter เองก็เติบโตในหน้าที่การงานขึ้น จนในที่สุดเขาก็ได้รับเลือกให้เป็นผู้ว่าการเมือง Sardhana ประมาณ 85 กิโลเมตรทางตอนเหนือของกรุงนิวเดลีในปัจจุบัน หลังจากที่สามีของเธอเสียชีวิตลงในปี 1778 เธอกลายมาเป็นผู้ครองนคร Sardhana เธอมีทรัพย์สินเงินทองมากมาย และเข้ารีบพิธีศีลจุ่มในปี 1781 ทำให้เธอกลายมาเป็นผู้ครองนครคนแรกและคนเดียวของอินเดียที่หันมานับถือศาสนาคริสต์
บรรยากาศพระราชวังของ Begum Samru สังเกตได้ว่าเธอจะถูกล้อมรอบด้วยบรรดาชายฉกรรจ์มากมาย (Source: https://aleteia.org)
ตลอดช่วงเวลาที่เธอปกครองเมือง Sardhana เมืองของเธอเจริญเติบโตขึ้นอย่างมาก แต่ที่สำคัญไปกว่านั้นเธอมีตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการกองทัพที่มีไพร่พลกว่า 3000 คน และทหารรับจ้างชาวต่างชาติกว่า 100 คน ที่ยินยอมพร้อมทำตามคำสั่งของเธอ ว่ากันว่ากองทัพของเธอยิ่งใหญ่เกรียงไกรมาก ถึงขนาดที่อาณาจักรรอบ ๆ ต้องมาขอความช่วยเหลือจากเธอในหลาย ๆ ครั้ง รวมถึงราชวงศ์โมกุลด้วย และเธอก็กิน ดื่ม และสูบบุหรี่เหมือนกับผู้ชาย ซึ่งในสมัยนั้นยากนักที่จะหาสตรีใด ที่หาญกล้าและมีอิทธิพลได้เท่าเธอ
Begum Samru เป็นผู้หญิงไม่กี่คนที่กล้าที่จะสูบบุหรี่ต่อหน้าผู้ชาย (Source: http://www.theindianportrait.com)
นอกจากนี้หลังการเสียชีวิตของสามีเธอ เธอก็มีคู่รักเป็นชาวต่างชาติหลายคน ในบันทึกมีระบุไว้ว่าเธอเคยพยายามจะฆ่าตัวตายพร้อมกับคนรักชาวฝรั่งเศสของเธอด้วย เนื่องจากบรรดาทหารไม่พอใจที่เธอไปคบหากับชาวต่างชาติ แต่สุดท้ายก็มีคนมาช่วยเธอไว้ได้ทัน
กองทัพอันยิ่งใหญ่ของ Begum Samru (Source: Google Arts)
ตอนที่อังกฤษ ยาตราทัพเข้ามาตีเมืองของเธอนั้น ด้วยความที่เธอนับถือศาสนาคริสต์ ทำให้เธออาศัยสัมพันธไมตรีทางการฑูต พาอาณาจักรรอดจากการถูกโจมตีจากกองทัพอังกฤษได้ โดยมีการเสียเลือดเนื้อที่น้อยมาก
หลังจากที่เธอเสียชีวิตลง ทรัพย์สินเงินทองของเธอมีจำนวนมากมายมหาศาล ซึ่งตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้เป็นเวลากว่า 200 ปี เรื่องการแบ่งมรดกยังมีการถกเถียงขึ้นโรงขึ้นศาลกันอยู่เลย
พระราชวัง Begum Samru ในปัจจุบัน (Source: baadalmusings.com)
และนอกจากเรื่องราวความรัก เรื่องราวทางการเมืองของพวกเธอก็ยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนเหล่าบรรดาทหาร และความกล้าหาญที่แม้แต่บุรุษยังต้องก้มหัวยอมรับ
ในปี 1520 พระเจ้ากฤษณะเทวา เจ้าครองอาณาจักรวิชัยนคร ได้ส่งทหารรับใช้ชาวมุสลิมนามว่า Marikar ไปซื้อม้าชั้นดีมาจากเมืองกัว ผลปรากฏว่าทหารชาวมุสลิมคนนั้นกลับชิ่งหนีไปพร้อมกับเงินของพระองค์ และไปเข้าสวามิภักดิ์กับสุลต่าน Adil Khan สุลต่านของอาณาจักรวิชัยปุระ ทำให้พระเจ้ากฤษณะเทวากริ้วมาก และส่งจดหมายให้ Adil Khan ส่งตัว Marikar พร้อมทั้งเงินทั้งหมดกลับมา แต่องค์สุลต่านปฏิเสธ ทำให้พระเจ้ากฤษณะเทวา ตัดสินใจยกทัพบุกไปตีเมืองไรปูร์ (Battle of Raichur) เมืองหลักของอาณาจักรวิชัยปุระ
ภาพวาด Battle of Raichur (Source: Pinterest)
ว่ากันว่าในตอนแรกนั้น กองทัพของพระเจ้ากฤษณะเทวาเกิดเพลี่ยงพล้ำ และทหารของพระองค์ก็เสียขวัญเป็นอย่างมาก แต่ในการยาตราทัพครั้งนี้ พระเจ้ากฤษณะเทวาได้มีการนำเหล่าบรรดานางในเป็น “พันๆ” คน เดินทางไปด้วย และพวกนางได้ปลอบขวัญทหารเหล่านั้น ด้วยการปรุงอาหารชั้นเลิศ และร้องรำทำเพลง ให้ความบันเทิง จนในที่สุดกองทัพของอาณาจักรวิชัยนครก็สามารถเอาชนะสุลต่าน Adil Khan ได้ ซึ่งการรบที่เมืองไรปูร์ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้รูปแบบการปกครองในแถบอินเดียใต้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก
และนอกจากจะเป็นกำลังใจให้กับบรรดาทหารแล้ว นางในหลายคนที่มีอันจะกินจะเปิดบ้านพักของตนเองที่เรียกว่า Kotha ให้กับบรรดาแขกเหรื่อได้มาพักผ่อนพูดคุยกัน ลักษณะคล้าย ๆ กับว่าพวกเธอจะเป็น Party Host กลาย ๆ นั่นเอง ในช่วงยามสงบนั้น งานปาร์ตี้ที่พวกเธอจัดจะได้รับความนิยมในหมู่ผู้มีการศึกษา ที่จะมาถกเรื่องของปรัชญา แลกเปลี่ยนความรู้ และข่าวสารบ้านเมืองกัน แน่นอนว่าพวกเธอย่อมที่จะต้องเป็นส่วนหนึ่งของบทสนทนาด้วย
แต่เมื่อถึงยามบ้านเมืองคับขัน หรือสงคราม บ้านของพวกเธอก็ถูกใช้เป็นที่วางแผนทางการทหาร และการรบ โดยเฉพาะในช่วงของการล่าอาณานิคม ภายใต้ฉากหน้าที่เป็นงานปาร์ตี้หรูหรา ภายในนั้นเหล่าบรรดาชาวอินเดีย กำลังวางแผนร่วมมือกับกลุ่มทหารอินเดีย เพื่อทวงเอกราชคืนจากชาวอังกฤษอยู่
บรรยากาศงานปาร์ตี้ภายใน Kotha (Source: Pinterest)
นางในที่มีชื่อเสียงในเรื่องนี้มากที่สุดเห็นจะเป็น Azeezunbai เธอเป็นนางในจากเมืองลัคเนาวด์ และย้ายไปอยู่ที่เมืองกันปูร์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางของการเรียกร้องอิสรภาพจากประเทศอังกฤษ
ต้องขอปูพื้นนิดนึงว่าหลังจากที่อังกฤษเริ่มเข้ามาล่าอาณานิคมในบริเวณนี้ ในตอนนั้นดินแดนแถบชมพูทวีปประกอบไปด้วยหลากหลายอาณาจักร และถูกปกครองโดยหลายราชวงศ์ แว่นแคว้นต่าง ๆ ก็ไม่ค่อยจะลงรอยกันนัก อังกฤษถือโอกาสนี้ค่อย ๆ ผนวกดินแดนต่าง ๆ เข้าทีละนิดทีละนิด ไม่ว่าจะด้วยการทำสงคราม การบังคับให้ยอมเข้าสวามิภักดิ์ และการใช้เล่ห์กลต่าง ๆ สารพัดสารเพ ทั้งยุแหย่ให้แต่ละอาณาจักรทะเลาะกันเองบ้าง ส่งสายลับเข้าไปทำทีว่าจะทำการค้าบ้าง จนสุดท้ายทั้งชมพูทวีปก็ค่อย ๆ ตกเป็นเมืองขึ้นของประเทศอังกฤษ
และเนื่องจากความกว้างใหญ่ไพศาลของอินเดีย ทหารอังกฤษมีปริมาณไม่เพียงพอที่จะเข้ามาควบคุมจัดการ ดังนั้นพวกเขาเลยต้องจ้างทหารอินเดียท้องถิ่นมาทำหน้าที่นี้แทน โดยทหารเหล่านี้จะถูกเรียกว่า Sepoy
ทหาร Sepoy ซึ่งเป็นทหารอินเดียที่ทำงานให้กับเจ้าอาณานิคมอย่างอังกฤษ (Source: https://educalingo.com)
เมื่อเวลาผ่านไป แน่นอนว่าการถูกกดขี่ข่มเหงจากบรรดาชาวยุโรปย่อมสร้างความไม่พอใจให้กับชาวอินเดีย พวกเขาไม่พอใจที่จะต้องมาถูกปกครองจากชาติฝรั่งที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้า ในตอนแรกพวกทหาร Sepoy ก็พยายามปราบปรามผู้ก่อความวุ่นวาย แต่สุดท้ายความรักชาติก็ย่อมที่จะเอาชนะทุกอย่าง ทหาร Sepoy หันไปจับมือกับประชาชน จนเกิดเป็น Sepoy Mutiny หรือกบฏ Sepoy ขึ้น และนำไปสู่สงครามเรียกร้องอิสรภาพครั้งที่ 1 หรือ First War of Independence ขึ้น ซึ่งสร้างความเสียหายให้กับอังกฤษมากพอสมควร
กบฏ Sepoy เกิดขึ้นในหลายเมืองและหนึ่งในนั้นคือเมืองกันปูร์ ในที่นี้เองที่ตำนานของนางในนามว่า Azeezunbai ยังคงเป็นที่เล่าขานมาจนถึงทุกวันนี้ เธอเปิดบ้านหรือ Kotha ของเธอให้เป็นที่วางแผนการรบของเหล่าบรรดา Sepoy เธอและเหล่าบรรดานางในที่อยู่ในความดูแล เข้าไปช่วยเหลือทหารบาดเจ็บ ให้อาหาร และเงินสนับสนุน รวมถึงให้บ้านของเธอเป็นคลังเก็บอาวุธด้วย
ภาพของเมืองกันปูร์ ในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 (Source: https://www.agefotostock.com)
ยิ่งไปกว่านั้นเธอและนางในบางคนยังใช้ทักษะการฟันดาบ และยิงปืนที่ร่ำเรียนมา เข้าสู้รบกับทหารอังกฤษอย่างกล้าหาญ มีบันทึกไว้ว่ามีคนพบเห็นเธอแต่งกายเต็มยศด้วยชุดทหาร Sepoy ควบม้าตะบึงเข้าสู้รบกับทหารอังกฤษ แบบไม่กลัวเกรง นอกจากนี้ตามท้องถนน ยังมีบันทึกว่ามีนางในหลายคนพร้อมปืนสั้นในมือ ออกมาต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับคนร่วมชาติอีกด้วย
ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน ในตอนที่กองทัพอังกฤษได้ผนวกเอารัฐ Oudh ทางตอนเหนือของอินเดียเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิอังกฤษ ในตอนนั้นเจ้าผู้ครองนครลัคเนาวด์นามว่า Wajid Ali Shah เมืองหลวงของรัฐ Oudh ถูกเนรเทศไปยังกัลกัตตา ส่งผลให้บ้านเมืองตกอยู่ในความวุ่นวาย Begum Hazrat Mahal ซึ่งเป็นภรรยาคนแรกได้ฉกฉวยโอกาสนี้ แต่งตั้งลูกชายที่ยังเด็กของเธอขึ้นมาเป็นผู้ครองนครแทน โดยที่ตัวเธอกลายมาเป็นผู้สำเร็จราชการ และย้ายฐานที่มั่นไปยังเมือง Awadh แทน
Begum Hazrat Mahal (Source: https://ranasafvi.com/the-forgotten-women-of-1857-2)
เธอได้ทำการรวบรวมสรรพกำลัง และได้ต่อสู้กับชาวอังกฤษอย่างกล้าหาญ เข้าร่วมในการวางแผนการรบขับไล่ทหารอังกฤษ พยายามสานสัมพันธ์กับกษัตริย์เนปาล เพื่อขอการสนับสนุน และหลายครั้งที่ตัวเธอเองก็เดินทางไปร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับเหล่าบรรดาทหารด้วย ความเด็ดเดี่ยวของเธอทำให้ชาวเมืองมีความหึกเหิม จนออกมาร่วมกันต่อต้านเจ้าอาณานิคม มีการก่อสร้างกำแพงป้องกันเมืองขึ้นมา จนเมืองของเธอสามารถต้านทานเจ้าอาณานิคมที่มีอาวุธดีกว่า และกำลังพลมากกว่าได้นานเกือบ 1 ปีเลยทีเดียว ซึ่งถือเป็นการต้านทานที่ยาวนานที่สุดในสงคราม First War of Independence
มีการบันทึกโดยชาวอังกฤษถึงเธอว่า "Begum Hazrat Mahal คือสตรีที่เปี่ยมไปด้วยความฉลาด และความสามารถ และเธอยินดีที่จะทำทุกอย่างเพื่อรักษาบัลลังก์ของลูกชายเธอเอาไว้"
ทางฝ่ายอังกฤษ พยายามเจรจาต่อรองกับเธอถึง 3 ครั้ง พร้อมทั้งเสนอที่จะนำสามีของเธอกลับมา และแต่งตั้งให้เป็นผู้ว่าการเมืองลัคเนาวด์ แต่เธอก็ไม่ยอม จนสุดท้ายอังกฤษก็เข้ายึดครองเมืองของเธอได้ ส่วนเธอก็หนีไปอยู่ที่เนปาล และร่วมก่อตั้งสมาคมเรียกร้องเอกราชให้กับอินเดีย
เมืองลัคเนาวด์ ในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 (Source: Pinterest)
เรื่องราวของ Azeezunbai และ Begum Hazrat Mahal เป็นเพียงเรื่องราวตัวอย่างในบรรดาเรื่องราวอีกมากมาย ของเหล่าบรรดานางในที่มีส่วนร่วมในการก่อกบฏในครั้งนี้ ซึ่งได้ชื่อว่า The First War of Independence ที่เกิดขึ้นในช่วงปี 1857-1858 น่าเสียดายที่ไม่ได้มีการบันทึกเกี่ยวกับเรื่องราวของพวกเธอไว้มากนัก ส่วนมากจะเป็นตำนานที่บอกเล่ากันปากต่อปาก หรือบันทึกของคนท้องถิ่นเท่านั้น ส่วนบันทึกของต่างชาตินั้นแทบจะไม่มีอยู่เลย เพราะคงไม่มีใครยอมรับว่านางใน ที่ควรจะทำได้แค่ร้องรำทำเพลง จะกล้าลุกขึ้นมาสู้กับเจ้าอาณานิคมยุโรปได้
แต่การไม่ได้มีบันทึก ไม่ได้แปลว่าความกล้าหาญของพวกเธอไม่ได้มีอยู่จริง เพราะหลังจากเกิดกบฏ Sepoy อังกฤษได้ทำการสู้รบเปิดศึกแบบเต็มรูปแบบ และฆ่าล้างชาวอินเดียไปเป็นจำนวนมาก จนสุดท้ายก็สามารถผนวกอินเดียเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเครือจักรภพได้แบบเบ็ดเสร็จ และเหล่าบรรดานางในย่อมถูกเจ้าอาณานิคมแก้แค้น
ภาพวาดนางในของอินเดีย (Source: Pinterest)
นางในและผลพวงทางเศรษฐกิจ
ในยุครุ่งเรืองนั้น นางในที่มีชื่อเสียง และมีความสามารถหลายคน กลายมาเป็นเศรษฐีนีย่อม ๆ หลายคนผันตัวเองมาเป็นมาม่าซัง โดยมีนางในในสังกัดอยู่หลายคน หลายคนมีบ้าน ที่ดิน และทรัพย์สินมากมาย รวมถึงมีคนรับใช้ภายในบ้านที่จะคอยอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ให้กับพวกเธอ มีการจ้างชายฉกรรจ์ เพื่อมารักษาความปลอดภัย มีการบันทึกไว้ว่าความร่ำรวยของนางในบางคนนั้นมากกว่าขุนนาง หรือชนชั้นสูงบางคนเสียอีก
แต่สิ่งที่แสดงให้เห็นถึงฐานะของพวกเธอมากที่สุดคือ การเก็บภาษี เชื่อหรือไม่ว่านางในคืออาชีพที่โดนเก็บภาษีมากที่สุดในสังคมอินเดีย โดยพวกเธอถูกเก็บภาษีมากที่สุดถึง 25%-30% ของรายได้ และในช่วงเวลาวิกฤต เศรษฐกิจฝืดเคือง ฐานภาษีของพวกเธออาจจะขึ้นไปสูงถึง 50% เลยทีเดียว
นางในหลายคน มีการจ้างคนรับใช้ใน Kotha เพื่อทำงานบ้านต่าง ๆ (Source: Pinterest)
นอกจากนี้สังคมอินเดียยังให้ความสำคัญกับอาชีพนี้มากถึงขนาดที่ว่า คนที่สอนทักษะต่าง ๆ ให้กับเหล่าบรรดานางใน จะได้รับการเลี้ยงดูโดยรัฐบาล มีการช่วยเหลือด้านภาษีและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ส่วนลูกชายของเหล่าบรรดานางในจะได้รับการส่งให้ไปเรียนการแสดง เพื่อเป็นนักแสดงในอนาคต
มีการบันทึกไว้ด้วยว่า เหล่าบรรดานางในคือหนึ่งในเป็นกลุ่มคนที่มีการบริจาคเงินและทรัพย์สินมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการบริจาคเงินให้กับองค์กรการกุศล สร้างบ่อน้ำ โรงทาน และบริจาคสิ่งของจำเป็นพวกข้าวสารอาหารแห้ง และเสื้อผ้าให้กับคนยากไร้มากมาย
นางในอินเดีย พร้อมคณะนักแสดง (Source: Pinterest)
ยุคมืดของนางใน ตราบาปจากการล่าอาณานิคม
ต้องขอบอกก่อนนะครับ ว่าตอนที่อังกฤษเข้ามาปกครองอินเดียในตอนแรก ๆ นั้น พวกเขาไม่ได้รังเกียจเหล่าบรรดานางใน แต่กลับยกย่องว่าพวกเธอคือตัวแทนของวัฒนธรรมอินเดีย และยังมีการบันทึกว่ามีการจ้างเหล่าบรรดานางใน เพื่อมาให้ความบันเทิงกับชาวอังกฤษและชาวยุโรปที่เข้ามาทำการค้าขาย การแต่งงานระหว่างนางในอินเดียและชาวต่างชาติก็ถือเป็นเรื่องปกติ และสามารถยอมรับได้
ในยุคแรก ๆ นางในอินเดียยังมีโอกาสได้แสดงต่อหน้าชาวอังกฤษอยู่ (Source: https://chandrakantha.com/articles/tawaif/5_anti_nautch_movement.html)
แต่แล้วทุกอย่างก็เปลี่ยนไปหลัง First War of Independence เมื่ออินเดียกลายเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิอังกฤษอย่างสมบูรณ์ ทรัพย์สินของเหล่าบรรดากษัตริย์ สุลต่าน หรือชนชั้นสูงที่คอยอุปถัมภ์นางในถูกยึด เรื่องศิลปะวัฒนธรรมกลายเป็นเรื่องที่ถูกลืม ในขณะที่การเอาชีวิตรอด และการต่อสู้เรียกร้องเอกราชกลายมาเป็นเรื่องหลักแทน
หลังจากปราบกบฏ Sepoy ได้ในปี 1858 ทางอังกฤษก็เริ่มนำมิชชันนารี่เข้ามาเผยแพร่ศาสนาคริสต์ (ตอนเข้ามาช่วงแรก ๆ นั้น อังกฤษมีความเชื่อว่าควรให้คนท้องถิ่นดำรงไว้ซึ่งวัฒนธรรมและความเชื่อของตนเอง แต่ความคิดนี้กลับเริ่มเปลี่ยนไปในช่วงกลางศตวรรษที่ 19) พร้อมกับนำค่านิยมของชาวยุโรปที่บอกว่าผู้หญิงที่ดีคือผู้หญิงที่มีผัวเดียวเมียเดียว เป็นแม่บ้านแม่เรือนคอยปรนนิบัติสามี สงบเสงี่ยมเจียมตัว และไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับกิจการบ้านเมือง ซึ่งค่านิยมเหล่านี้ทำให้เหล่าบรรดานางในถูกมองว่าเป็นผู้หญิงไม่ดีที่เต้นกินรำกิน เป็นผู้หญิงที่แต่งวรรณกรรมประโลมโลก มักมากในกาม และเป็นจุดด่างพร้อยที่ทำให้ศีลธรรมอันดีงามของสังคมต้องเสื่อมเสีย ส่งผลให้มุมมองที่มีต่อพวกเธอเริ่มแย่ลงเรื่อย ๆ
1
นางในอินเดียที่กำลังร่ายรำทำการแสดง ในเมือง Hyderabad (Source: https://www.firstpost.com)
อีกหนึ่งค่านิยมที่เข้ามากับเหล่าบรรดามิชชันนารี่คือ การที่วัฒนธรรมตะวันตก ย่อมเหนือกว่าวัฒนธรรมตะวันออกที่โดนมองว่าป่าเถื่อน วัฒนธรรมท้องถิ่นถูกมองว่าเป็นสิ่งที่ด้อย และฉุดรั้งความเจริญ และนางในของอินเดียก็คือตัวแทนของวัฒนธรรมเหล่านี้ ดังนั้นการที่จะเอาวัฒนธรรม และอัตลักษณ์ของอังกฤษ เข้ามาเผยแพร่ ก็คือการกำจัดเหล่าบรรดานางใน ไม่ให้ส่งต่อหรือแสดงวัฒนธรรมเหล่านี้ต่อไปนั่นเอง
ทางอังกฤษยังเรียกพวกเธอว่า “Nautch Girl” ซึ่งคำว่า Nautch แปลว่า “เต้น” และใช้คำนี้เรียกผู้หญิงที่มีอาชีพเต้นรำ นางในชั้นสูงผู้เปี่ยมไปด้วยความรู้และศิลปะวัฒนธรรม ถูกจับไปมัดรวมกับโสเภณีที่ขายเรือนร่างเพื่อแลกกับเงิน ทำให้ชื่อเสียงของพวกเธอต้องแปดเปื้อน จนถึงปัจจุบันชาวอินเดียหลายคนก็ยังเรียกโสเภณีว่า Nautch Girl อยู่
ภาพของนางในอินเดีย ที่ถูกเรียกว่า "Nautch Girl" ในยุคที่อังกฤษปกครองอินเดีย (Source: https://www.huronresearch.ca)
อีกอย่างที่เจ้าอาณานิคมทำคือ แก้แค้นพวกเธอ เพราะพวกเขารู้ว่าในช่วง First War of Independence หรือกบฏ Sepoy บ้าน หรือ Kotha ของพวกเธอ ถูกใช้เป็นสถานที่วางแผนกลยุทธ์ในการต่อต้านอังกฤษ ดังนั้นเพื่อเป็นการลงโทษ พวกอังกฤษจึงทำการยึด Kotha ของพวกเธอ รวมถึงทรัพย์สินต่าง ๆ และได้ออกพระราชบัญญัติควบคุมโรคติดต่อขึ้น ซึ่งหนึ่งในนั้นบอกว่าบรรดา Nautch Girl ทั้งหลาย จะต้องอยู่รวมกัน ในพื้นที่ที่ทางการกำหนดเท่านั้น เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของโรค จากชีวิตที่หรูหราและได้รับการยกย่อง ตอนนี้พวกเธอไร้ซึ่งผู้อุปภัมภ์ ไร้ซึ่งเงินทอง ไร้ซึ่งอิสรภาพ และถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม
นางในที่อาศัยอยู่ใน Kotha (Source: https://www.huronresearch.ca)
และอย่างสุดท้าย เหล่าบรรดาสตรีชาวอังกฤษก็มีส่วนร่วมที่ทำให้ชีวิตของเหล่าบรรดานางในต้องทนทุกข์ทรมาน เพราะโดยมากพวกเธอจะมาอินเดียเพราะตามสามีของพวกเธอมา ดังนั้นเหล่าบรรดานางในที่ให้ความบันเทิงกับผู้ชาย คือศัตรูตัวฉกาจที่พวกเธอต้องกำจัด เพื่อไม่ให้สามีของพวกเธอว่อกแว่กนั่นเอง
อย่างไรก็ดี ใช่ว่างานของพวกเธอจะหายไปหมด เพราะว่านางในที่มีความสามารถจริง ๆ ก็ยังคงได้รับเชิญไปตามงานต่าง ๆ ของเหล่าบรรดาผู้ครองนคร และมหาราชา ที่ยังคงปกครองแว่นแคว้นต่าง ๆ ในนามของจักรวรรดิอังกฤษอยู่ แต่ความหรูหรา อู้ฟู่ต่าง ๆ ได้กลายเป็นอดีตไปเสียแล้ว
นางในอินเดีย ยังคงพอมีงานอยู่บ้างในช่วงยุคอาณานิคม แม้ชีวิตของพวกเธอจะโดนจำกัดและกดขี่เป็นอย่างมาก (Source: https://www.huronresearch.ca)
นางในและมรดกทางวัฒนธรรม
ในเวลาไม่นาน ความดีงามของนางในก็ค่อย ๆ จางหายไปจากสังคมอินเดีย หลายคนหันไปทำอาชีพอื่น และหลายคนก็กลายมาเป็นโสเภณีจริง ๆ ทำให้ชื่อเสียงของพวกเธอยิ่งแปดเปื้อนเข้าไปอีก
แต่งานของพวกเธอที่ลดลงไป ไม่ได้หมายความว่าความรู้และทักษะของพวกเธอจะสูญสลายหายไป พวกเธอหลายคนยังคงสามารถร่ายรำพื้นเมืองได้ สามารถแต่งกาพย์กลอน และเพลงอันไพเราะได้ รอวันที่ความสามารถของพวกเธอจะได้รับการยอมรับอีกครั้ง
นางในอินเดีย กับบริบททางสังคมที่ค่อย ๆ จางหายไปในยุคอาณานิคม (Source: wikipedia.org)
และในเวลาไม่นานเมื่อเริ่มมีการเรียกร้องอิสรภาพจากประเทศอังกฤษ ศิลปะวัฒนธรรมท้องถิ่น พร้อมกับแนวคิดชาตินิยมถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้ง แนวคิดว่าวัฒนธรรมของเจ้าอาณานิคม จะต้องเหนือกว่าผู้ใต้อาณัติก็เริ่มค่อย ๆ จางหายไป ความรู้ความสามารถของพวกเธอเริ่มกลับมาได้รับการยอมรับอีกครั้ง
Kathak คือ 1 ใน 8 การเต้นรำคลาสสิคของอินเดีย จากอินเดียเหนือ ที่มีชื่อเสียงมาก และถูกคิดค้นโดยเหล่าบรรดานางใน โดยจะเป็นการเต้นรำที่เล่าเรื่องราวตำนานท้องถิ่น ด้วยจังหวะที่เร็วและเร้าใจ ผู้ร่ายรำจะต้องมีความสามารถสูงมาก ไม่ว่าจะเป็นการหมุนตัวหลายรอบติดกัน การเคลื่อนไหวขา และมืออย่างรวดเร็ว รวมไปถึงการทำหน้าตาให้เหมาะสมกับเรื่องราวในขณะนั้น ถือเป็นศิลปะขั้นสูงของอินเดีย
สามารถลองดูการเต้น Kathak ได้ที่คลิบด้านล่างนี้นะครับ
Bharatanatyam อีกหนึ่งการเต้นรำคลาสสิคตัวแทนจากอินเดียตอนใต้ เป็นการร่ายรำบวงสรวงเทพเจ้าที่เหล่าบรรดา Devadasis หรือนางในในอินเดียใต้ มีความเชี่ยวชาญ เน้นความอ่อนช้อยและแข็งแรงในเวลาเดียวกัน และที่สำคัญที่สุดคือความพร้อมเพรียงและสอดประสานกันของบรรดานางรำ
ลองดูการเต้น Bharatanatyam ได้ที่คลิบด้านล่างนี้นะครับ
Kathak และ Bharatanatyam คือหนึ่งในการร่ายรำที่ได้รับการถ่ายทอดในหมู่นางในจากรุ่นสู่รุ่น นอกจากนี้ยังมีการเต้นรำที่ชื่อว่า Mujra ซึ่งเป็นการผสมผสานการเต้น Kathak กับเพลงพื้นเมือง ซึ่งในปัจจุบันได้รับการประยุกต์ และใช้ในงานมงคลต่าง ๆ ประเภทงานแต่งงาน
และถ้าจะพูดถึงนางในที่มีชื่อเสียงที่สุดในเรื่องนี้เห็นจะหนีไม่พ้น Gauhar Jaan เธอเริ่มต้นชีวิตของเธอด้วยการเป็นนางในฝึกหัด เธอมีความสามารถเรื่องการขับร้องเป็นอย่างมาก จนสุดท้ายเธอกลายมาเป็นนักร้องคนแรกของอินเดียที่ได้มีโอกาสอัดเสียงลงในแผ่นเสียง ตลอดชีวิตของเธอ เธออัดเพลงมากกว่า 600 เพลง ทำให้ดนตรีอินเดีย เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก และได้มีโอกาสร้องเพลงในโอกาสพิธีราชาภิเษกของพระเจ้าจอร์จที่ 5 ที่กรุงเดลีอีกด้วย
Gauhar Jaan นักร้องคนแรกของอินเดียที่ได้มีโอกาสอัดเสียงลงบนแผ่นเสียง (Source: https://www.peopleofar.com)
แต่ที่หลายคนมักจะมองข้ามไปคือ จริง ๆ แล้วพวกเธอมีส่วนสำคัญมากในการก่อตั้งอุตสาหกรรมภาพยนตร์ของอินเดีย หรือที่รู้จักกันในนาม Bollywood เนื่องจากพวกเธอไม่อายที่จะแสดงบทบาทต่าง ๆ ที่ดูอาจจะขัดกับศีลธรรมอันดีในสมัยนั้นเช่น ขับรถ สูบบุหรี่ หรือดื่มเหล้า ทำให้บรรดานางในหลายคนเริ่มที่จะลืมตาอ้าปาก และหันมาเอาดีด้านงานภาพยนตร์จนกระทั่งมีชื่อเสียงโด่งดัง อย่างเช่น Kajjanbai ที่ความงามของเธอถูกใช้ในโฆษณาแป้งหอมของอังกฤษ เจ้าของฉายา “ไนติงเกลแห่งเบลกอล” หรือ Jaddan Bai
Kajjanbai หนึ่งในนางในที่กลายมาเป็นดาราดังของ Bollywood (Source: Pinterest)
และในเมื่อความสามารถของพวกเธอคือการเต้นรำ และร้องเพลง ทำให้ภาพยนตร์อินเดียเต็มไปด้วยพลอทที่มักจะใช้เพลงในการเล่าเรื่อง รวมไปถึงการเต้นรำสนุกสนาน ที่กลายมาเป็นเอกลักษณ์สำคัญของภาพยนตร์อินเดียมาจนถึงทุกวันนี้นั่นเอง
และเมื่อกล่าวถึง Bollywood ก็ต้องกล่าวถึง Jaddan Bai นางในอิสระ ที่รับงานเต้นรำตามงานต่าง ๆ ของชนชั้นสูงในสมัยที่อังกฤษยังปกครองอินเดียอยู่ ในตอนหลังเธอได้รับการทาบทามให้ไปเป็นนักแสดงในบริษัทภาพยนตร์แห่งหนึ่งที่เมืองลาฮอร์ จนสุดท้ายเธอก็ได้ก่อตั้งบริษัทภาพยนตร์แห่งแรก ๆ ของอินเดียขึ้นที่มีชื่อว่า Sangeet Movietone ในปี 1934 และภาพยนตร์เรื่องของเธอมีชื่อว่า Talashe Haq เรื่องราวของหญิงสาวแสนสวย แต่ยากจน ที่ตกหลุมรักกับชายหนุ่มรูปงามที่ร่ำรวย แต่สุดท้ายแฟนหนุ่มของเธอถูกกล่าวหาว่าทำความผิด เธอจึงพยายามออกตามหาความจริงเพื่อช่วยเหลือชายผู้เป็นที่รัก
Jaddan Bai และลูกสาวของเธอ Nargis (Source: https://www.cinestaan.com)
ภาพยนตร์เรื่องนี้เธอแต่งบทเอง เขียนเพลงเอง และลูกสาวของเธอที่มีนามว่า Nargis ก็ร่วมแสดงด้วย ซึ่งต่อมา Nargis ได้กลายมาเป็นดาราดังของ Bollywood ในช่วงปี 1950-1960
นอกจากนี้เพลงต่าง ๆ ในยุคแรก ๆ ของวงการ Bollywood ก็เป็นเพลงที่ดัดแปลงมาจากเพลงที่เหล่าบรรดานางในแต่งขึ้นเมื่อนานมาแล้วเช่นกัน และหลายเพลงก็ยังได้รับความนิยมมาจนถึงทุกวันนี้ นอกจากนี้นางในหลายคนยังกลายมาเป็นนักแต่งบทภาพยนตร์ และนักออกแบบท่าเต้นคนสำคัญ เรียกได้ว่าพวกเธอคือเสาหลักสำคัญที่ช่วยให้อุตสาหกรรมภาพยนตร์อินเดีย หรือ Bollywood อุตสาหรรมภาพยนตร์ที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก ที่มีมูลค่าสูงถึง 8.1 หมื่นล้านบาทในปี 2020 (สูงกว่า GDP ของประเทศเล็ก ๆ บางประเทศเสียอีก) สามารถก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาได้ และปัจจุบันก็เป็นรองเพียงแค่ Hollywood ของอเมริกาเท่านั้น
Bollywood หรืออุตสาหกรรมภาพยนตร์ของอินเดียที่ทำรายได้มากมายให้กับเศรษฐกิจอินเดีย (Source: https://ndla.no)
นางในในปัจจุบัน
แน่นอนว่าอาชีพนางในได้หายไปจากสังคมอินเดียแล้ว แต่เรื่องราวของพวกเธอยังคงอยู่อย่างไม่เสื่อมคลาย มีความพยายามจากองค์กรต่าง ๆ มากมาย ที่ได้รวบรวม ศึกษาเรื่องราวของพวกเธอ เพื่อนำความจริงมาตีแผ่ให้สังคมได้รู้ว่าจริง ๆ แล้ว พวกเธอคือใคร และพวกเธอมีความสำคัญมากขนาดไหนต่อศิลปะวัฒนธรรมของประเทศอินเดีย ส่วนวงการภาพยนตร์ก็ได้มีการสร้างภาพยนตร์หลายเรื่องเพื่อเล่าเรื่องราวที่ถูกต้องของพวกเธอ และที่สำคัญคือเพื่อให้เรื่องราวของพวกเธอไม่ถูกลืมเลือนไปจากสังคม
ภาพยนตร์เรื่อง Umrao Jaan หนี่งในภาพยนตร์ที่บ่งบอกถึงเรื่องราวของนางในอินเดีย  (Source: Pinterest)
มาถึงตอนนี้คนอินเดียหลายคนเริ่มมีความเข้าใจเกี่ยวกับนางในอินเดียที่เปลี่ยนแปลงไป โดยสามารถแยกแยะได้ว่าพวกเธอไม่ใช่โสเภณีที่ขายเรือนร่าง แต่เป็นผู้ให้ความบันเทิงชั้นสูง ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสามารถและทักษะ และเป็นผู้ที่พิทักษ์รักษาและส่งต่อวัฒนธรรมหลาย ๆ อย่างของอินเดียที่อาจจะสูญสลายไป ถ้าไม่มีพวกเธอคอยดูแล
การเต้นรำ ซึ่งถือเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในภาพยนตร์ Bollywood หนึ่งในมรดกจากเหล่าบรรดานางในอินเดีย (Source: Pinterest)
บทสรุป
จากยุคเริ่มต้น สู่ยุครุ่งเรืองขีดสุดในช่วงที่อินเดียถูกปกครองโดยเหล่าบรรดาสุลต่านและมหาราชา ยุคที่พวกเธอมีเงินทองทรัพย์สินและได้รับการยกย่องจากสังคม สู่การมีส่วนร่วมในการเรียกร้องเอกราช สู่ยุคมืดที่พวกเธอโดนกล่าวหา โดนเข้าใจผิด โดนทำร้ายด้วยค่านิยมจากต่างแดน จนกระทั่งการที่พวกเธอกลับมามีบทบาทในสังคมอินเดียอีกครั้งในบริบทที่ต่างออกไป แม้ตอนนี้จะไม่มีพวกเธอในสังคมอินเดียแล้ว แต่สิ่งที่พวกเธอทิ้งไว้ให้ชนรุ่นหลังนั้นยิ่งใหญ่ และทำให้อินเดีย เป็นอินเดียในปัจจุบันอย่างไม่ต้องสงสัย
การร่ายรำของนางในอินเดีย ในหนัง Bollywood (Source: https://indianexpress.com)
อ้อ ! แล้วต้องไม่ลืมอุตสาหกรรมมูลค่า 8.1 หมื่นล้านบาทที่พวกเธอเป็นส่วนสำคัญในการก่อตั้งด้วยนะครับ
เรื่องราวของนางในอินเดียถือเป็นเรื่องราวที่อาจจะไม่ค่อยมีคนรู้มากนัก หลายคนน่าจะชินกับเรื่องราวของนางสนมของจีนหรือเกาหลี จากหนังสือหรือซีรี่ย์ต่าง ๆ หรืออาจจะรู้จักกับเรื่องราวของเกอิชาจากญี่ปุ่น ที่ก็ได้รับผลกระทบจากความเข้าใจผิดเช่นกัน แต่ถ้าพูดถึงนางในอินเดีย หลายคนน่าจะมีเครื่องหมายคำถามบนหน้าของตนเองแน่นอน แต่ผมก็หวังว่าหลังจากอ่านบทความนี้แล้วหลายคนคงจะรู้จักกับพวกเธอมากขึ้น ไม่มากก็น้อย
อุตสาหกรรม Bollywood มูลค่า 8.1 หมื่นล้าน หนึ่งในสิ่งที่นางในอินเดียทิ้งไว้ให้กับสังคมอินเดียในปัจจุบัน (Source: Pinterest)
จบไปแล้วนะครับกับเรื่องราวของนางในของอินเดีย ขอออกตัวไว้ก่อนเลยว่าใช้เวลาในการเขียน และรวบรวมข้อมูลนานมาก เพราะข้อมูลค่อนข้างกระจัดกระจาย และหายาก แต่ก็หวังว่าทุกคนจะชอบกันนะครับ และถ้าหากมีข้อมูลใดที่ผิดพลาดไป ผมต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย ครั้งหน้า Kang’s Journal จะพาไปรู้จักกับคนสำคัญ หรือเหตุการณ์สำคัญอะไรอีกในประวัติศาสตร์ อย่าลืมติดตามกันนะครับ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา