Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
A WAY OF LIFE : ทางผ่าน
•
ติดตาม
30 มี.ค. 2022 เวลา 02:58 • ไลฟ์สไตล์
“ถ้าใจเราวอกแวกๆ ไม่มีสมาธิ
ถ้าไม่เห็นสภาวะ ไม่เห็นกิเลส ก็ไม่เกิดปัญญา”
“ … วิธีต่อสู้กิเลส
1
ค่อยๆ เรียนไป ค่อยๆ เห็นไป กิเลสอะไรเกิดก็รู้เอา
ทุกวันๆ พยายามรู้ตั้งแต่ตื่นจนหลับนั่นล่ะ
ยกเว้นตอนทำงานที่ต้องใช้ความคิด
ถ้าทำอย่างนี้ สติของเราก็จะไวขึ้นๆ
สมาธิก็จะเข้มแข็งขึ้น
จิตไม่ค่อยโคลงเคลง
จิตพวกเราโคลงเคลงทั้งวัน
แกว่งขึ้นแกว่งลงอะไรอย่างนี้
จิตมันไม่มีสมาธิ
กิเลสมาตั้งนานแล้ว ยังไม่เห็นเลย
มันไม่มีสติ ไม่มีสมาธิ
ปัญญาซึ่งเป็นตัวล้างกิเลส มันก็ไม่เกิดหรอก
ตัวที่ล้างกิเลสจริงๆ คือตัวปัญญา
ความรู้ถูก ความเข้าใจถูก
ฉะนั้นอาศัยพัฒนาสติ พัฒนาสมาธิ ต้องทำทุกวัน
ฝึกตัวเองไป หัดรู้สภาวะ
สภาวะอะไรเกิดแล้วรู้ๆ ทุกทีเลย
สติเราก็จะดีขึ้น
1
จิตเราโคลงเคลงไหลไปไหลมา รู้ทัน
จิตมันจะตั้งมั่นไม่ไหล สมาธิมันก็เกิด
สมาธิไม่ใช่ของยากหรอก ถ้ารู้เคล็ดมัน
ไม่รู้เคล็ดลับมัน โอ๊ย นั่งสมาธิกันเป็นปี ยังไม่ยอมสงบเลย
เคล็ดของมันมีนิดเดียวเอง
ใช้ใจที่สบายๆ ใจที่เป็นธรรมดานี้ล่ะ
ไปรู้อารมณ์ธรรมดา รู้อย่างธรรมดา
อารมณ์ที่รู้ก็รู้ไปอย่างที่มันเป็น รู้สบายๆ
อย่างหายใจเข้าพุท หายใจออกโธ
รู้การหายใจด้วยใจที่สบาย
สงบก็ช่าง ไม่สงบก็ช่าง
รู้ด้วยใจที่มีความสุข แป๊บเดียวก็สงบแล้ว
ฝึกเรื่อยๆ แค่กระพริบตา สมาธิก็เกิดแล้ว
ให้สงบอยู่อย่างไร ก็สงบอยู่อย่างนั้น
ส่วนสติอาศัยการรู้ทันสภาวะบ่อยๆ
โกรธขึ้นมาแล้วรู้ๆ สติก็จะเกิดเร็ว
สมาธิ รู้ทัน จิตที่มันไหลไปไหลมา โคลงเคลง
รู้ไปเรื่อยๆ อยู่กับอารมณ์กรรมฐานของเราเสียก่อน
แล้วพอจิตมันไหลไปที่อื่นรู้ทัน
จิตมันจมลงไปในอารมณ์กรรมฐาน รู้ทัน
จิตมันเคลื่อนไป
ฉะนั้นทำกรรมฐานอย่างหนึ่ง แล้วรู้ทันจิตตัวเองไป
สมาธิมันจะเกิด ต้องฝึก
แต่ถ้าเราไม่รู้ว่าเป้าหมายในชีวิตของเรา
คือการปฏิบัติธรรมเพื่อความพ้นทุกข์ ก็หลงโลก
วันนี้ภาวนา ก็หลงไปอีกเดือนหนึ่ง
หรือรู้สึกตัวแวบหนึ่ง หลงไปทั้งวันเลย สู้กันไม่ไหว
มันอยู่ที่ใจ เข้มแข็งพอไหม จะสู้ไม่สู้
ไม่สู้ก็ไม่มีใครช่วยได้หรอก
ถ้าเข้มแข็งคิดจะสู้ มันก็พอสู้ได้
เพราะเราได้ยินได้ฟังธรรมะที่พระพุทธเจ้าสอนแล้ว
รู้วิธีต่อสู้กับกิเลส
ในศาสนาอื่นเขาก็มีวิธีต่อสู้กิเลส ไม่ใช่ไม่มี
แต่มันไม่ใช่วิธีของพุทธ คนละมรรคกัน
อย่างศาสนาคริสต์ เขาสู้กับกิเลสด้วยความรัก
ให้รักเพื่อนบ้าน ให้อะไรอย่างนี้
พอรักเพื่อนบ้าน อะไรเกิดขึ้น
ก็ไม่ไปทำร้ายเขา ก็ไม่ไปคิดร้ายเขา
ความดีมันก็เกิดขึ้น หรือเกิดความเมตตากรุณา
รักเขานี่ เขาลำบากก็ไปช่วยเขา
ถามว่าดีไหม ดี
ศาสนาทั้งหลาย เขาก็มีมรรคของเขาเอง
อย่างพวกฤๅษี เขาก็มีมรรคของเขา เข้าฌาน
ระหว่างเข้าฌานไม่ทำชั่วอะไรหรอก
อยู่กับความสงบของตัวเอง ก็มรรคแบบของเขา
บางพวกเขาก็มีมรรคแบบของเขา
อย่างมันอยากสบายก็อยู่ให้มันลำบาก
มันอยากกินก็อดมันเสีย
มันอยากมีเสื้อผ้าสวยๆ แก้ผ้ามันเลย
แบบพวกนิครนถ์ เขาก็สู้กับกิเลส
สู้กับกิเลสตัณหาของเขา
แต่สู้ด้วยมรรคแบบของเขา
พระพุทธเจ้าก็มีมรรคแบบของพระพุทธเจ้า
คือ ศีล สมาธิ ปัญญา
ไม่มีการร้องขอ ไม่ใช่มรรคของพุทธ
ร้องขอโน่นร้องขอนี่ บนบานศาลกล่าวอะไร
ไม่ใช่มรรคของชาวพุทธหรอก
ปัจจัย 4 ของจิต
ถ้าเรารู้จักเส้นทางที่พระพุทธเจ้าสอนอย่างนี้แล้ว
เรามีจิตสำนึกว่าเราจะต้องสู้กิเลส
ต้องเป็นอิสระจากกิเลสให้ได้
ก็เจริญในเส้นทางที่พระพุทธเจ้าสอนนี้
จิตใจเราก็จะค่อยๆ อิ่ม ค่อยๆ เต็มขึ้นมา
จิตใจมันก็ต้องการปัจจัย 4 เหมือนกัน
อาหารของใจก็คือบุญทั้งหลาย
ฉะนั้นความดีทั้งหลายมีโอกาสทำ ให้ทำเสีย
แต่ถ้าทำบุญแล้วบ้าบุญ
มันก็เหมือนกินอาหารมากเกินไป
ท้องอืด ท้องเฟ้อ ท้องแตกตาย
ฉะนั้นอย่างถ้าบ้าบุญ
วันๆ คิดแต่เรื่องจะทำบุญโน้นทำบุญนี้ ฟุ้งซ่าน
อันนั้นกินอาหารเป็นพิษแล้ว อาหารมากเกินไปแล้ว
ศีลเป็นเครื่องนุ่งห่มของจิต
ถ้าจิตใจเรามีศีล มันจะไม่มีอะไรที่น่าละอาย
ถ้าศีลเราเสีย เจอหน้าครูบาอาจารย์มันจะละอาย
มันเหมือนคนไม่นุ่งผ้า
หรือแต่งตัวไม่เรียบร้อยอะไรอย่างนี้
ฉะนั้นศีลมันก็เป็นเหมือนเสื้อผ้า
ทำบุญมันเป็นอาหาร ศีลมันเป็นเสื้อผ้า
สมาธิมันเป็นบ้าน เป็นที่อยู่อาศัย
เวลาเรามีสมาธิ จิตมันก็ไม่ร่อนเร่ไป
คล้ายๆ มันมีบ้านอยู่ มีความสุข อยู่ในบ้านเราสบาย
ส่วนปัญญาคือยารักษาโรคของจิต
โรคของจิตก็คือโรคกิเลสนั่นล่ะ
ปัญญาเป็นตัวฆ่ากิเลส
ตัวอื่นๆ ไม่ได้ช่วยฆ่ากิเลสโดยตรงหรอก
แต่เมื่อไรเราเห็น ปัญญามันเกิดจากการเห็น
ถึงเรียกว่าวิปัสสนาปัญญา
ปัสสนะ แปลว่า เห็น การเห็น
วิ แปลว่า แจ้ง เห็นแจ้ง เห็นจริง คือเห็นไตรลักษณ์
เห็นถูกต้องนั่นเอง
ฉะนั้นตัววิปัสสนา สิ่งที่เราได้มาคือปัญญา
แล้วเป็นปัญญาที่จะล้างกิเลสได้จริงๆ
ส่วนปัญญาทางโลก บางทีพอกพูนกิเลส
เรายืมศัพท์คำว่า ปัญญา จากศาสนาพุทธไปใช้
คนนี้มีปัญญามาก คอรัปชันโดยคนไม่จับ
จับไม่ได้อะไรอย่างนี้
อันนั้นไม่ใช่ปัญญา
ปัญญามันต้องรู้เหตุรู้ผล รู้ผิดชอบชั่วดี
อาศัยการภาวนา เจริญปัญญาไป
มีสติ มีสมาธิแล้วปัญญามันจะเกิด
ฉะนั้นสัมมาสติที่บริบูรณ์
ก็จะทำให้สัมมาสมาธิบริบูรณ์
สัมมาสมาธิที่บริบูรณ์
จะทำให้สัมมาญาณะบริบูรณ์ขึ้นมา
สัมมาญาณะบริบูรณ์
สัมมาวิมุตติ เกิดมรรคเกิดผลก็เกิดขึ้นมา
ก่อนจะมีสัมมาสติก็ต้องมีสัมมาวายามะ
รู้เป้าหมายว่าเราจะต้องสู้กับกิเลส
ต้องพัฒนากุศล
ความไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลงให้เกิดขึ้น
ถ้าเราปล่อยใจตามโลภ โกรธ หลงไปเรื่อยๆ ไม่พัฒนา มีแต่เลวลงๆ
ฉะนั้นสิ่งเหล่านี้ฟังเฉยๆ ไม่ได้ ต้องลงมือทำ
มีโอกาสทำความดีอะไรก็ทำไปเถอะ
บุญไม่ใช่ต้องเอาเงินมาถวายวัด ถวายพระ
เราเห็นหมาอดอยาก ให้อาหารมันก็เป็นบุญแล้ว
เห็นคนหลงทาง เด็กหลงทางอะไรอย่างนี้
พาไปแจ้งความ ไม่ให้เด็กถูกผู้ร้ายจับเอาไป
ก็เป็นบุญแล้ว
หน้าบ้านเราขยะเยอะ ใบไม้ริมถนนตกลงมาเยอะแยะ
ไม่ต้องไปรอคนของ กทม. มากวาด
กวาดมันเสียเองก็เป็นบุญแล้ว
พอหน้าบ้านเราสะอาดใช่ไหม ใจเราก็สบาย
เคยรู้สึกไหม เวลาเราทำความสะอาดบ้านเรา
พอบ้านเราสะอาดแล้ว รู้สึกมีความสุขไหม
ใจมีความสุข นี่ทำความดี เห็นไหม
ไม่ได้คิดแต่ว่าคนอื่นมันก็อยู่กับเราทำไมมันไม่ทำ
มันไม่ทำ เราก็ไม่ทำ
สุดท้ายก็บ้านเน่าเชื้อโรคเยอะแยะ
เพราะฉะนั้นบุญมีตั้งเยอะตั้งแยะ
มันมีตั้ง 10 ประการ ค่อยๆ ฝึก
บุญใหญ่ที่สุด คือการทำความเห็นให้ถูก ทำความเห็นให้ตรง
คือทำสัมมาทิฏฐิให้เกิดนั่นล่ะ เป็นบุญที่โตที่สุด
ค่อยๆ ฝึกไป ทำทาน ถือศีลก็เป็นบุญ
ช่วยเหลือกิจการของผู้อื่นของสังคม
กิจการที่มีประโยชน์ ช่วยกันก็เป็นบุญ
อย่างคนไทยเมื่อก่อนนี้
เวลามีอะไรก็มาช่วยกันทำงาน ไปตั้งโรงทานไปอะไร
ตอนพระเจ้าอยู่หัวพระองค์ก่อนสวรรคต
กระแสบุญมหาศาลเลยในบ้านในเมืองเรา
ทุกคนพยายามเสียสละทำเพื่อพ่อ
พอทำเพื่อพ่อแล้ว ใครได้
เราก็ได้ เราได้ความดีในใจของเราเอง
ถ้าเราสร้างความดีให้สม่ำเสมอ
ใจเรามีความสุข มันเหมือนใจเราได้อาหารที่ดี
เรารักษาศีลไว้
เราไม่ต้องอายครูบาอาจารย์
ไม่ต้องอายเพื่อนสหธรรมิก
ลูกศิษย์หลวงพ่อที่รู้ทันจิตคนอื่นมีเยอะแยะ
ฉะนั้นใครชั่วมาอะไรนี่ ทำเป็นวางฟอร์มดี
มองกันปราดมันก็รู้แล้ว
1
พวกชั่วๆ มันจะละอาย ไม่กล้าสู้หน้าหรอก
ยกเว้นหน้าด้านจริงๆ หน้าด้านจริงๆ ไม่กลัว
ยิ้มไปอย่างนี้ ไม่กลัว
แต่ส่วนใหญ่จะกลัวหลวงพ่อ พวกเราจะกลัวหลวงพ่อ
ทำไมต้องกลัวหลวงพ่อ
บางทีศีลเราด่างพร้อย
ถ้าใจเราวอกแวกๆ ไม่มีสมาธิ
ถ้าไม่เห็นสภาวะ ไม่เห็นกิเลส ก็ไม่เกิดปัญญา …”
.
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
20 มีนาคม 2565
อ่านธรรมบรรยายฉบับเต็มได้ที่ :
https://www.dhamma.com/see-kilesa/
เยี่ยมชม
dhamma.com
กิเลสกลัวคนรู้ทัน
ธรรมะเป็นศาสตร์อันหนึ่ง ต้องลงมือปฏิบัติ ศาสตร์อันนี้ท่องจำเอาก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร กิเลสไม่กลัวความรู้ทั้งหลาย กิเลสกลัวคนรู้ทัน
Photo by : Unsplash
7 บันทึก
19
8
6
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
อ่านธรรม : อ่านใจ
7
19
8
6
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย