10 เม.ย. 2022 เวลา 08:44 • สุขภาพ
Water Fasting : สูตรการลดน้ำหนัก โดยการดื่มน้ำอย่างเดียว .. ทำอย่างไร ทำกี่วัน มีประโยชน์อย่างไร มีประโยชน์จริงหรือไม่ ลองมาอ่านกันค่ะ
Water Fasting : สูตรการลดน้ำหนัก โดยการดื่มน้ำอย่างเดียว
หลายคนอาจคุ้นเคยกับคำว่า Fasting ก็คือการคุมอาหาร เพื่อลดน้ำหนัก วันนี้เราจะมาพูดถึงการลดน้ำหนักที่เรียกว่า Water Fasting เป็นการลดน้ำหนัก โดยการที่ดื่มน้ำอย่างเดียว หรือ ดื่มน้ำเป็นหลัก
การทำ Water Fasting คืออะไร? Water Fasting เป็นการคุมอาหารโดยที่ไม่กิน หรือ ดื่มอะไรเลยนอกจาก น้ำเปล่า ระยะเวลาการทำ Water Fasting นั้น ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของแต่ละบุคคล มีได้ตั้งแต่ 24 ชั่วโมง จนกระทั่ง 3 วัน โดยที่ไม่ได้ทานอะไรเลย
จริงๆแล้ว มนุษย์เราได้คิดค้น ตั้งสูตรการอดอาหารมาเนิ่นนานแล้ว โดยจะเห็นได้จากตามหลักศาสนาต่างๆ ก็มักจะมีเรื่องของการงดเว้น การทานอาหาร บางช่วง บางเวลาร่วมด้วยอยู่เสมอ
ประโยชน์หลักๆ ของการทำ Water Fasting นั้น บางคนอาจจะไม่ได้ทำเพื่อลดน้ำหนักอย่างเดียว หลายๆคน หันมาศึกษาการทำ Fasting เพื่อรักษา หรือบรรเทาโรคต่างๆอีกด้วย
ประโยชน์อื่นๆในแง่สุขภาพของการทำ Water Fasting คือ ช่วยบรรเทาอาการของ โรคหัวใจ, ความดันโลหิตสูง, ไขมันในเส้นเลือดสูง, เบาหวาน, และ โรคอ้วน
เมื่อร่างกายของคนเราขาดคาร์โบไฮเดรตซึ่งเป็นแหล่งพลังงานหลักของมนุษย์ไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง ร่างกายก็จะเริ่มดึงเอาไขมันที่หลงเหลือในร่างกาย มาเผาผลาญทำให้เกิดพลังงานขึ้น ไขมันส่วนหนึ่งก็จะถูกดึงมาใช้ น้ำหนักก็จะลดลง และ ไขมันก็จะลดลงเช่นกัน
นอกจากนี้ การทำ Water Fasting ยังทำให้ร่างกายได้ขับถ่ายของเสียออกไป โดยที่ไม่มีอาหารใหม่เข้าไปในลำไส้ ทำให้สุขภาพของลำไส้มีความสะอาดมากขึ้น
มีงานวิจัยหลายๆงาน ให้การสนับสนุนว่า การทำ Fasting ทุกรูปแบบ ช่วยให้เซลล์มะเร็งเจริญเติบโตช้าขึ้น หรือ ในบางราย เซลล์มะเร็งก็ฝ่อ หายไปเลย
**ความปลอดภัยของการทำ Water Fasting**
จริงๆแล้ว การอดอาหาร และดื่มน้ำเพียงอย่างเดียว มีความเสี่ยงร่างกายเช่นกัน บางคนอาจจะเป็นลม หน้ามืด หมดสติไปก็ได้ เพราะฉะนั้น การทำ Water Fasting โดยลำพังจึงไม่ควรทำเกิน 24 ชั่วโมง หากต้องการทำ Water Fasting นานกว่านั้น ควรปรึกษาแพทย์ร่วมด้วย
บุคคลดังต่อไปนี้ ไม่แนะนำให้ทำ Water Fasting
2
  • เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี
  • คนที่น้ำหนักน้อยกว่าเกณฑ์
  • สตรีมีครรภ์ หรือ กำลังให้นมบุตร
  • ผู้สูงอายุ
  • ผู้ป่วยเบาหวาน Type 1 (เบาหวานจากกรรมพันธุ์)
  • ผู้ที่มีอาการของโรคไมเกรน
  • ผู้ที่อยู่ระหว่างการถ่ายเลือด
  • ผู้ที่มีโรคหัวใจ
  • ผู้ป่วยโรคไต
  • ผู้ป่วยโรคกระเพาะ
การเตรียมตัวก่อนที่จะทำ Water Fasting
  • ทานอาหารคุณภาพดี ที่ให้พลังงานเต็มที่ เช่น ธัญพืชต่างๆ ควรเป็นอาหารไขมันน้อย เช่น อกไก่
  • เลือกวันที่เหมาะในการทำ Water Fasting เช่น วันที่ไม่ต้องทำงาน
  • หากเริ่มทำ Water Fasting ครั้งแรกๆ และรู้สึกไม่ดี ให้ดื่มหรือทานอาหารที่ให้แคลอรี่น้อย ในปริมาณที่ไม่มาก
  • หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายให้ใช้แรงเยอะ
  • หากิจกรรมสบายๆทำระหว่าง Fasting เช่น อ่านหนังสือ นั่งสมาธิ เป็นต้น
** การเลือกน้ำดื่ม สำคัญมาก ในการทำ Water Fasting **
4
คุณภาพของน้ำดื่ม เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการทำ Water Fasting เนื่องจาก น้ำจะเป็นอย่างเดียวที่เรานำเข้าร่างกายได้ เพราะฉะนั้น จึงควรดื่มน้ำที่มีแร่ธาตุ เช่น น้ำแร่ (Mineral Water) , หรือ น้ำอิเล็กโทรไลซ์ (Electrolyzed Water)
ปริมาณน้ำที่ดื่มในแต่ละวัน ไม่ควรต่ำกว่าวันละ 3 ลิตร
แนะนำให้ดื่มน้ำที่มีค่า pH ไม่ต่ำกว่า 7 (น้ำจะได้ไม่มีความเป็นกรด) ในต่างประเทศ นิยมดื่มน้ำ Alkaline Ionized Water (หรือ Electrolyzed Water) ในระหว่างการทำ Water Fasting เนื่องจากเป็นน้ำที่มีแร่ธาตุ เช่น แคลเซียม แมกนีเซียม และมีค่าความเป็นด่างอ่อนๆ เป็นค่า pH ที่ใกล้เคียงกับเลือด (น้ำแร่ ส่วนมากจะมี pH เป็นด่างเล็กน้อย)
น้ำแร่ในแต่ละขวด มักจะระบุปริมาณแร่ธาตุอยู่ข้างขวด
ในทางตรงกันข้าม น้ำที่ไม่ควรดื่มในระหว่างการทำ Water Fasting คือ น้ำที่ไม่มีแร่ธาตุ (De-mineralized Water) , น้ำกลั่น (Distilled Water) , น้ำรีเวิร์สออสโมซิส (Reverse osmosis water)
ในบางตำรา ก็แนะนำให้มีการผสมน้ำมะนาวลงไปในน้ำดื่มเล็กน้อย เพื่อให้ได้รับวิตามิน C หรือ อาจจะดื่มชาบางเล็กน้อย แต่จะต้องเป็นชาที่ไม่มีคาเฟอีน และไม่มีแคลอรี่ หากเป็นชาที่ทำเอง หรือชาออแกนิคก็จะดีมากๆ
สิ่งสำคัญในการทำ Water Fasting รวมไปถึงการทำ Fasting ต่างๆด้วย นั่นคือ ความสบายใจในการปฏิบัติ หากรู้สึกว่าเกิดความไม่สบายใจ เป็นความเครียด ระหว่างการทำ Fasting ทุกประเภท ให้ค่อยๆกลับมาทานอาหาร แล้วเริ่มทำ Fasting ใหม่ในวันถัดไป หรือในโอกาสถัดไป
อย่าฝืนร่างกาย และจิตใจจนเกินไป เพราะหากเกิดความเครียดขึ้นแล้ว ก็จะทำให้ระบบต่างๆในร่างกายทำงานได้ไม่ดีเช่นกัน
โฆษณา