13 เม.ย. 2022 เวลา 02:00 • ปรัชญา
4 วิธีที่จะเพิ่มการเห็นคุณค่าในตัวเอง
จากบทความของนักจิตวิทยา Nick Wignall
4 Simple Ways to Improve Your Self-Esteem
ทำไม? และ อะไร? ที่ทำให้เราขาดความนับถือหรือเห็นคุณค่าในตัวเอง ?
ทำไมการเห็นคุณค่าในตัวเอง หรือว่า Self - Esteem จึงสำคัญนัก?
มันเป็นเรื่องจำเป็นมากแค่ไหน?
ถ้าเราขาดการเห็นคุณค่าในตัวเองไปจะเกิดอะไรขึ้น?
แล้วเราจะเพิ่ม self esteem หรือการเห็นคุณค่าในตัวเองได้อย่างไร?
ซึ่งบทความของคุณ Nick Wignall
พอเราได้นั่งอ่านแล้วรู้สึกว่า มันเป็น เรื่องพื้นฐานที่ดีมากๆเลย
และคิดว่า มันอาจจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆ หรือคนอื่นๆ ที่กำลังตกอยู่ในสภาวะเดียวกันกับเราด้วย
บทความนี้ชื่อว่า 4 Simple Ways to Improve Your Self-Esteem
แต่ก่อนที่จะเข้าเรื่อง
เราอยากตั้งคำถามว่า
ทำไมการเห็นคุณค่าในตัวเอง หรือว่า Self - Esteem จึงสำคัญนัก?
มันเป็นเรื่องจำเป็นมากแค่ไหน?
ถ้าเราขาดการเห็นคุณค่าในตัวเองไปจะเกิดอะไรขึ้น?
ในบทความที่คุณ Nick Wignall ได้เขียนเอาไว้ในตอนเกริ่นนำนั้น
เขาบอกว่า การจะมี Self - Esteem ได้นั้น
ไม่ได้เกิดจากการยืนยิ้มหน้ากระจกแล้วคุณบอกตัวเอง
ว่าคุณเก่งหรือดีแค่ไหน
1
เพราะการเห็นคุณค่าในตัวเอง
ไม่ใช่ความรู้สึกชั่วคราว
การเห็นคุณค่าตัวเอง หรือการนับถือตัวเอง ไม่ได้เกิดจากคำพูดของนักจิตบำบัดที่เรากำลังไปพบอยู่ที่อธิบายกับตัวเราเอง
หรือเกิดจากบทสวดมนต์ ... อืม !
คนที่มี Self - Esteem ต่ำ มักจะมองข้ามคำชมหรือสิ่งที่ตัวเองทำได้ดี
เพราะฉะนั้น คำพูดต่างๆ ที่คนพูดเกี่ยวกับคนที่มีความรู้สึกนี้
อาจจะอยู่ได้เพียงชั่วคราว
แต่ไม่ได้ลงไปในใจของเค้าอย่างแท้จริง
1
แล้วถ้าอย่างนั้น การเห็นคุณค่าในตัวเองที่แท้จริงคืออะไร?
Self-esteem is your reputation with yourself.
Naval Ravikant
Self - Esteem ที่แท้จริง
เกิดจากความภาคภูมิใจด้วยการทำบางสิ่งบางอย่างเสมอๆ
1
และเมื่อภาคภูมิใจ พวกเขา ก็จะทำสิ่งเหล่านั้นต่อไปอย่างสม่ำเสมอ
จนเกิดเป็น การนับถือตัวเอง ภาคภูมิใจในตัวเอง
ซึ่งหมายความว่า ต้องใช้เวลา จึงจะได้มา
อะไรก็ตามที่ทำให้เราภูมิใจ
ขอให้เราทำสิ่งนั้นซ้ำๆ
ทีนี้เรามาดู 4 วิธี ในการเพิ่ม Self - Esteem จากบทความกันค่ะ
1. Don’t make promises to yourself that you can’t keep.
อย่าสัญญากับตัวเองในสิ่งที่เราไม่สามารถรักษาสัญญานั้นได้
เพราะอะไร ? เพราะการที่รักษาสัญญาในสิ่งที่เราทำไม่ได้นั้น
ทำให้เสี่ยงต่อการล้มเหลว
และมีล้มเหลวก็ทำให้เรารู้สึกย่ำแย่กับตัวเองเพิ่มขึ้นอีก
เช่นอะไรบ้าง ?
เช่นเราบอกกับตัวเองว่า เราจะลดน้ำหนักให้ได้ 10 กิโลกรัมใน 2 เดือน
ซึ่งในความเป็นจริงแล้วมันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย แปลว่าเป้าหมายของเราไม่สมจริง หรือ ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง
หรือแม้แต่การที่เราจะลดน้ำหนัก 2 กิโลกรัม ใน 2 เดือน
แต่ว่า ในช่วงนั้น เราต้องไปงานเลี้ยง ต้องไปเจอครอบครัว หรือเป็นช่วงที่เราต้องใช้พลังงานเยอะ การลดน้ำหนักในช่วงนี้ก็อาจจะยังไม่เหมาะสมกับเราก็ได้
หรือถ้าเอาเรื่องที่เราเผชิญอยู่ตอนนี้ก็อย่างเช่น
เราจะหาเงินให้ได้เดือนละ หนึ่งแสน
ในขณะที่เราเพิ่มเริ่มทำธุรกิจ
บางคนอาจจะทำได้นะ
แต่ในแง่ความเป็นจริงแล้ว
ด้วยความรู้และประสบการณ์ในการทำธุรกิจเรา
ยังมีไม่พอที่จะทำยอดขาย
และการเน้นที่การทำยอดขาย อาจจะยังไม่ใช่จังหวะในตอนนี้
แต่เราอาจจะต้องเน้นการวางแผนธุรกิจ พัฒนาโปรดัค ทำการตลาด เสียก่อน
เพราะการที่เรามีแผนชัดเจน เห็นโครงสร้างบ้าง เราก็จะประเมินตัวเอง ประเมินสถานการณ์ และ ตั้งเป้าหมายได้
เพราะฉะนั้น การตั้งเป้าหมายที่เหมาะสม
และเริ่มทำ ก็จะทำให้ตัวเราเอง ทำได้สำเร็จง่ายยิ่งขึ้น
2. Ask for help when you need it, not because you want it.
ขอความช่วยเหลือเมื่อจำเป็นจริงๆ ไม่ใช่ขอความช่วยเหลือไปเสียทุกเรื่อง
จริงๆ การขอความช่วยเหลือเป็นสิ่งที่พวกเราควรจะมี
และ ควรจะฝึกฝนตัวเองที่จะขอความช่วยเหลือ
แต่สิ่งที่ Nick Wignall กำลังจะบอกก็คือ
ขอความช่วยเหลือ ก็ต่อเมื่อ เราพยายามทำเรื่องนั้นอย่างสุดความสามารถของตัวเองแล้ว และเราไม่เห็นทางออกแล้วจริงๆ
และเมื่อนั้นการขอความช่วยเหลือจากคนอื่นก็จะเป็นสิ่งที่เรา need มันจริงๆ
เพราะการที่เรา ขอความช่วยเหลือทุกเมื่อ เมื่อเราต้องการ
โดยที่เราไม่ได้พยายามที่จะทำอะไรเองหรือหาทางออกด้วยตัวเองเลย
ก็จะกลายเป็นว่า เราต้องพึ่งพาคนอื่นเสมอ
และตัวเราเองก็ไม่ได้สำคัญอะไร
บางทีเราอาจจะทำแบบนั้นกับตัวเองโดยที่เราไม่รู้ตัวก็ได้
3. Stop having conversations with unproductive thoughts.
อย่าสนทนากับความคิดแง่ลบหรือความคิดที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์
แน่นอนว่ามนุษย์เราเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีสมอง
และมนุษย์เราชอบคิด เราเคยอ่านเจอใน The Momentum เค้าบอกว่า
'คนเราคิดนู่นคิดนี่กันมากถึง 70,000 เรื่องต่อวัน! เฉลี่ยเป็น 3,000 เรื่องต่อชั่วโมง นาทีละ 50 เรื่อง...'
ก็พวกเราคิดมากไปซะขนาดนั้น
แต่ถ้าหากเราใช้เวลากับความคิดทุกความคิด
ก็คงไม่เป็นอันทำอะไรกันพอดี
แต่อันทีจริง ความคิดเหล่านี้อาจจะเป็นเพียงความคิดที่แวบไป แวบมา
แต่ความคิดที่มักจะทำให้เราเสียเวลาไปกับมันก็คือ
การคิดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้ว กับบางเรื่องที่ยังไม่เกิดและไม่มีประโยชน์อะไรที่เราจะกังวลไปก่อน
Nick ได้ยกตัวอย่าง เกี่ยวกับ คู่รักที่อาจจะทำให้อีกฝ่ายนึกถึงความทรงจำที่เขาหรือเธอเคยเจ็บปวดและกระทบกระเทือนจิตใจ
แน่นอนว่า เรื่องเหล่านี้มักจะเกิดขึ้นได้
แต่การที่เราเลือกที่จะผ่านเลยไป
ก็ทำให้ไม่ต้องมาเสียเวลากับเรื่องที่ผ่านไปแล้ว
เราชอบคำที่ Nick กล่าวเอาไว้ว่า
Notice your thoughts. Say hello to them. But don’t feel like you have to have a conversation with them.
Nick Wignall
ความคิดแง่ลบ มันจะต้องผ่านเข้ามาอยู่แล้ว
เราอาจจะ Say hello มันได้
แต่เราไม่ต้องนั่งลงแล้วสนทนากับมันก็ได้
กล่าวคือ การเห็นคุณค่าในตัวเองนั้นขึ้นอยู่กับการจัดการความสนใจของตัวเอง
เราต้องไม่ตกเป็นเหยื่อของความคิด
โดยเฉพาะความคิดแง่ลบ
ที่ทำร้ายตัวเราเอง
4. Trust your values, not your emotions.
เชื่อในคุณค่าของตัวคุณเอง ไม่ใช่ อารมณ์ความรู้สึกของคุณ
ข้อนี้โดนใจเรามากๆ เพราะว่าเราเป็นมนุษย์ที่มี Emotions สูงมากๆๆๆ
และหลายครั้งที่เรามักจะจมอยู่กับความรู้สึกมากกว่าข้อเท็จจริง
เราควรเชื่ออารมณ์ของเรามั้ย?
ไม่เลย แต่เราสามารถฟังอารมณ์ของเราได้
การฟังแปลว่าเรายอมรับการเกิดขึ้น การมีอยู่ของอารมณ์ของตัวเราเอง
ว่าเรากำลังรู้สึกอะไร หรือมีอารมณ์แบบไหน
แต่เราต้องไม่เชื่ออารมณ์
เช่น วันนี้เราอยากกินชาไข่มุกสัก 2 แก้วจังเลย
/ อันนี้คืออารมณ์ของเรา ถ้าเราเชื่ออารมณ์ตัวเอง เราก็จะสั่งชาไข่มุก 2 แก้ว ถือกลับบ้าน ดูดไประหว่างทางแก้วนึง อีกแก้วนึงอาจจะกินเป็นมื้อถัดไป
/ แต่การไม่เชื่ออารมณ์ตัวเอง เราจะโต้แย้งได้ว่า แต่การกินชาไข่มุก ถึง 2 แก้วต่อวัน อาจจะส่งผลเสียต่อสุขภาพของเรานะ
ถ้าหากว่าเราไม่เชื่ออารมณ์ของเรา
เราก็จะทำตามเหตุผลที่เราโต้แย้งกับตัวเอง
และแน่นอนว่า เมื่อเราทำแบบนี้ซ้ำๆ
เราก็จะเกิดความมั่นใจในตัวเอง ภูมิใจตัวเอง เห็นคุณค่าในตัวเอง ที่ทำให้ตัวเองหยุดกินชาไข่มุก 2 แก้ว และมีสุขภาพที่ดีในระยะยาวได้
ไม่ใช่เพียงแค่การหยุดตัวเองให้ทำเรื่องที่จะทำให้เกิดผลเสียเท่านั้น
แต่ยังรวมไปถึงการทำ สิ่งดีๆ เพื่อตัวเองและเพื่อคนอื่นอีกด้วย
Nick ยกตัวอย่าง แม่ชีเทเรซ่า มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ หรือ คนอื่นๆ ที่พวกเขาออกมาเก็บขยะบนถนน ทุกๆ เช้าวันเสาร์
คนเหล่านี้ อาจจะเป็นกลุ่มคนที่ลุกขึ้นมาพูดความจริง แต่ไม่มีใครรับฟัง
ต่อสู้กับศัตรู คนพาล ผู้รุกราน แต่คนเหล่านี้ก็ไม่เคยหยุดที่จะเก็บขยะ
แม้ว่าพวกเขาอาจจะอยากนอนตื่นสายแล้วดู Netflix อยู่บนเตียงนอน
แต่เราเชื่อว่า บุคคลเหล่านี้ พวกเขาย่อมเห็นคุณค่าของการทำความดี
บางอย่าง อย่างสม่ำเสมอ เพื่อสร้างคุณค่า สร้างความภูมิใจให้กับตัวพวกเขาเอง
แล้วไม่ใช่ใครที่ไหนที่รู้สึกภูมิใจในตัวพวกเขา
แต่เป็นพวกเขาเองนั้น ที่มีความรู้สึกภาคภูมิใจต่อตัวเอง
และมุ่งมั่นที่จะทำสิ่งที่ดีให้โลกใบนี้ต่อไป
เราขอทบทวน 4 วิธี ในการเพิ่ม Self - Esteem
2
1. อย่าสัญญากับตัวเองในสิ่งที่เราไม่สามารถรักษาสัญญานั้นได้
2. ขอความช่วยเหลือเมื่อจำเป็นจริงๆ ไม่ใช่ขอความช่วยเหลือไปเสียทุกเรื่อง
3. อย่าสนทนากับความคิดแง่ลบหรือความคิดที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์
4. เชื่อในคุณค่าของตัวคุณเอง ไม่ใช่ อารมณ์ความรู้สึกของคุณ
สุดท้าย รู้สึกขอบคุณมากๆ ที่ได้เจอบทความนี้ ในจังหวะชีวิตตอนนี้
สิ่งที่ตัวเราเองต้องทำคือ
- เราต้องไม่กดดันตัวเอง ด้วยการตั้งเป้าหมายที่เป็นไปได้ยาก
- เรื่องการขอความช่วยเหลือ จริงๆ แล้วเราอยู่ในเกณฑ์ที่ต้องฝึกขอความช่วย
เหลือจากคนอื่นมากกว่า โดยปกติเราไม่ค่อยขอความช่วยเหลือจากใครเลย เพราะขี้เกรงใจ + เป็นคนที่พอใจอะไรยาก 55555
- จากบทความเรียนรู้ว่า บางที การไม่ขอความช่วยเหลือเลย แล้วเรานั่งจมอยู่กับทางตัน ก็อาจจะทำให้เรารู้สึกแย่กับตัวเองได้เหมือนกัน
- ต่อไปนี้ จะไม่แวะคุยกับความคิดทุกความคิดแล้ว จะคุยแต่กับความคิดที่ดีนะ แฮ่
- เชื่อในคุณค่าตัวเอง ไม่เชื่อในอารมณ์
โดยปกติ เป็นคนทำอะไรตามอารมณ์มากๆๆๆเลย ต่อจากนี้จะเป็นคนที่มีวินัยมากขึ้น ตอนนี้สิ่งที่อยากเรียนรู้มีอีกมาก สิ่งที่อยากทำก็มีอีกมากเลย
อย่างเช่น เป้าหมายที่อยากทำคือ การทำคอนเทนต์ที่สม่ำเสมอ แต่ปัญหาคือ ไม่มี input ที่มากพอ หรือดีพอ จนรู้สึกว่าอยากจะแชร์
* สิ่งที่ต้องทำคือ หมั่นเพิ่ม input ที่มีคุณภาพให้ตัวเองเสมอๆ
สุดท้าย เราต้องไม่กดดันตัวเอง ยอมรับช่วงวัยของตัวเอง และจังหวะชีวิต
อย่างเราในตอนนี้เราอยู่ในจังหวะ เปลี่ยนผ่าน เปลี่ยนสายงานสายอาชีพ และ กำลังจะเรียนรู้ พร้อมกับมีสิ่งต่างๆ ที่เข้ามามากมาย เพราะฉะนั้นการรู้สึกว่าตัวเองไม่เก่งอะไรก็อาจจะเป็นเรื่องปกติของช่วงวัย
วันนี้เรามากอดตัวเองกันนะ
แล้วค่อยๆทบทวน ข้อดีของตัวเอง แล้วทำมันต่อไปอย่างสม่ำเสมอ
เราเชื่อว่าทุกคนล้วนมีข้อดีในตัวเองให้ได้ภาคภูมิใจ
การยึดสิ่งนี้แล้วพัฒนาต่อไป จะเป็นพลังให้เรา ฮึ้บๆ ได้แน่นอน !
สำหรับวันนี้ไปแล้วค่าา บ๊ายบายยย
บทความนี้เรียบเรียงจากบทความของคุณ Nick Wignall — จากเว็บไซต์ Medium
ปล. บทความตอนนี้ เราจะทำเป็น podcast ด้วยนะคะ
ถ้าอัด ตัดต่อเสร็จเมื่อไหร่ จะเอามาฝากกันค่ะ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา