18 เม.ย. 2022 เวลา 09:21 • นิยาย เรื่องสั้น
รีวิวหนังสือ(และสปอยเล็กน้อย) : โคะโคะโระ - ความห่างเหิน ยุคสมัยที่เปลี่ยนผ่าน และจิตใจที่ไร้ซึ่งวิญญาณ
พวกเราเกิดมาในยุคปัจจุบันซึ่งเต็มไปด้วยอิสรเสรี มีทั้งความเป็นตัวของตัวเองและความเห็นแก่ตัว ควบคู่กันนั้นล้วนตกเป็นเหยื่อแห่งความเหงากันทุกคน
เซนเซ
หนังสือที่ผมหยิบมารีวิวเล่มนี้ คือนวนิยายโด่งดังของญี่ปุ่น ชื่อเรื่อง โคะโคะโระ (こころ) โดย นัทสึเมะ โซเซกิ (Natsume Soseki) นักเขียนผู้บุกเบิกวรรณกรรมญี่ปุ่นสมัยใหม่ เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อปี 1914 ตรงกับยุคไทโช (1912-1926) หรือตรงกับสมัย ร.6 ของไทย ผลงานเรื่องอื่นๆของโซเซกิที่เรารู้จักกันก็คือ ‘อันตัวข้าพเจ้านี้คือแมว’ (สำนักพิมพ์กำมะหยี่) ‘ฝันสิบราตรี’ และ ‘ซันชิโร’ (สำนักพิมพ์ JLiT) (ไว้ผมจะหยิบยบมาเล่าในครั้งถัดๆไป) โคะโคะโระนี้ ได้มีการพิมพ์มาแล้วหลายครั้งในไทย แต่ครั้งล่าสุดที่รูปเล่มปกแข็งสวยงามนั้น มาจากสำนักพิมพ์ยิปซี ซึ่งอยู่ข้างตัวผมในขณะนี้
Natsume Soseki (1867-1916)
Footnote : นัทสึเมะ โซเซกินี่แหละครับ ที่เป็นคนต้นคิดคำบอกรักสุดโรแมนติกอย่าง 「月が綺麗ですね。」(Tsuki ga Kirei desu ne) หรือ ‘พระจันทร์สวยดีนะ’
เอาล่ะ เริ่มต้นการรีวิวของผม โคะโคะโระ (こころ) ภาษาญี่ปุ่นนั้นแปลว่า หัวใจ ดวงใจ จิตใจ ความคิด จิตวิญญาณ ซึ่งเป็นความหมายที่กว้างมาก เพราะไม่ใช่แค่เพียงแค่อวัยวะกายเนื้ออย่าง หัวใจ (ภาษาญี่ปุ่นคือ 心臓 - Shinzou แปลว่าหัวใจที่เป็นอวัยวะตรงๆ) โคะโคะโระนั้นสื่อไปถึงสิ่งที่เป็นนามธรรมที่ปรากฎอยู่ภายใน หากจะแปลเป็นภาษาอังกฤษก็จะประมาณว่า ‘Mental’ ‘Spirit’ ‘Idea’ ‘Thought’ ‘Heart’ ‘Feels’ จะเห็นว่า เป็นเรื่องของโลกภายในทั้งสิ้น และไม่อาจบัญญัติด้วยภาษาไทยหรืออังกฤษได้ด้วยคำๆเดียว ดังนั้นการที่ผู้แปลหนังสือเล่มนี้ใช้ทับศัพท์เป็น ‘โคะโคะโระ’ ไปเลยนั้น ก็ถือว่าได้กอบเก็บและครอบคลุมความหมายทั้งหมดของ ‘โคะโคะโระ’ เอาไว้แล้ว
ตัวนักเขียน หรือโซเซกิ ก็ได้เขียนคำนิยมแก่หนังสือเล่มนี้ด้วยตัวเองครับ
"ข้าพเจ้าขอแนะนำหนังสือ ซึ่งสามารถทำให้ผู้อ่านเข้าถึงชีวิตจิตใจของมนุษย์ แด่ผู้ไขว่คว้าจะเข้าถึงจิตใจของตนเอง"
นัทสึเมะ โซเซกิ
โคะโคะโระ มีเนื้อเรื่องคร่าวๆ คือ ตัวเอก ที่ในเรื่องนั้นแทนตัวว่า ‘ข้าพเจ้า’ หรือ Watashi/Watakushi (私) นักศึกษาหนุ่ม ที่ได้พบปะและสนิทสนมกับเซนเซ (Sensei / 先生 แปลว่า อาจารย์ ใช้กับอาจารย์จริงๆหรือคนที่เรายกย่องนับถือก็ได้) ชายวัยกลางคนที่จะเรียกว่าเป็น 'ปัญญาชน' ในสมัยนั้นก็ว่าได้ เพราะตัวเซนเซเคยเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยและนักวิชาการมาก่อน ก่อนที่จะยุติบทบาททางสังคมของตัวเอง ไม่ทำงาน ปิดกั้นตัวเองจากโลกภายนอกและใช้ชีวิตร่วมกับภรรยา หรือ โอคุซัง (奥さん แปลว่าภรรยา โดยเป็นคำที่คนอื่นเรียกภรรยาของเรา) 'ข้าพเจ้า' มักไปหาเซนเซบ่อยครั้งที่บ้าน เพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องต่างๆทั้งทางวิชาการ เรื่องการใช้ชีวิต อาจเพราะถูกชะตาหรืออย่างไรไม่ทราบ เซนเซไม่มีที่ท่ารังเกียจตัวเอกที่พยายามสนิทสนมกับตน
ตัวเอกเมื่อได้มาเยี่ยมเซนเซที่บ้านบ่อยๆเข้า ก็เริ่มสนิทสนมกับภรรยาของเซนเซ ตัวเอกพบว่า สองสามีภรรยาคู่นี้นั้นก็ไม่ต่างจากคู่รักทั่วๆไป นั่นคือรักใคร่กลมเกลียวกันดีมาก ไม่เคยมีเรื่องใดเลยที่เซนเซไม่พอใจในตัวภรรยา โอคุซังก็เช่นกัน เธอกล่าวว่า "คงจะไม่มีใครทำให้เขามีความสุขได้เท่าดิฉัน" แต่ในขณะเดียวกัน แม้ว่าทั้งสองจะรักกันแค่ไหน เซนเซกับภรรยาก็มีระยะห่างระหว่างกันอยู่ สาเหตุนั่นก็เพราะเรื่องราวในอดีตของเซนเซ ที่ไม่ยอมเปิดเผยให้ภรรยารู้ และเรื่องราวนั้นก็เป็นตราบาปที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเซนเซไปตลอดกาล และเซนเซก็ได้เขียนเรื่องราวทั้งหมดของเขาเป็นจดหมายขนาดยาวถึงตัวเอก ผู้ซึ่งปรารถนาจะเรียนรู้จิตใจเบื่องลึกของเซนเซและของมนุษย์ ก่อนที่เซนเซจะจบชีวิตตัวเองลง
จะกล่าวย่อๆ ถึงเรื่องราวในอดีตของเซนเซนะครับ และนี่ก็คือสาเหตุที่เซนเซกลายเป็นเช่นนี้
(หากอยากหลบสปอยอย่างหนักหน่วง เลื่อนผ่านไปเลยครับ).
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
สมัยที่เซนเซเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยโตเกียว เนื่องจากญาติหรืออาของเขาได้โกงทรัพย์สมบัติของพ่อแม่เขาไป จนแทบไม่เหลืออะไรเป็นมรดกตกถึงเขาเลย (และนี่คือปมในชีวิตแรกของเซนเซครับ ที่ทำให้เขามองว่ามนุษย์มีความชั่วร้ายในตัว) เซนเซจึงได้เช่าบ้านอยู่กับคุณนายเจ้าของบ้านซึ่งเป็นแม่ม่าย และคุณหนู ซึ่งเป็นลูกสาวของคุณนาย แน่นอนทั้งคุณหนูและเซนเซในตอนนั้นแอบชอบพอกัน ความคิดเชิงตรรกะเหตุผลนั้นใช้กับความรักนี้ไม่ได้เลย แต่เซนเซก็ไม่มีความกล้าที่จะสารภาพออกไปและสู่ขอลูกสาวจากคุณนาย
จนวันหนึ่ง เขาได้พาเพื่อนของเขาที่ชื่อ K มาอยู่ด้วย ด้วยเหตุผลบางอย่าง เซนเซกับ K เป็นเพื่อนซี้กันมาตั้งแต่เด็ก แต่ K นั้นเป็นคนที่แปลกประหลาด มีโลกส่วนตัวสูง ช่างคิดในเรื่องเชิงนามธรรม เซนเซจึงรู้สึกเป็นห่วง K กลัวว่าเพื่อนคนนี้จะแตกสลาย เพราะ K ขัดแย้งกับครอบครัวอย่างหนัก แถมบุคลิกของ K ก็ชวนให้กังวลว่าเขาจะแตกสลายได้เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ จึงพามาอยู่ร่วมกันในบ้านหลังนั้น ทีแรกคุณนายคัดค้าน แต่เซนเซแย้งด้วยเหตุผลที่คุณนายปฏิเสธไม่ลง แต่เมื่อ K เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในบ้านนั้นแล้ว เซนเซกลับยิ่งรู้สึกถึงบางอย่างต่อ K ความอิจฉา การเปรียบเทียบ ทั้งเรื่องหน้าตาและมันสมองและยิ่งไปกว่านั้น นั่นคือความหึงหวงคุณหนูเมื่อ K ยิ่งมาใกล้ชิดคุณหนู แต่เซนเซก็ไม่มีความกล้าจะไปสู่ขอเช่นเคย
ต่อมา K มาสารภาพกับเซนเซว่าเขานั้นชอบคุณหนู (ผมเดาว่า K อาจไม่รู้ว่าเซนเซนั้นชอบคุณหนูมาก่อนแล้ว) เซนเซพูดอะไรไม่ออก ได้แต่ตัวแข็งทื่อ (ในหนังสือบรรยายความรู้สึกของเซนเซออกมาได้หมดเปลือกมากครับ) แต่ก็อารมณ์ประมาณว่า เซนเซยิ่งระแวงและเพิ่มความแปลกแยกในตัว K หนักกว่าครั้งไหนๆ จนวันหนึ่ง เซนเซชิงตัดหน้าไปหาคุณนาย และสู่ขอคุณหนู คุณนายตอบตกลง (จริงๆแล้วผมคิดว่าการที่คุณนายคัดค้านเรื่องการพา K เข้ามาอยู่ในบ้านก็อาจเป็นเพราะเรื่องนี้ครับ)
เมื่อ K รู้เรื่องนี้ทีหลังจากคุณนาย เขาก็ไม่มีอะไรจะพูดนอกจาก "ดีใจด้วยครับ" เซนเซรู้สึกถึงความขี้ขลาดของตัวเองได้ในทันที ตัวเขาไม่ต่างอะไรจากคนเลวที่ทำได้ทุกอย่างกระทั่งหักหน้าเพื่อนสนิท และคืนวันที่ K รู้เรื่องราว K ก็ฆ่าตัวตายทันที และหลักจากเรื่องราวนี้จบลง มันก็ได้กลายเป็นชนักติดหลังและตราบาปของเซนเซไปตลอดกาล
ต่อมาเซนเซก็ได้แต่งงานกับคุณหนูดังที่หวัง และคุณหนูคนนั้น ก็คือ โอคุซัง ภรรยาของเซนเซในเวลาต่อมา พวกเขามีความสุขกับชีวิตแต่งงานดี แต่ตราบาปในใจเซนเซกลับทำให้เขายิ่งทุกข์ทนกับชีวิตคู่ไปพร้อมๆกัน และเซนเซก็ไม่เคยไปไหว้หลุมศพ K ร่วมกับภรรยาอีกเลย นับจากครั้งแรกที่ไป ด้วยกัน ความผิดบาปที่เหนี่ยงรั้งจิตใจเซนเซไม่ให้พบกับความสุข เขายิ่งรู้สึกว่าตัวเองนั้นช่างไร้ค่า ไม่อาจเป็นแบบอย่างให้ใคร และยิ่งปิดกั้นจิตใจเขาจากสังคม ปิดกั้นตัวเขาจากการทำงาน จนเขาเลิกทำงานและใช้ชีวิตไปวันๆ ด้วยทรัพย์สมบัติส่วนตัวของเขาและภรรยาที่พอจะเลี้ยงชีพไปตลอดชีวิตได้
แม้ว่าเซนเซจะรักภรรยามากแค่ไหน แต่ทุกครั้งที่เขามองหน้าภรรยา ภาพของ K ก็มักจะเข้ามาในหัวเขาทุกครั้ง มันเป็นความทุกข์ที่มาพร้อมกับความสุขโดยแท้ และมีหลายครั้งที่เซนเซคิดจะหยุดสิ่งเหล่านี้ไปพร้อมกับชีวิตตัวเอง แต่เขาก็ไม่มีความกล้ามากพอที่จะทำ เพราะภรรยาคือสิ่งที่ยึดเหนี่ยวเขาไว้
เมื่อเวลาต่อมา (ตัดกลับมาปัจจุบันแล้วครับ) ช่วงที่ตัวเอกกลับไปเยี่ยมพ่อที่ป่วย จักรพรรดิเมจิได้สวรรคตลง เซนเซยิ่งมีความรู้สึกราวกับว่า ตัวเองเป็นสิ่งตกค้างของยุคสมัย และไม่อาจตามทันจิตวิญญาณแห่งยุคสมัยใหม่ได้ เพราะเซนเซคือคนจากโลกเก่า ในขณะที่ญี่ปุ่นก้าวเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ ความเจริญพรั่งพรู ก่อเกิดระบอบทุนนิยมเสรี (แบบไม่เต็มใจนัก ในช่วงก่อนปฏิรูปเมจิ)
มันเป็นการปะทะและขัดแย้งกันระหว่างอุดมการณ์ของญี่ปุ่นสมัยเก่าและค่านิยมของเสรีนิยมใหม่ เซนเซที่เป็นนักศึกษาในช่วงที่เป็นรอยต่อของวิทยาการและแนวคิดปรัชญาแบบตะวันตกหลั่งไหลเข้ามาในญี่ปุ่น มันก็เป็นเรื่องที่เราเข้าใจได้ ที่เซนเซจะสับสนว่าควรจะทำอย่างไรกับความรู้ใหม่ในขณะที่ ตัวตนเก่าทำให้เขาเป็นเขาในทุกวันนี้ จักรพรรดิซึ่งเป็นตัวแทนของจิตวิญญาณแห่งญี่ปุ่นแท้ได้ตายตกไป เซนเซก็เหมือนกับซามูไรไร้นาย ที่จิตวิญญาณอันแสนจงรักภักดีนั้นติดตามนายไปสู่ภพหน้า เซนเซได้นึกถึงนายพลโนะงิ ที่ฆ่าตัวตายตามจักรพรรดิเมจิไป ด้วยความรู้สึกที่คล้ายๆกัน แต่นายพลโนะงิเหมือนจะตั้งใจไว้นานมาแล้วตั้งแต่ที่เขาสร้างตราบาปแก่ชีวิตตนเองในสงคราม เซนเซจึงตัดสินใจที่จะจบชีวิตของตัวเองลง เพราะจิตวิญญาณในตัวเขานั้นได้ตายไปแล้ว
ก่อนจะลาลับไป เซนเซได้เขียนจดหมายซึ่งบรรยายถึงเรื่องราวชีวิตและจิตใจของตัวเองให้แก่ตัวเอก พร้อมสั่งเสียว่าไม่ให้เล่าเรื่องราวในอดีตของเซนเซให้ภรรยารู้ เขาไม่ต้องการให้ภรรยามีตราบาปในชีวิตเหมือนเขา และรักษาความทรงจำของภรรยาต่อเซนเซให้บริสุทธิ์ตราบจนชีวิตเธอจบสิ้นลง
(จบเรื่องโดยย่อ)
หนังสือเล่มนี้มีสามบทครับ คือ 1. เซนเซและข้าพเจ้า 2. พ่อแม่และข้าพเจ้า 3. เซนเซกับพินัยกรรม เกือบครึ่งของหนังสือเล่มนี้ คือบทที่สามครับ จดหมายยาว(มากๆ)ของเซนเซ สองบทแรกเพียงแค่เล่าบรรยากาศของตัวเรื่องและความห่างเหินจากมนุษย์ของเซนเซผ่านการเล่าเรื่องของ 'ข้าพเจ้า' ครับ เอาล่ะ ส่วนสุดท้ายผมจะเขียนเกี่ยวกับบทเรียนที่ได้จากการอ่านครับ
1. จิตใจที่ยากจะหยั่งถึงของมนุษย์
นี่เป็นสัจจะโดยแท้ครับ จิตใจของเรานั้นเปรียบเสมือนจักรวาล มีความยุ่งเหยิง มีแสงสว่าง มีความมืด หรือจะเปรียบเหมือนมหาสมุทรสุดลึกล้ำก็ได้ จิตใจที่แสนล้ำลึก ผนวกกับความทรงจำที่ติดตัวเรามา มันก็เป็นสิ่งที่บอกได้ว่าปัจเจกบุคลลจะมองโลกอย่างไร เซนเซเป็นตัวละครที่แสดงความซับซ้อนในจิตใจสูง เขารักภรรรยา แต่ก็ไม่อาจจะมองเธอได้เหมือนสามีทั่วไป เพราะรอยแผลและตราบาปที่เซนเซไม่อาจลืมเลือนได้ และมนุษย์ก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เราเป็นได้ทั้งคนดีและคนชั่ว คนดีหากเจอเหตุปัจจัยบางอย่างเข้าก็สามารถชักนำพาให้เขากระทำสิ่งที่ชั่วร้ายได้ ดังที่เซนเซพูดกับตัวเอกในเรื่องว่า
1. จิตใจที่ยากจะหยั่งถึงของมนุษย์
นี่เป็นสัจจะโดยแท้ครับ จิตใจของเรานั้นเปรียบเสมือนจักรวาล มีความยุ่งเหยิง มีแสงสว่าง มีความมืด หรือจะเปรียบเหมือนมหาสมุทรสุดลึกล้ำก็ได้ จิตใจที่แสนล้ำลึก ผนวกกับความทรงจำที่ติดตัวเรามา มันก็เป็นสิ่งที่บอกได้ว่าปัจเจกบุคลลจะมองโลกอย่างไร เซนเซเป็นตัวละครที่แสดงความซับซ้อนในจิตใจสูง เขารักภรรรยา แต่ก็ไม่อาจจะมองเธอได้เหมือนสามีทั่วไป เพราะรอยแผลและตราบาปที่เซนเซไม่อาจลืมเลือนได้ และมนุษย์ก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เราเป็นได้ทั้งคนดีและคนชั่ว คนดีหากเจอเหตุปัจจัยบางอย่างเข้าก็สามารถชักนำพาให้เขากระทำสิ่งที่ชั่วร้ายได้ ดังที่เซนเซพูดกับตัวเอกในเรื่องว่า
1
"โดยทั่วไปแล้วมนุษย์ทุกคนเป็นคนดี แต่ที่น่ากลัวก็คือเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้น คนเราก็เปลี่ยนเป็นคนเลวได้ทันที"
นี่คือความเป็นจริงที่ไม่อาจหักล้างได้ เซนเซเองก็เคยเป็นเช่นนั้น เพราะแบบนั้นเลยเป็นตราบาปของเขาเรื่อยมา จนเซนเซก็เปรยออกมาว่า ตัวเขาก็ไม่ต่างอะไรจากอาที่เคยหักหลังและหลอกลวงเขาเลย
2. ความรักคือ'บาป' แต่ก็ความรักคือ'สิ่งศักดิ์สิทธิ์' เช่นกัน
ไม่ว่าใครก็ต่างจะต้องเคยมีความรัก ไม่ว่าจะเป็นรักรูปแบบใด ยิ่งไปกว่านั้นคือความรักแบบเสน่หา ถึงแม้เซนเซจะหวาดกลัวมนุษย์ ด้วยเพราะได้มองเห็นความชั่วร้ายของคน แต่เซนเซก็ไม่เคยปฏิเสธว่าความรักคือสิ่งที่ค้ำจุนชีวิตของเขา เซนเซรักภรรยาตามตัวอักษรจริงๆ ในเรื่อง เซนเซได้ให้มุมมองของความรักที่ดีมากครับ เซนเซกล่าวว่า ความรักของเขาที่มีต่อภรรยา (ตอนนั้นยังเป็นคุณหนู) นั้นไม่ต่างอะไรจากความศรัทธาในทางศาสนา ราวกับตัวเองถูกชำระล้างด้วยความบริสุทธิ์ของคุณหนู
แล้วความรักที่เป็นบาปล่ะคืออะไร? เรื่องนี้เราก็อาจเข้าใจไม่ยากครับ ความรักชักนำให้เราทำได้ทุกอย่างจริงๆ ทั้งเรื่องที่เลวร้ายก็ไม่มีข้อยกเว้น เหมือนที่เซนเซเคยกระทำลงไป ส่วนคำถามที่ว่า สิ่งที่เซนเซทำลงไปนั้น ถูกต้องหรือไม่ ผมเองก็ไม่สามารถตัดสินได้ว่าถูกหรือผิด แต่ก็อยากให้ผู้อ่านลองไปคิดต่อจะดีกว่าครับ
3. บาดแผล และความอ้างว้าง คือหนามยอกอก
เราทุกคนมีบาดแผล ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ที่ดูจะสมบูรณ์แบบเพียงใด บาดแผลคือสิ่งแสดงว่า เราได้ใช้ชีวิต แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะไม่เจ็บปวดกับบาดแผลเมื่อเวลาผ่านไปนานๆ เซนเซคือตัวแทนของคนเหล่านั้น เขากระทำบางอย่างลงไป แล้วมันก็ทำให้มีรอยแผลที่ไม่อาจลบเลือน นั่นก็เป็นแผลที่ร้ายแรง แต่เซนเซกลับไม่ยอมเปิดแผลนั้นให้คนที่ใกล้ชิดที่สุดอย่างภรรยาดู เพราะแบบนั้น จึงมีระยะห่างบางอย่างระหว่างเขากับภรรยา แม้ว่าภรรยาของเขาจะขอให้เปิดเผยถึงมันมากแค่ไหน แต่เธอก็ยังอยู่เคียงข้างสามีเสมอมา
ในความเห็นของผมนั้นโอคุซังเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งและมีความรักที่มั่นคงคนหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย เซนเซก็เห็นแบบนั้นเช่นเดียวกัน เธอไม่ได้ทำอะไรผิดเลย เพียงแต่เขาไม่อาจเปิดเผยเรื่องราวนั้นแก่เธอได้ เพราะอะไรหรือ หากจะมองในแง่ร้ายก็อาจตีความได้ว่า เซนเซดูถูกผู้หญิงหรือภรรยาของเขาว่าคงจะไม่มีความสามารถจะรับรู้ความดำมืดในจิตใจของเขาได้ หรือเราอาจจะมองในแง่ดีเราก็อาจมองได้ว่า เซนเซรักภรรยามากจนไม่อยากให้เธอมีรอยด่างพร้อยในความทรงจำของเธอ เพราะเรื่องราวเหล่านั้นมีเธอเกี่ยวข้องด้วย
แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อเราไม่อาจเปิดรอยแผลให้คนสำคัญเห็น ความอ้างว้างก็บังเกิดขึ้น และระยะห่างระหว่างกันนี้ ก็ทำให้คนสองคนต่างมีความทุกข์ไม่สิ้นสุด เมื่อเราไม่อาจสื่อใจกันได้ ความสัมพันธ์ที่ควรจะเป็นต้นธารแห่งความสุข ก็จะมีความทุกข์ทนเจือปนอยู่ไม่มีวันจะลบเลือน
4. การปะทะกันระหว่างยุคเก่าและยุคใหม่
นี่อาจเป็นบทเรียนที่สำคัญพอๆกับเรื่องของจิตใจทีเดียว ตัวละครเช่นเซนเซคือตัวแทนของยุคสมัยเก่า นั่นคือยุคเมจิ ที่มีชีวิตมาถึงยุคสมัยใหม่นั่นคือหลังการสวรรคตของจักรพรรดิเมจิ ยุคเก่านั้นญี่ปุ่นมีค่านิยมและอุดมการณ์ที่ยึดถือกันมานับพันปี เมื่อเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านมาถึง ความเป็นตะวันตกหลั่งไหลเข้ามาสู่ญี่ปุ่นในยุคเมจินี้เอง ก็ก่อให้เกิดการปฏิรูปเมจิ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ญี่ปุ่นเปลี่ยนผ่านไปสู่สมัยใหม่ รับเอาค่านิยมแบบตะวันตกเข้ามา ทั้งวิทยาการ หลักปรัชญาและการเมืองการปกครอง อย่างไรก็ตาม สิ่งที่การปฏิวัติจนถึงการปฏิรูปทำให้เกิดขึ้นพร้อมกับความเจริญคือ การปะทะกันระหว่าง 'โลกเก่า' และ 'โลกใหม่'
ค่านิยมแบบญี่ปุ่นตั้งแต่ยุคโบราณมาจนยุคเมจิ และค่านิยมแบบตะวันตกหรือเสรีนิยมและทุนนิยม ผู้ที่ได้รับผลกระทบอย่างใหญ่หลวงคือหนุ่มสาวสมัยนั้น และเป็นภาระที่ใหญ่มากๆของพวกเขา ว่าจะเลือกรับค่านิยมใดเป็นสรณะเพื่อกำหนดจิตวิญญาณแห่งยุคสมัย ตัวของเซนเซแสดงความขัดแย้งในตัวระหว่างการรับค่านิยมใหม่ กับการยึดถือค่านิยมแบบเก่าตลอดทั้งเรื่อง จนสุดท้าย เซนเซก็มีความรู้สึกว่า ตนเองคือ 'พวกทวนกระแสแห่งเวลา' จิตวิญญาณของเซนเซตายไปพร้อมกับจักรพรรดิเมจิแล้ว
แต่โซเซกิผู้เขียน อยากจะสื่อไปในอีกความหมายหนึ่ง นั่นคือความงงงวยของเสรีภาพ คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ยังมีจิตวิญญาณแบบญี่ปุ่นดั้งเดิม แต่เมื่อเพิ่งจะได้รู้จักคำว่า 'เสรีภาพ' ก็ไม่รู้ว่าจะใช้มันอย่างไร นั่นก็เพราะญี่ปุ่นได้รับวิทยาการตะวันตกมาโดยที่ยังไม่ทันตั้งตัว ผลที่เกิดขึ้นก็คือความสับสนและความอ้างว้างต่อเสรีภาพและตัวตนของตัวเอง แต่ภาระนั้นไม่ได้ตกอยู่กับเซนเซเท่านั้น เพราะตัว 'ข้าพเจ้า' คือผู้ที่จะต้องใช้ชีวิตอยู่ต่อไป เซนเซจึงได้ทิ้งพินัยกรรมแห่งชีวิตไว้ให้ ภาระในการเลือกและทำความเข้าใจสิ่งใหม่ แต่ก็ไม่ลืมสื่งเก่า จึงตกเป็นของตัวเอก และอาจจะรวมพวกเราในตอนนี้ด้วย เพราะประวัติศาสตร์ไม่เคยสำเร็จรูป
5. จิตวิญญาณที่ตายแล้ว
มนุษย์ทุกคนมีช่วงเวลาหนึ่งเป็นแน่แท้ ที่รู้สึกว่าตัวเองแตกสลาย จิตวิญญาณแหลกลาญไม่มีชิ้นดี ไม่ว่าจะด้วยเหตุปัจจัยใดก็ตาม เซนเซเจ็บปวดจนแหลกสลายจากตราบาปของตัวเอง บาดแผลที่เกิดจากญาติพี่น้อง และความรู้สึกว่าตนเป็น 'สิ่งตกค้างทางประวัติศาสตร์'
มันก็ทำให้เราเกิดคำถามในใจเหมือนที่เซนเซถามตัวเองผ่านการอัตวินิบาตกรรมของนายพลโนะงิว่า "สำหรับคนอย่างท่าน ระยะเวลาสามสิบห้าปีที่ท่านมีชีวิตอยู่ กับระยะเวลาเพียงชั่ววูบที่เอามีดแทงท้องของตัวเองนั้น อย่างไหนจะทรมานกว่ากัน" แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม การมีชีวิตอยู่ก็มีค่ากว่าเห็นๆ คำถามคือ จิตวิญญาณที่แหลกไปแล้ว สามารถฟื้นคืนได้หรือไม่? คำถามข้อนี้ ผมคิดว่าทุกท่านคงจะมีคำตอบในใจอยู่แล้วล่ะครับ ตราบใดที่เราเฝ้าถามถึงเหตุผลที่ยังมีชีวิตอยู่
นี่คือสิ่งที่ผมได้เรียนรู้และพอจะถ่ายทอดออกมาเป็นตัวอักษรจากสมองอันยุ่งเหยิงของผมได้ครับ และผมคงจะไม่สามารถถ่ายทอดบทเรียนและความรู้สึกออกมาได้หมดจดแน่ๆ เพราะชื่อเรื่องก็ชัดเจนว่าคือ 'โคะโคะโระ' แต่ผมก็ดีใจที่ได้อ่านเล่มนี้จนจบนะครับ โซเซกิมอบบทเรียนหลายอย่างให้ผู้อ่านจริงๆ (ก็เขาอุตส่าห์เขียน recommend แก่ผู้อ่านเองเลยล่ะ) ผมเฝ้ารอเลยว่า ผ่านไป 10 ปี 20 ปี ผมจะได้บทเรียนอะไรใหม่ๆอีก เมื่อผมกลับมาอ่านมัน
สุดท้าย ผมคงจะไม่สามารถกดบันทึกโพสต์ได้หากไม่พูดถึงตัวเอกอย่าง 'ข้าพเจ้า' ตัวละครในเรื่องนี้ไม่มีชื่อเลย ยกเว้นภรรยาของเซนเซ ที่เซนเซเรียกขานเธอบ่อยๆ บางทีแล้ว ที่โซเซกิไม่ใส่ชื่อให้ตัวเอก อาจเพราะอยากให้ 'ข้าพเจ้า' คือตัวแทนของผู้อ่านอย่างพวกเราก็ได้ครับ พวกเราคือผู้พยายามจะเรียนรู้และเข้าใจจิตใจของมนุษย์ และพร้อมจะรับรู้อดีตอันขมขื่นของใครบางคนเพื่อเป็นบทเรียนแก่ชีวิต
สำหรับใครที่อยากจะอ่านวรรณกรรมญี่ปุ่นสมัยใหม่ระดับตำนาน ไม่ควรพลาดครับ อ่านง่าย ใช้ภาษาไม่ยากเกินไป และผมมั่นใจอย่างถึงที่สุดว่า หนังสือเล่มนี้มีไว้เพื่อผู้ที่ปรารถนาจะดำดิ่งลงไปในจิตใจ และความเป็นมนุษย์ของมนุษยชาติ
โคะโคะโระ (สำนักพิมพ์ยิปซี)
แล้วพบกันใหม่ในเล่มหน้าครับ ถ้ามีโอกาส ใครอ่านแล้วหรืออยากจะแชร์ความรู้สึกและข้อคิด คอมเม้นมาได้เลยครับ ผมจะดีใจเป็นที่สุดเลย

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา