20 เม.ย. 2022 เวลา 12:18 • ไลฟ์สไตล์
“ปัญญาในทางธรรม ต่างจากปัญญาในทางโลก อย่างไร ?”
“ … การอ่อนโยนต่อตนเอง มันจะแตกต่างจากทางโลก
ทางโลกมันก็เหมือนเอาอะไรให้ตัวเอง เข้าตัว แต่โดยสภาวธรรมกลับเป็นเรื่องของการสลัดออกนั่นเอง
ที่เรียกว่า ต้องวางของหนักของร้อนลงนั่นเอง
เหมือนเรากำลังถือของหนัก
ถ้าเรากำลังถือของหนักอยู่ เราจะเบาได้ไง
ก็มันถือของหนักอยู่ มันก็ต้องหนัก มันจะเบาได้ไง
มันจะเบาได้ ก็เพราะว่าเราวางของหนักลง
ใจเรามันกักเก็บอะไร สารพัด จากการสัมผัสเรื่องราวต่าง ๆ ก็เรียนรู้ที่จะสละ ละ วาง
เพราะฉะนั้นปัญญาในทางโลก กับ ปัญญาในทางธรรม จึงแตกต่างกัน
ปัญญาในทางโลก ก็เป็นเรื่องของการฉลาด ที่เรียกว่า IQ EQ ฉลาดในการคิด แก้ไขต่าง ๆ ฉลาดทางอารมณ์ วุฒิภาวะทางอารมณ์
แต่ปัญญาในทางธรรม กลับเป็นเรื่องของการสละ ละ วางออก ที่เรียกว่าฝึกที่จะสละ ละ วาง จากสิ่งต่าง ๆ ตั้งแต่ของหยาบ ของกลาง และก็ของละเอียด
ก็ฝึกที่จะสละ ละ วาง ตั้งแต่เรื่องของหยาบ ๆ ที่เรียกว่า ละธรรม ๖ ประการ
ความเป็นผู้มีกิจธุระมาก
ถ้าเราไปมีกิจธุระมาก มันก็จะทำให้เกิดการติดข้องได้ง่าย เรามีปัญญาที่จะค่อย ๆ ลดละสิ่งที่มันไม่จำเป็นออกไปได้หรือเปล่า เนี่ยแหละ ละของหยาบ ละธรรม ๖ ประการ
ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า บุคคลอาจสามารถเจริญสติปัฏฐาน ๔ ให้บริบูรณ์ได้ ถ้าเขาละธรรม ๖ ประการนี้ได้
ปัญญาเบื้องต้นนี้เป็นเรื่องของการละ ตั้งแต่ของหยาบ
หนึ่ง ละความเป็นผู้ยินดีในกิจการงานก่อสร้าง
กิจธุระมาก มันก็ตั้งสติได้ยาก มันก็มีสิ่งที่ดึงรั้งได้ง่าย
มันก็เกิดการติดข้องได้ง่าย
ปัญญาเบื้องต้นเลย ก็รู้จักในการละวาง ก็ค่อย ๆ ปลดจากสิ่งที่มันไม่จำเป็นออกจากชีวิตเราก่อน
ชีวิตเรา คนเรามันจะได้ยุ่งทั้งวัน ทั้งคืนเลยได้เหรอ ?
อะไรที่มันสามารถปลดออก ละออกได้บ้าง อะไรที่คนอื่นเขาทำแทนได้ ก็ปล่อยให้เขาทำ เราจะได้กิจธุระลดลง
ก็จะได้มีโอกาสอยู่กับกาย กับใจ
อยู่กับการปฏิบัติได้มากขึ้น
โอกาสที่โลกมันจะดึงไป มันก็ลดลงนั่นเอง
  • ละความเป็นผู้มีกิจธุระมาก
  • ละการพูดคุยมาก
สังเกตพอพูดคุยมากมันก็ไหลไปกับโลก ติดข้องได้ง่ายนั่นเอง มีปัญญาในการรู้เห็นโทษแล้วก็ละ พูดแต่น้อยลง สำรวมตนให้มากขึ้น
  • ละความเป็นผู้เห็นแก่การนอนหลับมาก
นอนหลับมากไปก็หลับใหลไป ก็เอาแต่พอดี
  • ละการเป็นผู้คลุกคลีด้วยหมู่คณะ
ความคุ้นเคยของเรามันก็เข้าสังคม เข้าเพื่อฝูง เฮฮาปาร์ตี้ต่าง ๆ สิ่งเหล่านี้มันก็ดึงใจเรา ให้หลงไปกับเรื่องราวทางโลกนั่นเอง
เวลาเข้าสังคม เขาก็จะคุยกันแต่เรื่องโลก เรื่องกระตุ้นกิเลส ความมี ความเป็นสิ่งต่าง ๆ มันก็ปลุกเร้าใจเรา ให้ไหลไปกับโลกเต็ม ๆ เลย
ก็มีปัญญาที่จะละ การคลุกคลีด้วยหมู่คณะลง สำรวมตนมากขึ้น อยู่ในที่สงบสงัดมากขึ้น ซึมซับความสงบวิเวกให้มากขึ้นนั่นเอง
  • ละความเป็นผู้ไม่รู้ประมาณในการบริโภค
บางทีทานมากไป มันก็ง่วงมึนซึม หรือบางทีจะทานทีก็สรรหา บางคนต้องขับรถเป็นชั่วโมง หลายชั่วโมง เพื่อไปทานอาหารมื้อนึง ก็เรียกว่า มันก็เสียเวลาไปกับสิ่งต่าง ๆ โดยเฉพาะการกินมากเกินไป ก็รู้ประมาณในการบริโภค
คำว่า รู้ประมาณในการบริโภค มีหลายนัยยะมากเลยทีเดียว รู้ว่าทานไปเพื่ออะไร
ไม่ได้ทานเพื่อตกแต่ง ไม่ได้ทานเพื่อประดับ
ไม่ได้ทานเพื่อความอ้วนพี
ไม่ได้ทานเพื่อความสวยความงาม
แต่ทานเพียงเพื่อยังอัตภาพให้เป็นไป เพื่ออะไร ?
เพื่อทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่น
ก็คือการบำเพ็ญสมณธรรม
เพื่อการดำรงชีวิตอย่างผาสุก
เพื่อให้บรรเทาทุกขเวทนาเก่าคือความหิว
แล้วก็ไม่ยังทุกขเวทนาใหม่ให้เกิดขึ้น คืออิ่มเกินไป
คำว่า รู้ประมาณในการบริโภค มีหลายนัยยะมากเลยทีเดียว
  • ละความเป็นผู้ไม่สำรวมอินทรีย์
การที่เราปล่อยจิต ปล่อยใจ ให้เพลิดเพลินไปกับสิ่งต่าง ๆ ในโลก การเสพเรื่องราวข่าวสารต่าง ๆ
การดูหนังฟังเพลง ดูละคร ดูซีรีย์ การเพลิดเพลินอยู่กับสิ่งต่าง ๆ ในโลก ใจเรามันก็จะหลงไป ไหลไป จมอยู่กับสิ่งต่าง ๆ นั่นเอง
แล้วสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งเสพติด
พอเสพแล้วมันก็เกิดการติดใจ มันก็ต้องเสพอยู่ร่ำไป
จิตใจเรามันก็จะไหลไป
ขาดความตั้งมั่น ขาดความเข้มแข็ง
ขาดความตื่นรู้ของจิต
ก็ต้องมีปัญญาในการละ
ที่เรียกว่าการสำรวมอินทรีย์นั่นเอง
ก็ค่อย ๆ ลด ละ สละ วาง
เนี่ยเบื้องต้นเลย อย่างหยาบที่สุดเลย ถ้าเรายังละอย่างหยาบไม่ได้ เราจะไปละอย่างละเอียด มันจะเป็นไปได้อย่างไร ใช่ไหม ?​
เราก็ค่อย ๆ ละอย่างหยาบ อย่างกลาง แล้วก็อย่างละเอียด
เพราะฉะนั้นปัญญาในพระพุทธศาสนา หรือปัญญาทางธรรม กลับเป็นเรื่องของการสละ ละ วาง จนสามารถวางทุกอย่างลงโดยสิ้นเชิง
จึงหลุดจากการยึดมั่นถือมั่นทั้งปวง
ไม่ติดข้องต่อสิ่งใด ๆ ทั้งปวงในโลกด้วย
คืนสู่ความบริสุทธิ์ของธรรมชาติได้ … “
.
ธรรมบรรยาย
โดย พระมหาวรพรต กิตฺติวโร
Photo by : Unsplash

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา