29 เม.ย. 2022 เวลา 05:34 • ปรัชญา
“ไม่ต้องอยากเป็นพระโสดาบัน หรืออะไรทั้งสิ้น”
“ … อย่างหนึ่งที่ผมจะบอกว่าพร่ำบอก พร่ำสอนนะ ก็คือ การใช้ชีวิตที่เป็นธรรม ไม่ใช่การมาปฏิบัติธรรม
คือท่านเข้ามานี่เพื่อมาฝึก ฝึกที่จะให้เคยคุ้น
เคยคุ้นกับ … กับความเป็นธรรม
ความเป็นธรรมมีหลายมิติตามความเข้าใจ ใครจะเข้าใจในมิติไหนก็ได้ แต่ในมิติสูงสุด ก็คือสภาพที่ว่างจากกิเลส ว่างจากตัวตน
คือเข้าไปเห็นความจริงทั้งหมด ไม่ใช่ทำอะไรให้ว่าง พอเห็นความจริงทั้งหมด จิตมีธาตุรู้ ตรัสรู้เองได้
เมื่อเห็นความเป็น “อนัตตา” ทั้งหมด ก็จะสามารถวางลง ความทุกข์ทั้งปวงจะหายไป
เราไม่ได้มีจุดมุ่งหมายที่อยากจะเป็นอะไรทั้งสิ้น
ใครที่มาปฏิบัติธรรมเพราะอยากเป็นพระโสดาบัน อันนั้นเดินเข้าป่าเข้าดงไปเลย เพราะนั่นคือเข้าไปมีภวตัณหาซ้อนเข้าไปอีกทีหนึ่ง พูดกันแต่เรื่องพระโสดาบัน พูดกันแต่เรื่อง … อยากจะหลุดพ้น
เพราะฉะนั้นจะไปก่อตัณหาตัวใหม่ เรียก ภวตัณหา
คนที่เค้ามาปฏิบัติกันจริง ๆ หรือว่าถ้ามาดูคำสอนของพระพุทธเจ้าจะมีแต่เรื่องเดียว คือเรื่องพ้นทุกข์
พระพุทธเจ้าก็ตรัสเอาไว้เอง ตถาคตสอนแค่สองเรื่อง เรื่องทุกข์ กับ เรื่องความดับทุกข์ สอนแค่นี้
นอกนั้นเป็นเรื่องราวระหว่างทางของการเดินทางไปสู่ความพ้นทุกข์ทั้งนั้นเลย
คำว่า พระโสดาบัน ก็คือผู้ที่เดินทางไปสู่ความพ้นทุกข์ แล้วก็พ้นไปได้ระดับนึง พระพุทธเจ้าก็ตรัสเรียก แค่นั้นเอง
เพราะฉะนั้นมันเหมือนเราเดินขึ้นสำนักบน พอเราเดินผ่านสำนักกลาง ก็มีคนตั้งชื่อว่า เป็นผู้ผ่านจุดที่หนึ่ง อย่างนี้
พอเดินผ่านเนินยินดี ก็เป็นผู้ผ่านจุดที่สอง อย่างนี้
พอไปถึงสำนักบนก็คือผู้ที่หลุดพ้นแล้ว
ฉะนั้นหน้าที่ของเรา คือ เดิน เดินไปทีละก้าวนี่แหละ
ไม่ใช่ว่าอยากไปเป็นจุดที่หนึ่ง แต่ก็นั่งเล่นเกมส์ นั่งกินอาหารอยู่ที่นกแก๊กคาเฟ่ อุ้ย … แต่ฉันอยากไปถึง พูดถึงจุดที่หนึ่ง
แต่คนที่เค้า … เค้าก็เดินของเค้าไปเรื่อย ๆ จะเหน็ดจะเหนื่อย จะอะไร จะนั่งพัก จะเดินก็เดินไปสิ เค้าก็เดิน
แล้วเค้าก็ไม่ได้อยากเป็นผู้ถึงจุดที่หนึ่ง เค้าอยากจะพ้นทุกข์ เค้าก็เดินต่อไปโดยไม่มีความหมายเลย
การผ่านหน้าประตูของสำนักกลาง ไม่ได้มีความหมายใด ๆ ต่อเค้าเลย
เพราะสิ่งที่เค้าต้องการ คือ หนทางแห่งการพ้นทุกข์ ไม่ได้มาเป็นอะไร
ส่วนคนที่เป็นอะไร ส่วนใหญ่นั่งอยู่ข้างล่าง นั่งอยู่ที่ริม ๆ ปานะนี่ นั่นน่ะอยากเป็นอะไร แต่ไม่ทำอะไร
แต่คนที่เค้าทำ เค้าไม่ได้อยากเป็นอะไร เค้าแค่ทำ แล้วก็พ้นทุกข์ไป
เพราะฉะนั้นให้เข้าใจนะ ให้เข้าใจ มาปฏิบัติธรรม เพื่อมาฝึกที่จะเป็นธรรม
การเป็นธรรม เราคิดง่าย ๆ เลยนะ ถ้าบอกว่าว่างจากตัวตน ว่างจากกิเลส ขณะที่ท่านกำลังทำงานทำอะไร ถางหญ้า
หนึ่ง คือ เราไม่ได้ทำเพื่อตัวเองเลย ตลอดชีวิตของเรา เราทำงานเพื่อตัวเอง เราทำให้กับตัวเอง เราทำให้กับคนที่เรารัก ทั้งนั้นเลย
แล้วเราก็เก็บหอมรอมริบ กอบโกยอะไรก็ได้ เข้าไปอยู่ในบัญชี ให้มันสบายอกสบายใจ ลูกหลานจะได้มีเงินกิน
ผมก็คงไม่ไปเถียง ไปปฏิเสธอะไรหรอกนะ
แต่ว่าเรามาฝึกที่จะทำให้กับคนอื่นบ้าง เมื่อเราฝึกที่จะทำให้กับคนอื่น เราก็จะเข้าใจเอง
เมื่อเราเข้าใจเอง เราก็วางจิตวางใจได้ถูก … “
.
บางตอนจากการบรรยาย “ออกจาก Safe Zone”
ธรรมบรรยาย โดย อ. ประเสริฐ อุทัยเฉลิม
วันที่ 19 มีนาคม 2565
ณ สวนยินดีเกาะพะลวย จ.สุราษฏร์ธานี
Photo by : Unsplash

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา