26 เม.ย. 2022 เวลา 08:24 • หุ้น & เศรษฐกิจ
🔎 [Investment Insight] - หุ้นกลุ่มไหนจะร่วง - กลุ่มไหนจะรอด ? ในภาวะ Stagflation
3
📌 ภาวะเงินเฟ้อ (Inflation) เร่งตัวขึ้นอย่างรวดเร็วตั้งแต่ไตรมาส 4/2021 ที่ผ่านมา
ประกอบกับท่าทีของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ทำให้ความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจว่าจะเติบโตช้าลง (Stagnant) มีมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อภาวะเงินเฟ้อถูกซ้ำเติมด้วยสงครามรัสเซีย-ยูเครน เราก็ยิ่งเห็นนักวิเคราะห์หลายสถาบันทยอยออกมาฟันธงว่าความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะ Stagflation มีมากขึ้นเรื่อยๆ
📌 ภายใต้ภาวะ Stagflation ภาคธุรกิจต้องเผชิญกับ
1
🔼 ต้นทุนที่สูงขึ้น (ราคาปัจจัยการผลิตเพิ่มขึ้นเพราะเงินเฟ้อ) พร้อมกันกับ
🔽 รายได้ที่ลดลง (กำลังซื้อของผู้บริโภคไม่ดีเพราะเศรษฐกิจเติบโตช้า) นั่นก็หมายถึง
🔽 อัตรากำไรที่ลดลงนั่นเอง ซึ่งแต่ละธุรกิจอาจได้รับผลกระทบมาก-น้อยแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับลักษณะธุรกิจว่ามีความอ่อนไหวต่อเงินเฟ้อและภาวะเศรษฐกิจมาก-น้อยอย่างไร
 
⛔️ หุ้นกลุ่มไหนร่วง ?
2
แน่นอนว่าหุ้นที่มีความอ่อนไหวต่อภาวะเศรษฐกิจสูง เช่น กลุ่มพลังงาน (Energy), กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย (Consumer Discretionary), กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม/การผลิต (Industrials), กลุ่มธุรกิจการเงิน (Financials), กลุ่มวัสดุอุตสาหกรรม (Materials), กลุ่มเทคโนโลยี (Technology) และกลุ่มสารสนเทศ/สื่อสาร (Communication Services) จะมีความผันผวนมากกว่าตลาดหุ้นโดยรวม กล่าวคือ เป็นหุ้นวัฏจักร (Cyclical Stocks) ซึ่งในขาขึ้นก็ขึ้นแรงกว่าดัชนีตลาดและในขาลงก็ลงแรงกว่าดัชนีตลาด หรือหากจะอธิบายในเชิงปริมาณ (quantitative) แล้วก็คือ หุ้นที่มีค่า beta มากกว่า 1 นั่นเอง
1
อย่างไรก็ดีหุ้นกลุ่มพลังงาน (Energy) แม้ว่าจะเป็นหุ้นวัฏจักร (Cyclical Stock) ที่มีค่า beta มากกว่า 1 แต่เป็นหุ้นกลุ่มที่มีลักษณะพิเศษในภาวะ Stagflation นั่นคือ มักจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าตลาด (outperform) เพราะรายได้ของธุรกิจในกลุ่มพลังงานมักจะเพิ่มขึ้นตามราคาพลังงาน และมีกำไรเพิ่มขึ้นด้วย ในขณะที่ราคาพลังงานที่สูงขึ้นนั้นกลับเป็นปัจจัยลบต่อธุรกิจอื่นให้มีต้นทุนที่สูงขึ้น
3
✅ หุ้นกลุ่มไหนรอด ?
1
หุ้นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับสินค้าและบริการที่ผู้คนยังมีความจำเป็นต้องกินต้องใช้ในทุกภาวะเศรษฐกิจย่อมจะเป็นกลุ่มที่ทนทานต่อภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวได้ดีกว่า เช่น กลุ่มสาธารณูปโภค (Utilities), กลุ่มสินค้าจำเป็น (Consumer Staples), กลุ่มสุขภาพ/การแพทย์ (Health Care) และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate) จัดเป็นหุ้นเชิงรับหรือที่เรียกว่า Defensive Stocks ที่มีความผันผวนน้อยกว่าตลาดหุ้นโดยรวม และส่วนใหญ่เป็นธุรกิจที่่่่สามารถส่งถ่ายต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นไปยังผู้ซื้อปลายทางได้ค่อนข้างดี หรือหากจะอธิบายในเชิงปริมาณ (quantitative) แล้วก็คือ หุ้นที่มีค่า beta น้อยกว่า 1 นั่นเอง
3
📌 แม้ว่าดัชนีชี้วัดทางเศรษฐกิจ ณ ปัจจุบัน ยังบอกว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ และเศรษฐกิจโลกยังไม่ได้อยู่ในภาวะ Stagflation แต่หากเราดูผลตอบแทนของหุ้นแต่ละกลุ่มในตลาดก็จะเห็นได้ว่านักลงทุนได้ทยอย priced in ความเสี่ยงที่จะเกิด Stagflation ไปเรียบร้อยแล้ว
1
📌 หากดูผลตอบแทนของตลาดหุ้นสหรัฐฯ (S&P500 เทียบกับผลตอบแทนรายกลุ่ม) และตลาดหุ้นทั่วโลก (MSCI World Index เทียบกับผลตอบแทนรายกลุ่ม) ตั้งแต่ต้นปี 2022 จนถึงปัจจุบัน ก็จะเห็นได้ชัดว่า Energy Stocks และ Defensive Stocks ต่างๆ ได้ outperform ดัชนีตลาด ในขณะที่ Cycical Stocks (ยกเว้น Energy) จะ underperform ดัชนีตลาดนั่นเอง ซึ่งการติดตามภาวะตลาดแล้วนำมาปรับพอร์ตการลงทุนในหุ้นให้เหมาะสมและทันท่วงทีก็จะช่วยปกป้องพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนได้ในระดับหนึ่ง
2
บทความโดย #แอดT-Da
🔔 ทางเพจจะคอยนำข่าวสารการลงทุนที่ "ทันโลก" มาฝากทุกท่านเสมอ
🙏 ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามเพจของเรา ฝากกด Like และ Share เพื่อให้นักลงทุนท่านอื่นได้รับข้อมูลที่มีประโยชน์เหล่านี้ด้วยนะครับ ขอบคุณครับ 👍😊
1
#ทันโลกกับTraderKP #BlockditExclusive
2
โฆษณา