29 เม.ย. 2022 เวลา 01:34 • หุ้น & เศรษฐกิจ
✅Morning Update 29.04.2022
🇺🇸🇪🇺ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ฟื้นตัวได้ดี ทั้ง 3 ดัชนีหลักปิดปรับตัวเพิ่มขึ้น นำโดย Nasdaq 100 ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า +3%
- GDP สหรัฐฯ หดตัวครั้งแรกตั้งแต่การแพร่ระเบิดไวรัสโคโรนาช่วงปี 2020
- ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นโดดเด่นภายหลังรายงานผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนเชิงบวก นำโดย Meta ที่ปรับตัวขึ้นกว่า 18%
- Teladoc ร่วงกว่า -40% ภายหลังมีรายงานการขาดทุนรุนแรง
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ คืนวันพฤหัสบดีที่ 28.04.2022 ดัชนี Dow Jones +614.46 จุด +1.85% S&P 500 +103.54จุด +2.47% และ Nasdaq 100 +452.7 จุด +3.48% โดยมีรายละเอียดต่าง ๆ ดังนี้
1. สหภาพยุโรปเผชิญแรงกดดันต่อเนื่องจากประเด็นถูกยกเลิกการส่งออกก๊าซธรรมชาติชั่วคราวจากรัสเซีย โดยเบื้องต้นยุโรปนำเข้าก๊าซธรรมชาติจากรัสเซียถึง 40%
ซึ่งหากทางสหภาพยุโรปไม่ยอมทำตามเงื่อนไขของรัสเซีย คือชำระค่าก๊าซธรรมชาติเป็นเงินสกุลรูเบิล ย่อมส่งผลให้เกิดความเสี่ยงที่เศรษฐกิจยุโรปจะเข้าสู่สภาะถดถอย เนื่องจากก๊าซธรรมชาติถือเป็นวัตถุดิบสำคัญในหลายกิจกรรมสำคัญทางเศรษฐกิจของยุโรป
ตลาดหุ้นยุโรปผันผวนรุนแรงช่วงท้ายตลาด โดย Stoxx 600 ปิดที่ 447.07 (+0.62%)
2. ตัวเลขผู้มาลงทะเบียนสวัสดิการว่างงานครั้งแรกประจำสัปดาห์หรือ Initial Jobless Claims ที่ 180,000 ราย เท่ากับที่คาดไว้ โดยเป็นการปรับตัวลดลงจากสัปดาห์ก่อนหน้าที่ 185,000 ราย
ตัวเลขผู้มาลงทะเบียนสวัสดิการว่างงานดังกล่าวยังคงต่ำกว่า 200,000 ราย สะท้อนถึงภาคการจ้างงานในสหรัฐฯ ที่ยังคงแข็งแกร่ง
3. GDP หรือผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศสหรัฐฯ ประจำไตรมาสที่ 1 ปี 2022 หดตัวที่ -1.4% ต่ำกว่าคาดที่ขยายตัว 1.1% และนับว่าเป็นการหดตัวไตรมาสแรกนับตั้งแต่หลังเกิดการแพร่ระบาดไวรัส-โควิด 19 ช่วงปี 2020
ปัจจัยกดดันตัวเลข GDP ของสหรัฐฯ ในช่วงไตรมาส 1 ที่ผ่านมา มาจากการระบาดของโอไมครอนในช่วงต้นไตรมาสภายหลังเทศกาลหยุดยาวคริสต์มาสและปีใหม่ รวมถึงนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาลท้องถิ่นและการสนับสนุนด้านสวัสดิการที่ลดน้อยลงจากปีก่อนหน้า
ด้านภาคการส่งออก, การลงทุนในภาคเอกชน, การใช้จ่ายของรัฐบาลสหรัฐฯ และรัฐบาลท้องถิ่นปรับตัวลดลงจากไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่ตัวเลขภาคการนำเข้า, การบริโภคและจับจ่ายในประเทศยังคงขยายตัวต่อเนื่อง โดยมีแรงผลักดันจากราคาพลังงานและอาหารที่ปรับตัวสูงขึ้นกว่า 7% ในช่วงไตรมาสที่ผ่านมา
ทั้งนี้นักวิเคราะห์หลายแห่งยังคงมีข้อถกเถียงว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีโอกาสที่จะเผชิญสภาวะถดถอยในเร็ววันนี้หรือไม่
ด้านนักวิเคราะห์จาก Deutsche bank มองว่าโอกาสที่จะเห็นเศรษฐกิจสหรัฐฯ เข้าสู่สภาวะถดถอยอาจต้องรอถึงปี 2023-2024 เนื่องจาก ณ เวลานั้น อัตราดอกเบี้ยที่ถูกปรับขึ้นโดย Fed จะมีนัยสำคัญและมากพอที่จะลดความร้อนแรงของเศรษฐกิจใน real sector หรือภาคเศรษฐกิจจริง
4. ค่ำวานที่ผ่านมาด้านตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีรายงานผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนเพิ่มเติม
Amazon ประกาศรายได้รวม 1.164 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่ำกว่าคาดเล็กน้อยที่ 1.165 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และกำไรต่อหุ้นเป็นลบที่ -7.56 ดอลลาร์สหรัฐฯ แย่กว่าคาดที่ 8.37 ดอลลาร์สหรัฐฯ นับว่าเป็นเป็นครั้งแรกตั้งแต่ 2015 ที่กำไรไตรมาสแรกติดลบ ส่งผลให้ราคาหุ้น Amazon ในช่วง After-hours ร่วงกว่า -10%
Apple ประกาศรายได้รวม 9.72 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ดีกว่าคาดที่ 9.41 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และกำไรต่อหุ้นที่ 1.52 ดอลลาร์สหรัฐฯ ดีกว่าคาดที่ 1.43 ดอลลาร์สหรัฐฯ
Qualcomm +9.69%, PayPal +11.48% และ McDonald +2.85% ล้วนแล้วรายการประกาศผลดำเนินงานดีกว่าคาด
อย่างไรก็ตาม ด้าน Teladoc ได้ประกาศผลขาดทุนรุนแรงแม้ว่าบริษัทจะมีรายได้ที่เติบโตอยู่กว่า 25% โดยเป็นการขาดทุนจากการตัดจำหน่ายค่าเสื่อมราคาของการเข้าซื้อบริษัท Livongo ที่ผ่านมา
โดยมีผลขาดทุนสุทธิ -6.7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ -41.58 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อหุ้น ส่งผลกดดันราคาหุ้นติดลบกว่า -40%
โดยสรุปแล้ว ด้านผลประกอบการไตรมาสแรกที่เป็นบวกของเหล่าบริษัทจดทะเบียน ช่วยลดแรงกดดันจากตัวเลข GDP สหรัฐฯ ที่หดตัว
5. หุ้นที่ Outperform ตลาด 3 อันดับสูงสุดได้แก่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี +4.04% กลุ่มเทคโนโลยีสื่อสาร +3.88% และกลุ่มพลังงาน +3.13%
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีสื่อสารฟื้นตัวได้ดีหลังจากปรับตัวลดลงกันต่อเนื่องทั้งสัปดาห์ โดยมี Meta เป็นตัวหนุนตลาดปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า +18%
Twitter +0.97% Pinterest +13.55% Snapchat +6.35% Charter Communication -4.26% Walt Disney +0.07% Warner Bros Discovery -2.55%
หุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นวันที่ 3
Exxon +3.02% Chevron +3.55% ConocoPhillips +4.82% Occidental +2.59% EOG Resources +4.40% APA +3.70% Baker Hughes +2.21% Schlumberger +0.40%
6. หุ้นที่ underperform ตลาด 3 อันดับสูงสุด ได้แก่หุ้นผู้ให้บริการสาธารณูปโภค +1.11% กลุ่มวัสดุอุตสาหกรรม +1.14% และกลุ่มสถาบันการเงิน +1.30%
Duke Energy +0.63% Southern +2.86% Dominion Energy +0.59%
United Parcel +2.02% Union Pacific +1.04% Boeing -0.16% 3M +2.03%
Bank of America +1.54% Well Fargo +1.32% Citi Group +0.85%
Berkshire Hathaway +0.44% JP Morgan +1.58% Morgan Stanley +2.32% Goldman Sachs +1.65% Black Rock +1.24% Charles Schwab +0.79% Invesco +3.21%
7. หุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ปรับตัวเพิ่มขึ้นโดดเด่น
Apple +4.52% Alphabet +3.70% Microsoft +2.26% Amazon +4.65% Meta +17.59% Netflix +5.82% Adobe +3.17% Salesforce +6.33% Visa +3.06% Mastercard +4.77%
หุ้น Innovation โดยรวมปรับตัวเพิ่มขึ้นโดดเด่นเช่นกัน
Tesla -0.45% Lucid +4.54% Roku +8.11% Teladoc Health -40.15% Block (Square) +4.71% Zoom +5.06% Spotify +6.22% Twilio +0.46% Coinbase +0.11% Robinhood +6.11% Affirm Holdings +6.30% Unity Software +1.86% Shopify +6.51%
หุ้น Semiconductor ปรับตัวเพิ่มขึ้นโดดเด่นเช่นกัน
Nvidia +7.42% AMD +5.57% Intel +3.58% Micron +5.58% Qualcomm +9.69% Broadcom +3.47%
8. ETF ด้าน Technology & Innovation ฟื้นตัวเล็กน้อย
ARK Innovation (ARKK) -1.39% ARK Fintech (ARKF) +1.14% Power Shares Wilder Hill Clean Energy (PBW) +1.93% iShares PHLX Semiconductor (SOXX) +5.51% SPDR S&P Kensho Smart Mobility (HAIL) +2.74% VanEck Vectors Video Gaming and eSports (ESPO) +1.60% Global X Cybersecurity (BUG) +1.69% และ KraneShares CSI China Internet (KWEB) +1.43%
9. หุ้นจีนและเอเชียที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
Alibaba +2.93% Baidu +1.71% Coupang +3.89% iQIYI +0.30% JD +0.68% Didi Global +1.69% KE holdings +0.53% Luckin Coffee -1.02% NetEase +2.50% Pinduoduo +1.42% SEA +2.64% TAL Education +2.36% TSMC +5.50% Nio +1.01% Xpeng +1.52%
10. S&P500 VIX Index ผันผวนแรงระหว่างวัน โดยปิดทรงตัวที่ 29.99 จุด (+0.33%)
ด้าน Nasdaq 100 VIX ปรับตัวลดลง โดยปิดที่ 35.49 จุด (-3.85%)
ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง 6 วันทำการ โดยล่าสุดอยู่ที่ 103.62 จุด
ราคาทองคำทรงตัว โดยล่าสุดอยู่ที่ 1,896 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ค่าเงินบาทผันผวนเล็กน้อยหลังจากอ่อนค่าต่อเนื่องตลอดสัปดาห์ โดยราคาล่าสุดอยู่ที่ 34.40 บาทต่อดอลลาร์
ราคาน้ำมันดิบ WTI ทรงตัว โดยราคาล่าสุดอยู่ที่ 105 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ที่มาภาพ :
#LHBankAdvisory

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา