5 พ.ค. 2022 เวลา 18:50 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์

Watergate Bridge ภาคสองสนุกกว่าภาคแรก

หนังภาคต่อของ The Battle at Lake Changjin แม้รายได้น้อยกว่าภาคแรกไปพันกว่าล้านหยวน ( ภาคแรกรายได้กว่า 5,800 ล้านหยวน ภาคนี้รายได้ 4,000 ล้านหยวนนิด ๆ ) แต่มองว่าภาคนี้สนุกกว่า ได้เห็นมุมมองต่อสงครามในฐานะมนุษย์ชัดเจนกว่า
ภาคนี้ในแง่หนังสงคราม โหดกว่ามาก ตายกันเป็นเบือ โดยเฉพาะทหารจีน
จะไม่ตายกันเยอะได้อย่างไร ทหารยูเอ็นมียุทโธปกรณ์ครบครัน ทั้งรถถัง เครื่องบินรบ เทคโนโลยีก็ทันสมัย ทหารอยู่ดีกินดี ในขณะที่ทหารจีนมีแค่ปืนพก ปืนยาว บาซูก้า ปืนครก (ใช่ไหมไม่รู้ ไม่เชี่ยวชาญด้านอาวุธ) รถถังไม่เห็น เครื่องบินไม่มีแน่ ๆ แต่สามารถบุกเข้าไปยึดฐานที่มั่นของทหารยูเอ็น จนต้องหนีกันกระเจิดกระเจิง เพราะทหารจีนไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่บุกเข้าไปจากทุกทิศทาง คนหนึ่งตายไปอีกคนก็บุกเข้าไปแทน
ภาคสองเป็นเรื่องราวของกองร้อย(หรือกองพัน-ไม่แน่ใจ) ที่ 7 ที่มี เชียนลี่ เป็นหัวหน้า รับภารกิจให้ไประเบิดสะพาน เพื่อไม่ให้ทหารยูเอ็นหนีไปได้
ทหารยูเอ็นซึ่งส่วนใหญ่ก็คือทหารอเมริกัน มีผู้บัญชาการเป็นคนอเมริกัน โดยนายพลแม็คอาเธอร์คือผู้บัญชาการสูงสุด
กว่ากองทหารจีนจะเดินทางมาถึงสะพาน ระหว่างทางก็ตายไม่ใช่น้อย เพราะโดนเครื่องบินรบของอเมริกันทั้งยิงใส่ ทิ้งระเบิดใส่
เมื่อมาถึงสะพาน ก็หาวิธีเข้าไประเบิดจนได้ และไม่ใช่แค่ครั้งเดียว เพราะพอระเบิดได้ ฝั่งอเมริกันก็ซ่อมเสร็จอย่างรวดเร็ว ทหารจีนก็ต้องเข้าไประเบิดกันอีก จนกระทั่งตายกันหมดทั้งกองร้อย(กองพัน) เหลือว่านลี่รอดมาคนเดียวแบบฟลุ๊กสุด ๆ
ภาคนี้เน้นอารมณ์ความรู้สึกของทหารจีนที่ไปรบ
รักชาติพร้อมตายเพื่อชาติก็เรื่องหนึ่ง แต่ในความเป็นมนุษย์นั่นก็เรื่องหนึ่ง
ในขณะที่ทหารจีนชนะเข้ายึดฐานที่มั่นของศัตรูได้ แต่ไม่ได้เห็นความดีใจสักเท่าไหร่ เมื่อต้องมารวบรวมรายชื่อทหารร่วมรบที่ตายไป
ว่านลี่ เมื่อเห็นทหารฝ่ายตรงข้ามที่ได้รับบาดเจ็บนอนหนาวสั่นในเต้นท์พยาบาล ก็มายืนมองแบบ..เฮ้อ ก่อนจะโยนผ้าห่มคลุมตัวให้
ณ เวลานั้นไม่มีคำว่าศัตรู มีแต่คำว่ามนุษย์เหมือนกัน
ฉากที่ชอบมาก คือเมื่อทหารจีนยึดฐานที่มั่นของกองทัพอเมริกันได้ ทหารลูกน้องเชียนลี่หันไปมองเครื่องบินรบที่ถูกทำลาย พร้อมกับบอกว่า
“ วันหนึ่งเรา (จีน) จะมีแบบนี้และจะต้องดีกว่านี้ด้วย”
มันคือความในใจของคนจีนรุ่นก่อนที่ส่งต่อมาถึงคนรุ่นหลัง และเป็นแรงผลักดันให้จีนมีทุกอย่างอย่างในทุกวันนี้
ลองคิดดูว่า ในเวลาที่จีนแทบไม่มียุทโธปกรณ์อะไรมากมาย ทหารก็เป็นทหารอาสา ในสมรภูมิรบสุดโหดขนาดนั้น อเมริกันที่มีอาวุธเหนือกว่าจีนในทุกด้านยังไม่สามารถเอาชนะจีนได้
มาถึงวันนี้ที่จีนมียุทโธปกรณ์ทุกอย่างที่ไม่ได้ด้อยกว่าตะวันตกเลย เทคโนโลยีไม่ต้องพูดถึง ถ้าเกิดรบกันขึ้นมา อเมริกันมั่นใจจริง ๆ หรือว่าจะรบชนะจีน (แอบแวะเข้าการเมืองนิดนึง)
และอีกฉากคือตอนที่ทหารคนหนึ่ง(จำชื่อไม่ได้ เรื่องนี้มอมแมมกันทุกคนจำแทบไม่ได้ว่าใครเป็นใคร) ไปขอโทษว่านลี่ว่เขาเป็นสาเหตุให้ไป่ลี่เสียชีวิต ไม่ใช่เชียนลี่อย่างที่ว่านลี่เคยเข้าใจ
ว่านลี่ซึ่งได้ผ่านความเป็นความตายในสงครามมาแล้ว ก็บอกว่า
“ ไป่ลี่เป็นพี่ชายผม คุณก็เป็นพี่ชายผม ทหารทุกคนในกองร้อยที่ 7 ล้วนเป็นพี่ชายของผม”
ในซีรีส์หรือหนังแนวนี้หลาย ๆ เรื่องของจีน ให้ความสำคัญเรื่องทหารคือคนในครอบครัวเดียวกันค่อนข้างมาก นั่นสะท้อนถึงแนวคิดนี้ในปัจจุบัน
ส่วนมุมมองที่มีต่อทหารอเมริกันนั้น ภาคนี้ออกไปในแนวว่าอเมริกันนั้นเย่อหยิ่ง ถึงขั้นจองหองที่คิดว่าเอาชนะทหารจีนได้ไม่ยาก แต่กลายเป็นตัวเองก็เสียกำลังคนไปไม่น้อย และต้องถอนทหารกลับไป (ในสายตาคนจีนต้องเรียกว่าหนีหางจุกตูดกลับไป)
สำหรับภาพและมุมกล้องของภาคนี้ คิดว่าได้เห็นลายเซ็นของฉีเคอะอยู่พอสมควร แต่ก็ตามสไตล์หนังซีรีส์จีน ถึงจะเป็นหนังสงคราม สู้รบกันดุเดือดขนาดนั้น แต่จะไม่ค่อยเห็นเลือดสักเท่าไหร่
ในแง่นักแสดง ภาคนี้เหลือนักแสดงนำไม่กี่คน เพราะภาคแรกตายไปแล้วหลายคน ปรากฏว่าชอบจูหยาเหวินมากกว่าอวู่จิงนิดนึง คงเพราะจูหยาเหวินมีซีนดราม่าเยอะกว่า ตอนคาบรูปลูกสาวแล้วขับรถจากภูเขาลงมาใส่ทหารอเมริกันนี่ โอ้ย....ไม่รู้จะบรรยายยังไง
บท ว่านลี่ โดยเฉพาะตอนจบ ที่ใส่ชุดทหารถือโถอัฐิของพี่ชายคนรองกลับบ้าน เหมือนกับที่เชียนลี่นำอัฐิพี่ชายคนโตกลับในตอนต้นของภาคแรก ไม่เหมาะกับใครเท่าอี้หยางเชียนซีอีกแล้ว ดูแล้วนึกถึง Better Days เลย
มีแค่กล้องกับอี้หยางเชียนซี แต่แสดงอารมณ์ได้ขนาดนั้น ไม่เรียกว่าเด็กมหัศจรรย์ ก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว
ได้เห็นคลิปเบื้องหลังอันหนึ่งที่อวู่จินกับเฉินข่ายเกอดูมอนิเตอร์ที่เชียนซีกำลัง
เล่นอยู่(ไม่รู้ฉากไหน) อวู่จินกระพริบตาถี่ ๆ เพื่อไล่น้ำตา เฉินข่ายเกอก็อึ้ง ๆ ไป
ส่วนคนดูอย่างเรายังไม่เคยผิดหวังกับหนังที่เขาเล่นสักเรื่อง

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา