2 ก.พ. 2022 เวลา 15:25 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์

The Battle At Lake Changjin หนังสงครามสัญชาติจีนที่ฮอลิวู๊ดก็ทำได้ไม่ดีกว่านี้

The Battle At Lake Changjin ฉายเมื่อต้น ต.ค. ปีที่แล้ว ลุ้นอยู่ว่าจะได้ดูเรื่องนี้ไหม ในที่สุดก็ได้ดูแล้ว
เรื่องนี้เป็นหนังแนวรักชาติ ซึ่งปกติก็มักทำเงินถล่มทลายอยู่แล้ว แต่ที่พิเศษคือเรื่องนี้กลายเป็นหนังทำเงินสูงสุดตลอดกาลของจีนไปเรียบร้อย ด้วยรายได้กว่า 5,700 ล้านหยวน
The Battle At Lake Changjin เป็นเรื่องราวของสงครามเกาหลีที่จีนส่งทหารไปช่วยเกาหลีเหนือยันกองทัพสหประชาชาติไว้ที่เส้นขนาน 38 ซึ่งทำให้เกาหลีถูกแบ่งออกเป็นเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้
ส่วนทำไมต้องไปช่วยเกาหลีเหนือ ในมุมมองของผู้เขียน คิดว่า จีนต้องการให้เกาหลีเป็นรัฐกันชน เพราะขืนปล่อยให้สหประชาชาติควบคุมเกาหลีเหนือได้ ก็เท่ากับว่าศัตรูมาจ่ออยู่ที่ชายแดน
เท่าที่ได้อ่านความเห็นของคนจีน มีคนตำหนิเหมาเจ๋อตุงว่าการรบครั้งนั้นทำให้คนตายไปเกือบสองแสนคน รวมถึงทหารที่หนาวตายอดตายนับหมื่นคน แต่ก็ไม่ใช่ประเด็นอะไรใหญ่โตนัก เพราะหนึ่งในทหารที่ตายก็มีลูกชายของเหมาเจ๋อตุงด้วย
ไม่รู้ว่าบังเอิญหรือตั้งใจ หนังเรื่องนี้รัฐบาลจีนร่วมลงทุนส่วนหนึ่ง เพื่อเฉลิมฉลองการที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนตั้งมาครบ 100 ปี แถมเป็นปีที่ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนพีคมาก ประมาณชี้หน้าด่ากันในเวทีโลกกันเลยทีเดียว
แม้ว่าในประวัติศาสตร์ กองทัพสหประชาชาติจะมีหลายชาติเข้าร่วม แต่สำหรับสมรภูมิในเรื่องมีกองทัพสหรัฐอเมริกาเป็นผู้บัญชาการกองทัพ จึงเหมือนเป็นหนังสงครามระหว่างจีนและอเมริกากลาย ๆ และเป็นสงครามที่จีนชนะ
ข้ามเรื่องการเมืองไป
หนังเริ่มต้นจากการที่ เชียนลี่ พี่ชายคนรอง นำอัฐิของ ไปลี่ พี่ชายคนโต ซึ่งไปเป็นทหารด้วยกันกลับบ้าน อยู่ได้ไม่นานก็ถูกเรียกตัวกลับไปอีกครั้ง คราวนี้ว่านลี่น้องชายคนสุดท้องนิสัยห้าวเป้ง แอบตามมาเป็นทหารด้วย จริง ๆ พี่ชายไม่ได้อยากให้ไปด้วย แต่เมื่อตามมาแล้วก็ได้แต่ต้องเอาไว้ข้างตัว และสอนให้เอาชีวิตรอดในสงครามให้ได้
เรื่องราวส่วนใหญ่สะท้อนความยากลำบากในการสู้รบ โดยเฉพาะในสภาพอากาศหนาวเย็น อุณหภูมิติดลบ30-40 องศา ในขณะที่ทหารสหประชาชาติมีเสื้อผ้าป้องกันความหนาวพร้อม มีอาหารกินอิ่มทุกมื้อ มียุทโธปกรณ์เพียบ แต่ทหารจีนกลับขาดแคลนทุกสิ่ง อาหารมีแค่หัวมันที่ต้องแบ่งกันกิน อาวุธก็มีแต่ปืนกับระเบิด ไม่มีรถถัง ไม่มีเครื่องบินรบ
คงเพราะฉากเหล่านี้ ทำให้เด็กจีนรุ่นใหม่ที่ไปดูแล้ว ถึงกับบอกในโซเชียลมีเดียของจีนว่า ต่อไปเขาจะไม่บ่นว่าลำบากอีกแล้ว
ถ้ามองในมุมของความโฆษณาชวนเชื่อให้รักชาติ ก็ต้องบอกว่าประสบความสำเร็จเลยทีเดียว โดยเฉพาะตอนจบที่บอกว่า
“จิตวิญญาณอันยิ่งใหญ่ในสงครามยังคงอยู่ ผู้กล้าเหล่านั้นจะไม่ถูกลืม”
ใครคิดจะรบกับจีนตอนนี้ ควรต้องคิดหนักหน่อยแหละ
เชื่อว่าเวลานี้ยุทโธปกรณ์ของจีนไม่ได้ด้อยกว่าใคร ในขณะที่ “จิตวิญญาณ” ที่พร้อมเสียสละเพื่อมาตุภูมินั้นถูกปลุกขึ้นมาแล้ว ปัจจัยหลังนี่ต่างหากที่คือ “อาวุธ” ที่น่ากลัวที่สุด
(อ้าว ไหนว่าข้ามเรื่องการเมืองไป 555)
ถ้ามองกันเฉพาะในแง่ความศิลปะความบันเทิง ของการเป็นหนังสงคราม บอกเลยว่าโปรดักส์ชั่นดีงามในทุกด้าน ต่อให้ฮอลิวู๊ดสร้างเรื่องนี้ ก็ทำไม่ได้ดีไปกว่านี้แน่นอน
นอกจากเรื่องราวของสงคราม หนังยังสื่อสารและตั้งคำถามหลายเรื่องได้อย่างน่าสนใจ อย่างการที่สงครามทำให้ว่านลี่ เด็กเกรียนห้าวเป้งประจำหมู่บ้าน กลายเป็นผู้ใหญ่ในพริบตา
หรือ การเป็นฮีโร่คืออะไร ชอบคำตอบของลูกชายเหมาเจ๋อตุงที่สุด ที่บอกว่า มาสนามรบก็เป็นวีรบุรุษแล้ว
ที่ชอบอีกเรื่องคือ เมื่อพูดถึงฝ่ายตรงข้าม บทไม่ก้าวร้าวให้อีกเป็นปีศาจร้าย แต่ก็แสดงให้เห็นบุคลิกของศัตรู ทำให้เห็นว่า คนจีนนั้น “รู้จัก” คนตะวันตกดี แถมทำการบ้านมาดีมาก ขนาดระบุชื่อผู้บัญชาการฝ่ายศัตรูที่ตายในสงครามครั้งนี้ด้วย เรียกว่าให้เกียรติกันไม่น้อยเลยทีเดียว
นักแสดง
ตอนแรกสนใจเรื่องนี้เพราะอี้หยางเชียนชี เพราะตามดูงานกันมาแทบทุกเรื่อง แต่พอได้ดูจริง ๆ ก็ชอบนักแสดงทุกคนลย ทั้งอู่จิ้ง จูหย่าเหวิน หูจุน หวงเซวียน จางฮั่นหยู ต้วนอี้หง หลี่เฉิน หานตงจวิ้น ฯลฯ แม้แต่โอห่าว ที่โผล่มาตอนจบแค่ไม่กี่นาที เรื่องนี้มีแต่ผู้ชายล้วน มีผู้หญิงคนเดียวคือ อ่ายไหลมี่ เด็กสาวเจ้าของผ้าพันคอสีแดงที่โยนให้ว่านหลี่โผล่มาแว่บหนึ่ง
ผู้กำกับ
เรื่องนี้มีผู้กำกับถึง 3 คน คือ เฉินข่ายเกอ ฉีเคอะ หลินเฉาเฉวียน เห็นชื่อก็รู้แล้วว่าหนังไม่ธรรมดาแน่นอน
ตอนนี้ภาค 2 เพิ่งฉายได้ 2 วัน ตามคาดรายได้ถล่มทลายมาเป็นอันดับหนึ่ง (กว่า 650 ล้านหยวนไปแล้ว )
ถ้าได้ดูภาคแรก อีกสักพักก็คงได้ดูภาคสองแหละ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา