18 พ.ค. 2022 เวลา 11:18 • ปรัชญา
“มันไม่ได้ไปเห็นอะไรให้วุ่นวายเลย มันวางได้ต่างหาก
คืนสู่ความเป็นธรรมชาติ”
“ … วิปัสสนาญาน การเห็นตามความเป็นจริง เห็นอย่างไร ?
อย่างไรที่เรียกว่า เห็นตามความเป็นจริง
วิปัสสนาญาน ก็มีระดับของวิปัสสนาญานเช่นกัน
ในระดับเบื้องต้น ก็คือ เห็นความไม่เที่ยง ความแปรเปลี่ยนของสิ่งต่าง ๆ การแตกดับของรูปนาม
บางทีก็รู้สึกถึงการแตกดับยุบยับของรูปกาย ของนามกายต่าง ๆ ซึ่งแต่ละคนก็เห็นไม่เท่ากันอีก
ถ้าผู้ที่มีความละเอียดมาก อาจจะเห็นการแตกดับเหมือนฟองน้ำ ต่อมน้ำยุบยับทั้งตัว
แต่ถ้ามีความละเอียดไม่มาก ก็อาจะแค่รู้สึกยิบยับ รู้สึกถึงการแตกดับ
บางครั้งก็เด่นในเรื่องของ ทุกขสัจจะ ก็คือ สภาวะที่มันทนอยู่ไม่ได้ มันเกิดแล้วมันก็สลายไป มันเกิดแล้วมันก็สลายไป เรียกว่าเห็นทุกข์
เห็นทุกข์โดยสภาวธรรม ก็คือ สภาวะที่มันทนอยู่ไม่ได้ มันเกิดแล้วมันก็สลายไป ๆ มันตั้งอยู่ไม่ได้ มันยั้งตัวไม่ได้ มันต้องเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา
บางครั้งก็เด่นในเรื่องของ อนัตตา คือความไม่มีตัวตน ความไม่มีสาระแก่นสาร อย่างมองไปมันก็ทะลุหมด ว่าง … ไม่มีอะไร
มี มันก็เหมือน ไม่มี เพราะมีแล้วมันก็หายไป เรียกว่าเห็นสักแต่ว่าเห็นนั่นแหละ เห็นอนัตตา รู้สักแต่ว่ารู้ ทราบสักแต่ว่าทราบ
บางทีกำลังวิปัสสนาดี ๆ นี่มันข้ามอนิจจังไปเลยนะ มันเห็นอนัตตา ความไม่มีตัวตน ความไม่มีสาระแก่นสาร
บางครั้งก็เข้าสู่ นิพพิทา คือเกิดความเบื่อหน่าย ในความปรุงแต่งทั้งหลายทั้งปวง มันมีแต่ความเบื่อหน่าย ในสิ่งที่ยึดที่หลงอยู่
เมื่อเกิดความเบื่อหน่าย จิตย่อมคลายจากความกำหนัด เกิดความจางคลาย
วิราคะ คลายออกจากความติดข้อง จากความกำหนัดทั้งปวง เกิดความจางคลาย เรียกว่าสิ้นอาลัยในตัณหา เยื่อใยในโลกทั้งหลายทั้งปวง มันคลายออก พ้นออก
ถ้ากำลังสูงขึ้นไปอีก เกิดนิโรธะ ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์
กิเลสตัณหาอุปาทานมันดับ
ราคะ โทสะ โมหะ มันดับ
ไม่มีความเร่าร้อน ไม่มีความกระวนกระวาย
บางคนเข้าถึงสภาวะนี้ ถ้าไม่ได้ละเอียดมาก ก็แค่รู้สึกมันไม่มีอะไร
ความโลภก็ไม่มี ความโกรธก็ไม่มี ความหลงก็ไม่มี
ตัวตนก็ไม่มี มันไม่มีอะไร นิโรธะ
เหลือแต่ … รู้สักแต่ว่ารู้
แค่รู้สึก ตัวผู้รู้สึกก็ไม่มี
มีแต่ความรู้ แต่มันไม่มีตัว
ในสมาธิมันยังมีตัวผู้รู้อยู่ เป็นเรารู้ เราดู เราพูด เราคุย เราคิดอยู่
แต่วิปัสสนาญานมันไม่มีตัว
มันมีแค่สภาวะ มันมีแค่อาการรู้ แค่เรียกว่า “รู้สักแต่ว่ารู้”
ตัวผู้รู้ไม่มี เข้าถึงปฏินิสสัคคะ การสลัดคืนสู่ความบริสุทธิ์ของธรรมชาติ
ว่างจากตัวตน จากการยึดมั่นถือมั่น
ว่างอยู่ รู้อยู่
บางทีนักปฏิบัติเราชอบไปติดว่า วิปัสสนาต้องเห็นแต่การแตกดับ
พอไม่เห็นก็บอกว่า จิตไม่ถึงวิปัสสนาเลย
วิปัสสนามีหลายระดับ
แก่นแท้ก็คือ ความไม่ยึดมั่น การปล่อยวาง
ความไม่ติดข้องกับสิ่งใด ๆ ทั้งปวง
ปฏิบัติแล้วกิเลสมันเบาบางลง
ราคะมันหายไป โทสะมันหายไป
ความหลงยึดมั่นถือมั่นมันหายไป
ความทะยานอยาก ความเร่าร้อน
ความกระวนกระวายมันหายไป
นั่นแหละผลของการปฏิบัติ
มันไม่ได้ไปเห็นอะไรให้วุ่นวายเลย มันวางได้ต่างหาก
คืนสู่ความเป็นธรรมชาติ
เพราะฉะนั้นค่อยๆ เรียนรู้ฝึกหัดไป
ถ้าเราไปติดข้องว่ามันต้องอย่างนั้นอย่างนี้
เป็นเรื่องของวัฏฏะทั้งหมด
ความมีความเป็น ความหลงยึดมั่นถือมั่น
ต้องเข้าสภาวะนั้น ต้องเห็นการแตกดับ ต้องอย่างนี้ ๆ
มันเป็นเรื่องของวัฏฏะทั้งหมด
มันเป็นเรื่องของกิเลสทั้งหมดเลย
สภาวะที่พ้นออกไป ไม่ได้มีอะไรเหล่านี้เลย
พ้นจากความมีความเป็นทั้งปวง
พ้นจากความยึดมั่นถือมั่นทั้งปวง
ไม่อะไรกับอะไรเลย
แค่รู้ แค่รู้สึก
สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่ารู้สึก
ไม่ติดข้องอยู่ ไม่ยึดถืออะไร ๆ ทั้งปวงในโลกด้วย
ดั่งที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า
เมื่อใดเธอเห็น ก็สักแต่ว่าเห็น
ได้ยิน ก็สักแต่ว่าได้ยิน
ทราบ ก็สักแต่ว่าทราบ
รู้ ก็สักแต่ว่ารู้
เมื่อนั้นตัวเธอก็ไม่มี
เมื่อตัวเธอไม่มีในโลกนี้ ไม่มีในโลกไหน ๆ
นั่นแหละ ที่สุดแห่งทุกข์ … “
.
ธรรมบรรยาย
โดย พระมหาวรพรต กิตฺติวโร
Photo by : Unsplash

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา