ประเทศในยุโรปและ UN เห็นท่าไม่ดีเลยเข้ามาไกล่เกลี่ยว่า "หยุดรบกันแค่นี้แหละ!" แต่กองทัพเซิร์บที่กำลังบ้าเลือดก็ไม่ฟัง เข้าถล่มชาวโครแอตต่ออย่างไม่หยุดยั้ง
1
UN เลยเดินเกมเรียกร้องให้ชาติต่างๆ คว่ำบาตรยูโกสลาเวีย…
คราวนี้ มิโลเชวิชเลยยอมสั่งให้ทหารเซิร์บหยุดยิง UN เลยส่งทหารเข้าไปรักษาการในโครเอเชีย
UN เห็นว่าการที่จะหยุดปัญหาได้คือต้องให้อิสรภาพกับโครเอเชีย ซึ่งในปี 1992 ชาวโครแอตก็แยกตัวจากยูโกสลาเวีย และสร้างชาติโครเอเชียขึ้นมาได้สำเร็จจากการรับรองของ UN
หายนะที่เกิดขึ้นทำให้มีคนอพยพออกจากบอสเนีย-เฮอเซโกวินากว่า 2 ล้านคน ฝ่าย UN และยุโรปเห็นว่า "การทำแบบนี้ของรัฐบาลยูโกสลาเวียและชาวเซิร์บมันเลยเถิดเกินไป" เลยจัดการคว่ำบาตรทั้งเศรษฐกิจและวัฒนธรรม
แล้ว UN ก็ส่งทหารเข้าไปในบอสเนียเพื่อช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม พร้อมกับเจรจาให้หยุดยิง มิโลเชวิชเริ่มคิดว่า "ถ้ายังดื้อด้านต่อไปตัวเองจะเสียหายหนัก" เลยยอมทำตาม UN และเลิกแบ็คอัพการาจิช
ความเปรี้ยวของการาจิช ทำให้ NATO ต้องเข้ามาผสมโรงด้วย พร้อมขู่ทั้งการาจิชและมิโลเชวิชว่า "หากไม่ถอนกำลังออกจากซาราเยโว NATO จะส่งกำลังรบทางอากาศเข้าถล่มกองทัพเซิร์บ!"
ฝ่าย UN ก็ดักหน้ากองทัพเซิร์บเอาไว้ก่อน โดยชิงเข้ามาควบคุมเซรเบนนิตซาให้เป็น Safe Area สร้างค่ายผู้อพยพในเซรเบนนิตซา และเมืองทางเหนือที่ชื่อว่า “โปโตคารี (Potocari)”แล้วจัดกองกำลังป้องกันรอบๆ Safe Area เอาไว้
โดยในเซรเบนนิตซามีชาวบอสเนียอยู่ประมาณ 9,000 คน
ส่วนในโปโตคารีมีอยู่ประมาณ 20,000 คน
แต่กองทัพเซิร์บที่มีผู้บัญชาการคือ “รัทกอ มลาดิช (Ratko Mladic)” ก็ไม่ได้สนใจทหาร UN หรือ Safe Area ใดๆ ทั้งสิ้น ในวันที่ 6 กรกฎาคม 1995 ทัพเซิร์บก็เข้าโจมตีเซรเบนนิตซา
แต่ UN ในตอนนั้นที่ไปโฟกัสพื้นที่อื่นมากกว่าเซรเบนนิตซา เลยไม่ได้ส่งกำลังสนับสนุนหรืออาวุธเข้ามาช่วย ทหาร UN ที่ป้องกันเมืองเลยยอมแพ้ปล่อยให้กองทัพเซิร์บยึดเมืองไปอย่างไม่ยากเย็น...
ซึ่งอย่างที่เรารู้กัน ในช่วงเวลานั้น UN ไม่ได้โฟกัสเซรเบนนิตซาและโปตาคารี ทำให้ทหาร UN ที่ประจำการอยู่ไม่มีท่าทีต่อต้านทหารเซิร์บ แถมปล่อยให้เข้ามาในโปโตคารีอย่างง่ายดาย