29 พ.ค. 2022 เวลา 04:11 • ไลฟ์สไตล์
“รู้ ละ สละ วาง ว่าง สบาย”
“ … ก็ฝึกปฎิบัติเพื่อสละ ละ วาง ไม่ติดข้องอยู่
เราไปติดข้องกับสิ่งใด ไปยึดกับสิ่งใด
มันก็กลายเป็นสมมุติทั้งหมด
ถ้าไม่ติดข้อง แค่รู้ สักแต่ว่ารู้
ก็กลายเป็นวิมุตติทันทีเลยทีเดียว
ถ้าเราเข้า มันว่าง เราไปติดข้องกับความว่าง
มันก็กลายเป็นสมมุติ
แต่ถ้าไม่ติดข้อง ก็เป็นแค่สักแต่ว่ารู้
สักแต่ว่าสภาวธรรมที่เข้าถึง
มันก็กลายเป็นวิมุตติทันทีเลย
อย่าว่าแต่เข้าถึงความว่างเลย
สมาธิทุก ๆ ระดับที่เราเข้าถึงได้
แม้กระทั่งฐานกาย
เมื่อกลายเป็น สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าเห็น
มันก็กลายเป็นวิมุตติไปหมดเลย
1
แต่ถ้าเราไปยึดมั่น ถือมั่น
มันก็กลายเป็นสมมุติไปหมด
1
พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
กายคตาสติ ที่บุคคลเจริญแล้ว ชื่อว่าเจริญอมตธรรม
กายคตาสติ ที่บุคคลบริโภคแล้ว ชื่อว่าบริโภคอมตธรรม
บางคนรู้สึกว่าตัวเองอยู่ฐานกาย ไม่ไปไหนเลยเสียที
อย่าได้ดูถูกฐานกายเชียวนะ
ฐานกายนี้ก็นิพพานได้นะ
1
พระองค์ตรัสว่าบริโภคกายคตาสติ ชื่อว่าบริโภคอมตธรรม
เพราะว่าก็หลุดพ้นกัน
เพราะความไม่ยึดมั่นถือมั่น นั่นล่ะ
ไปยึดสิ่งใด มันก็เป็นสมมติไปหมดแหละ
ไม่ยึดสื่งใด ไม่ติดข้อง มันก็กลายเป็นวิมุตตินั่นเอง
1
เพราะฉะนั้นให้เข้าใจถึงแก่นพระพุทธศาสนา
คือ ความไม่ยึดมั่นถือมั่น ความไม่ยึดติดนั่นเอง
1
ที่เราเพียรปฏิบัติทั้งหมดนั้นเพื่ออะไร ?
ก็เพื่อสละ ละ วาง ไม่ยึดมั่นถือมั่น
สิ้นอาลัยในตัณหา
เยื่อใยทั้งหลายทั้งปวง ความรักความชัง
การติดข้องทั้งหลายทั้งปวง
วัฏสงสารเป็นเรื่องของการติดข้อง
ความมีความเป็น ความยึดมั่นถือมั่น
แม้เข้าถึงสภาวะได้ ก็เข้าไปติดข้องกับสภาวธรรม
ติดกับอะไร มันก็กลายเป็นสมมติไปหมด
1
แต่ถ้าไม่ติดข้อง มันจะกลายเป็นวิมุตติไปหมดทีเดียว
เข้าใจแก่นตรงนี้ ก็จะวางใจได้ถูก
ปฏิบัติแล้วก็จะได้ไม่ไปติดข้องกับสิ่งใด ๆ ทั้งปวง
รู้ ละ สละ วาง ว่าง สบาย …”
1
.
ธรรมบรรยาย
โดย พระมหาวรพรต กิตฺติวโร
Photo by : Unsplash

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา