5 มิ.ย. 2022 เวลา 04:05 • ท่องเที่ยว
สก๊อตแลนด์ วันที่ 1 (ตอนที่ 1) มาสก๊อตแลนด์แล้วจ้า
เราจากยอร์กไปเอดินบะระแต่เช้าตรู่ เร็วแสนเร็ว หนาวแสนหนาว เช่นเดียวกับขามา
แต่ขานี้เรารู้เส้นทางแล้ว ไม่ได้มีปัญหาใดนัก เดินลากกระเป๋ามาสถานี มีห้องกระจกเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยผู้คนก็มาอัดแน่นหลบหนาวที่นี้
รู้สึกโชคไม่ดีนักที่รถไฟของเรามาช้าเกือบชั่วโมง ต่างคอยมองว่าจะมาเมื่อใด ชานชาลาจะเปลี่ยนไปจากเดิมไหม ในยุโรปนั้นหากพลาดรถไฟไปแล้วจะซื้อตั๋วใบใหม่อาจได้ราคาแพงจนน่าตกใจเลยทีเดียว บางคนถึงกับช็อคเมื่อพบว่าตั๋วรถไฟก็ซื้อตอนใกล้เวลารถออกนั้นแพงเท่ากับเครื่องบิน!
เมื่อรถมาถึง พบว่าเรามาถูกชานชาลา แต่เพิ่งนึกได้ว่าลืมดูว่าเป็นตู้รถคันไหน ตัวอักษรในตั๋วเล็กมากจนอ่านได้ยากขณะที่มือไม้สั่น (ตื่นเต้นและหนาว) โชคดีที่ขึ้นตู้รถได้ทันก่อนที่ขบวนออกไปด้วยเวลาฉิวเฉียด
เมื่อขึ้นไปแล้วก็ต้องมาหาที่นั่งอีก แต่นี่ไม่ยากนักหรอก
ผมพูดออกมาว่า "B 32 อยู่ไหนนะ"
และก็มีเสียงสะท้อนกลับมา
"บี สามสิบสอง อยู่ทางนี้ฮะ"
ไม่ได้หูฝาด เสียงคนไทยจริงๆ ตรงเบื้องหน้าผมปรากฏคนไทย 2 คนอยู่ ชายคนหนึ่งและหญิงอีกคนหนึ่ง และที่สำคัญคือผมเจอที่นั่งของผมแล้ว นั่งตรงต่อหน้าคนไทยคู่นั้นพอดีเป๊ะ
เป็นการถูกจับวางโดยพระเจ้าเป็นแน่ ที่นั่งรถไฟอังกฤษเป็นที่นั่งแบบหันหน้ามาชนกัน แบบเดียวกับรถไฟไทย และตอนนี้ผมกำลังอยู่หน้าหนุ่มสาวคู่นี้อยู่ เลขที่นั่งของเราติดกันพอดีแบบไม่น่าเชื่อ!!
หลังจากหยุดแปลกใจแล้วก็ได้มาคุยกับ พบว่าคุณณัฐกับคุณดาวมาเที่ยวยอร์กและกำลังจะต่อไปเอดินบะระเหมือนกับเรา โปรแกรมการเที่ยวของเราต่างกันเล็กน้อย
มีเรื่องชวนตื่นเต้นอยู่เรื่องหนึ่ง คือขณะที่เรากำลังหงุดหงิดกับการล่าช้าของขบวนรถอยู่นั้นกลับกลายเป็นโชคดีสำหรับคุณดาว เพราะอันที่จริงคุณดาวมารอรถไฟก่อนเรานานแล้ว แต่พอรถใกล้จะออก กำลังซื้อขนมก็พบว่าเงินที่มีอยู่หายไปแล้ว
เธอตกใจ และเพิ่งคิดได้ว่าลืมเอาเงินมาจากโรงแรม รู้ไหมฮะว่าคุณดาวซ่อนเงินไว้ที่ไหน? ไว้ใต้หมอน ที่ซึ่งเธอคิดว่าปลอดภัยมากแล้ว แต่นั้นก็เป็นจุดอ่อนมากๆ เพราะตัวเธอกลับลืมมันเสียเอง
คิดไม่ออกเลยว่ามันจะน่าตกใจมากแค่ไหน การวิ่งกลับไปโรงแรมขณะที่เวลารถออกใกล้เข้ามาแล้วชวนชีพจรระเบิดอย่างไม่อยากจะคิด แต่ว่าโชคเธอยังสุดแสนจะดีเมื่อเธอพบเงินอยู่ที่เดิม และโชคดีอีกครั้งที่รถไฟมาสาย สายเพียงพอที่เธอกลับมาทัน และได้ขึ้นรถคันเดียวกัน สายเดียวกัน ที่นั่งติดกันกับผม
บางทีการที่เราเจอโชคร้ายก็ทำให้เราได้พบว่า ความโชคดีนั้นคืออะไร? ความไม่มีโชคร้ายนั่นแหละคือโชคดีแล้ว น่าจะคิดเสียอย่างนั้น
ระหว่างนี้นั่งดูวิวขณะขึ้นทางเหนือ นั่งมองดูแล้วบางทีก็หลับไป บางขณะเจอทุ่งหญ้ามีสัตว์เลี้ยงอยู่ตามทุ่ง ทิวทัศน์สวยดี แต่แปลกจังพอคิดจะถ่าย VDO ทีไร วิวที่เห็นก็มักหยุดสวยหรือมีอะไรบังเกะกะทุกที
ระหว่างเดินทางหลับฝันไปเป็นครั้งคราว
ผมฝันเห็นว่ากำลังจะเดินทางไปเอดินบะระ (นั่นมันความจริงอยู่แล้วนี่นา) แต่การเดินทางเป็นอีกแบบหนึ่ง เป็นรถไฟอีกคัน บางทีก็เป็นเรือ มีผู้ร่วมเดินทางที่แปลกไป และบางทีก็ฝันว่าไปถึงแล้ว เดินก้าวลงจากรถไฟก็ถึงประตูบ้านเลย พอตื่นขึ้น คุณดาวถามว่าฝันเห็นอะไรบ้าง ก็เลยบอกว่า "ผมฝัน ว่ากำลังเดินทางไปเอดินบะระ"
บอกความจริงไป แต่ทุกคนหัวเราะราวกับว่าผมกำลังโกหก
ในที่สุด เราก็มาถึงเอดินบะระ (ของจริง) เสียที ที่นี่ไม่ได้มีประตูโรงแรมมาเกยเหมือนในฝันหรอกนะ แต่ต้องมาเดินหาโรงแรมเอาเอง ยุ่งยากด้วย ลำบากลำบนด้วย ตรงกันข้ามกับฝันเลย
เอดินบะระต้อนรับเราด้วยสถานีรถไฟที่งดงามมาก อย่างไรก็ตาม เราจะไม่ได้กลับมาที่นี่อีกแล้ว เพราะขากลับจะใช้รถบัส ก็เลยขอถ่ายรูปสวยๆเอาไว้
คุณดาวกับคุณณัฐกล่าวลา บอกว่าเดี๋ยวอีกหน่อยพอเราเดินไปในเมืองก็คงจะเจอกันอีกนะแหละ เราก็คิดว่าจริง เพราะเมืองเก่าเอดินบะระนี่เล็กนิดเดียว
แต่เชื่อไหม เราไม่ได้เจอกันอีกเลย
เล่าต่อไปนะฮะ
เดินทางสถานีรถไฟแสนสวย ถ่ายรูปเก็บไว้เต็มที่แล้ว เดินลากกระเป๋าลากหาที่พักผมจองที่พักชื่อ St. Christopher's Inn backpacker เอาไว้ มีแผนที่บอกทางว่าเดินขึ้นไปแล้วจะอยู่ซอยซ้ายมือแต่ก็ไม่ไปถึงสักที เมื่อยขาแล้ว อ่อนแรงจนไปถามคนแถวนั้นดันไม่รู้จัก เลยต้องพาตนเข้าซอกซอย แบกกระเป๋าเดินลงบันไดขึ้น ๆ ลง ๆ นี่มันเอดินเบอรนะ เมืองนี้สร้างอยู่บนเนินเขา ไม่ได้ลากไปได้ง่าย ๆ
เดินดูซอกซอยไปจนเหนื่อย สุดท้ายได้รู้ว่าคริสโตเฟอร์ อยู่ตรงข้ามสถานีรถไฟนี่เอง แต่เราเดินผ่านมันมาตั้งแต่ต้น และแผนที่จาก google Map ก็คลาดเคลื่อนไป ในที่สุดก็ได้มาเจอกับพนักงานต้อนรับพูดเร็วปรื๋อ เธอพาเราไปห้อง Common Room เพื่อไปฝากกระเป๋า แต่ถ้าฝากที่นี่ไม่ฟรี เพราะต้องหยอดเหรียญ เพื่อกด CODE ที่หน้าตู้ แถมกระเป๋าเราใบใหญ่ ราคาก็เลยแพงขึ้นมาด้วย
ที่พักของเราคืนนี้แหละ
บ่ายวันนี้ขอเดินทางไปชมพระราชวังโฮลีรู้ดกันก่อน ดูตามแผนที่ ตอนแรกก็ยังคงงง ไม่นานก็พบได้ว่า เมืองเอดินบะระส่วนที่เป็นเมืองเก่านั้น มีขนาดกะทัดรัด เดินได้พอจะเมื่อยขาพอสมควร สภาพภูมิประเทศเป็นเมืองสร้างบนเขา สภาพขึ้น ๆ ลง ๆ เดินมุดลงซอกนั้น ขึ้นบนซอกนั้นซอกนี้
เส้นทางที่จะไปถนนโบราณของเอดินบะระ มีปลายด้านตะวันตกเป็นพระราชวังโฮลี่รู้ด (Holly Rood Palace) ส่วนปลายฝั่งตะวันออกคือปราสาทเอดินบะระ (Edinburgh Castle) ถนนทางสายหลักที่เชื่อมต่อระหว่างพระราชวังกับปราสาทมีชื่อว่ารอยัลไมล์ (Royal Mile) ซึ่งมีความสำคัญมากเพราะเป็นที่ตั้งของใจกลางเมืองยุคเก่าที่มีสถาปัตยกรรมสวยงามและมีประวัติศาสตร์สำคัญทั้งบนถนนสายหลักและบริเวณโดยรอบ
ตัวเมืองเก่าเอดินบะระไม่เหมือนกับลอนดอนเลย ที่เห็นได้ชัดคือลอนดอนนั้นดูเป็นเมืองใหม่ เพราะถูกเนรมิตขึ้นมาตอนหลังไฟไหม้ แต่เอดินบะระนี่เก่าจริง นี่ดูมีเสน่ห์กว่าลอนดอนอยู่มาก
อาคารดูคร่ำคร่า ถนนปูด้วยหินแกรนิตเป็นภาพโบราณและบ้านเรือนสมัยหินแกรนิต อยู่หลายหลัง อาคารใหญ่โตหลายแห่งก็เก่าแก่ หน้าบันเป็นรูปลวดลายสารพัดแข่งกันอาคารแบบนีโอคลาสสิกและจอร์เจียนของที่นี่ใหญ่โตเทอะทะอัดกันแน่นบนถนนที่ไม่ได้กว้างใหญ่อะไร
พื้นผิวต่างๆของตึกเหล่านี้ดูเป็นเขม่าจับตามผนังสีเทายิ่งทำให้ถนนสายนี้ดูโรแมนติกไปอีก เหมือนหลุดมาในโลกที่ดูกำมะลอแถมยังมีซอยเล็กๆแคบๆชวนให้เดินดูว่าจะมีอะไรลึกลับอยู่แถวนี้บ้าง
เดี๋ยวเราจะกลับมาอธิบายอะไรต่อมิอะไรบนเส้นทางรอยัลไมล์กันต่อ แต่ขอไปที่จุดหมายปลายทิศตะวันตกกันก่อน นั้นก็คือพระราชวังโฮลี่รู้ด ซึ่งเป็นจุดหมายแรกในวันนี้
อ้อ คุยไปก็มาถึงหน้าประตูวังพอดี เดี๋ยวไปชมวังกันตอนหน้าละกัน
โฆษณา