27 มิ.ย. 2022 เวลา 04:00 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
Elvis (2022) – ราชันย์ร็อคแอนด์โรล
แนวหนังชีวประวัติ มักจะเป็นแนวหนังที่เราแพ้ทางอยู่ไม่น้อย เนื่องจากความสนใจส่วนตัวที่การดัดแปลงชีวิตหรือเหตุากรณ์จริง มักจะเป็นความท้าทายของผู้สร้าง ว่าจะเล่าเรื่องราวเหล่านั้นออกมาในรูปแบบใด
หลายครั้ง แม้ในเรื่องที่เรารู้ตอนจบอยู่แล้ว หากแต่มันท่วมท้นด้วยความรู้สึก หนังเรื่องนั้นก็มักจะประสบความสำเร็จเสมอ เฉกเช่นเดียวกับ การหยิบเอาไอค่อนของโลกร็อคแอนด์โรลมาทำเป็นหนัง โดยผลงานเรื่องล่าสุดของผู้กำกับ ฯ บาซ เลอห์แมนน์ อย่าง Elvis
Elvis เล่าเรื่องราวของ เอลวิส เพรสลีย์ ราชาร็อคแอนด์โรล แต่ผ่านจากปากของ ผู้พัน ทอม พาร์คเกอร์ ผู้จัดการที่มีหัวธุรกิจ หลังได้เห็นพรสวรรค์ของเอลวิส จึงเสนอตัวเพื่อเข้ามา “ควบคุม” และจัดการหน้าที่การงานให้ เมื่อกำลังรุ่งโรจน์ถึงขีดสุด เอลวิสจึงเผชิญหน้ากับอุปสรรคหลายอย่าง ทั้งกระแสสังคมที่ยังมีความขัดแย้งทางสีผิว หรือแม้กระทั่งความหัวขบถทางการแสดงที่แตกต่างจากศิลปินคนอื่น
แม้จะตั้งตนเป็นหนังชีวประวัติ แต่ตัวหนังก็เปิดมาด้วยลีลาที่สุดแสนจะหวือหวา แถมอาจหาญด้วยการเล่าผ่านปากของตัวละคร ผู้พัน ทอม พาร์คเกอร์ (ทอม แฮงค์ส) ถึงการค้นพบเพชรที่จะเจิดจรัสมาเป็นดาวอย่าง เอลวิส นำด้วยการแสดงที่แทบจะสวมวิญญาณของออสติน บัตเลอร์ คลอด้วยบทเพลงอันเป็นตำนานของเอลวิสมากมาย รวมถึงเหตุการณ์ที่ไล่เรียงตั้งแต่ช่วงรุ่งโรจน์ไปจนถึงบั้นปลายชีวิตของเขา
ส่วนที่ดีอย่างแรกที่ต้องยกย่องก็คือ การแสดงแบบสวมวิญญาณของออสติน บัตเลอร์ ที่รับบทบาทเป็นไอค่อนของวัฒนธรรมป๊อบอย่าง เอลวิส เพรสลีย์ ได้อย่างน่าเชื่อถือและน่าประทับใจมาก ๆ
ซึ่งถึงแม้นี่จะเป็นผลงานการรับบทนำเป็นเรื่องแรก แต่บัตเลอร์ก็สามารถฉายแสงพราวเสน่ห์และแสดงศักยภาพได้โดดเด่นอย่างมาก ในแทบทุกฉากที่เขาปรากฎตัว และบางครั้งก็ดึงสายตาเราออกจากฉากที่เขาแสดงร่วมกับทอม แฮงค์ส เสียเลยด้วยซ้ำ และในทุกครั้งที่เป็นฉากร้องเพลง บัตเลอร์ ก็ทำหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยมมาก ๆ
ส่วนต่อมาก็คือ การกำกับของบาซ เลอห์แมนน์ ที่เราสามารถรับรู้ได้จากการเรียบเรียงคัตติ้งที่แสนจะบ้าพลังในช่วงแรก ทั้งการลำดับเรื่องที่เล่าไม่ตามลำดับเวลา แวะผ่านพื้นหลังที่ทำให้เอลวิสสนใจในเพลง หรือการหยิบเอาวัฒนธรรมของคนผิวดำมาเป็นเพลงของตัวเอง จนถึงช่วงโด่งดังของเอลวิส ก็ตัดต่อออกมาได้ฉับไวน่าติดตาม เปี่ยมสไตล์แสนหวือหวา
ก่อนที่ตัวหนังจะผ่อนอารมณ์ในช่วงขาลง ที่ทำให้เราสามารถซึมซับไปกับอารมณ์ความรู้สึกของตัวละครมากขึ้น อีกทั้งในช่วงที่นำเสนอบทเพลงดัง ๆ ของเอลวิส การนำเสนอก็ทำได้ยอดเยี่ยมน่าตื่นตาเช่นกัน
นอกเหนือจากนี้ ตัวหนังค่อนข้างยกย่องวัฒนธรรมคนผิวดำอย่างมาก ผ่านภูมิหลังและพฤติกรรมของเอลวิสที่นิยมในบทเพลงจากคนผิวดำ มันก็สื่อถึงความหัวขบถที่แหวกขนบ ณ เวลานั้น แต่มันก็สื่อถึงความหัวก้าวหน้ามาก่อนกาลอยู่ไม่น้อย แถมสไตล์ของหนังก็ยังไม่วาย นำเอาบทเพลงอันสุดคลาสสิคของราชันย์ร็อคแอนด์โรล มามิกซ์เป็นบทเพลงสมัยใหม่ ซึ่งถือเป็นความห้าวหาญที่สื่อถึงตัวเอลวิสได้ดีเลย
แท้จริงก่อนไปดู เราได้ยินถึงเรื่องด้านลบต่อตัวเอลวิสอยู่ไม่น้อย ทั้งการคบพริสซิลล่าตั้งแต่วัยเยาว์ สมัยที่เอลวิสถูกส่งไปเยอรมัน หรือแม้แต่การหยิบเอาบทเพลงคนผิวดำไปเป็นเพลงของตัวเอง แต่หนังก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องราวเหล่านี้ตรง ๆ เราเห็นพฤติกรรมหลายอย่าง ที่ส่งอิทธิพลต่อตัววัยรุ่นหญิงสาวในสมัยนั้นที่รักเขาอย่างบ้าคลั่ง
แต่หนังพูดถึงแง่มุมของเอลวิสในฐานะศิลปินที่รุ่งโรจน์โชติช่วง ภายใต้ร่มเงาจอมบงการอย่างผู้พัน ทอม พาร์คเกอร์ ซึ่งก็น่าขัน ที่แม้กระทั่งหนังชีวประวัติของเอลวิสเอง พาร์คเกอร์ ก็ยังริมาทำหน้าที่บรรยาย เหมือนเป็นหนังของตัวเอง…
ซึ่งสิ่งที่เราได้เห็นจากหนังเรื่องนี้ ก็ไม่ได้มีแต่แง่มุมสวยหรูสวยงาม ขณะที่เราได้เห็นช่วงชีวิตที่โด่งดัง สร้างบทเพลงที่สื่อถึงช่วงเวลาแห่งยุคสมัย การส่งต่อวัฒนธรรมของคนผิวดำผ่านบทเพลง (ที่แม้จะลอกหรือขโมยมาหรือไม่ก็ตาม)
แต่มันก็กลายเป็นการเผยแพร่วัฒนธรรมในนามของคนขาว ทลายกำแพงแห่งอคติ ในยุคสมัยที่คนผิวดำยังไม่เป็นที่ยอมรับนั้นลง ยังไม่นับความหัวขบถที่ทำให้ผู้ใหญ่ในยุคนั้นขุ่นเคือง และสร้างอิทธิพลตำนานมาจนถึงปัจจุบัน ถึงแม้ว่าบั้นปลายของชายผู้นี้จะโรยราลงอย่างน่าเวทนาปานโศกนาฏกรรมก็ตามที
สรุปแล้ว Elvis คือหนังชีวประวัติเอลวิสที่สุดแสนจะบ้าพลัง นำโดยไดเรคชั่นคัตติ้งแสนหวือหวาของเลอห์แมน ที่สื่อถึงความหัวขบถได้ค่อนข้างดี บอกเล่าเรื่องราวชีวิตอันรุ่งโรจน์โชติช่วงของเอลวิสได้น่าติดตาม คับคั่งไปด้วยบทเพลงอันเป็นตำนาน ที่ได้รับอิทธิพลมาจากวัฒนธรรมคนผิวดำและสื่อถึงแต่ละช่วงเวลาได้ดี แถมด้วยการแสดงระดับสวมวิญญาณของออสติน บัตเลอร์ ในบทนำ ก็ยอดเยี่ยมจนน่าประทับใจ
4 / 5
Elvis (2022)
Directed by Baz Luhrmann
Screenplay by Baz Luhrmann & Sam Bromell and Craig Pearce and Jeremy Doner
Story by Baz Luhrmann and Jeremy Doner

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา