5 ก.ค. 2022 เวลา 00:23 • การศึกษา
แก้เหนื่อย
  • 1.
    ดื่มน้ำให้เพียงพอ โดยเฉลี่ยแล้วเราควรดื่มน้ำวันละ 2-3 ลิตร หรือกินผักผลไม้ 500 กรัม เท่ากับดื่มน้ำ 40 ซีซี
  • 2.
    นอนให้เร็วขึ้น ... ...
  • 3.
    ออกกำลังกายบ้าง ... ...
  • 4.
    ปรับเปลี่ยนวิธีออกกำลังกาย ...
5.​รับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ อัลมอด์ ถั่วชนิดต่าง ๆ น้ำเต้าหู้ นมถั่วเหลือง ไข่ต้ม หรือสแน็กที่ทำจากธัญพืชมากินปลุกความกระปรี้กระเปร่าให้ตัวเองด้วยสารอาหารสำคัญอย่างโปรตีน วิตามินบี และกรดไขมันโอเมก้า 3 ในช่วง 16.00 น. อิ่มท้องเบา ๆ
6.​ลดความเครียดให้น้อยลง ความเครียด ตัวการต้นเหตุที่ร่างกายต้องใช้พลังงานมหาศาล ไม่แปลกที่จะทำให้เราต้องรู้สึกดาวน์ และหมดแรงในการทำงานอย่างอื่นได้ ดังนั้น ควรหาเวลาทำกิจกรรมที่ผ่อนคลาย ช่วยลดฮอร์โมนความเครียดให้กลับมาสมดุลอีกครั้ง เช่น workoutในยิม เล่นโยคะ ไทชิ  นวดผ่อนคลาย อ่านหนังสือ นิตยสาร และหาเวลาพูดคุยกับเพื่อนๆ
7.ลดอาหารแป้ง ขัดขาว โมเลกุลเชิงเดี่ยวเพราะร่างกายสามารถเปลี่ยนแป้งเหล่านี้เป็นน้ำตาลได้อย่างรวดเร็ว ระดับน้ำตาลในเลือดก็จะสูงขึ้นสักพัก ทำให้รู้สึกสดชื่นเพียงชั่วครู่ จากนั้นระดับน้ำตาลในเลือดก็จะดรอปลง ทำให้รู้สึกอ่อนเพลีย ง่วงนอน ไร้เรี่ยวแรง เป็นเหตุให้เกิดอาการหิวบ่อย อยากกินของหวาน ๆ จนอาจจะพาน้ำหนักขึ้นได้
8.วิตามินบีมีส่วนเกี่ยวข้องกับ “ความเหนื่อยล้า” และเป็นสารอาหารรองที่สำคัญช่วยเปลี่ยนสารอาหารหลักให้กลายเป็นพลังงานได้ แหล่ง
วิตามินบี 1 เช่น ถั่วดำ ถั่วเลนทิล เมล็ดทานตะวัน และปลาทูน่า
9.หลีกเลี่ยงเลี่ยงคาเฟอีน มีงานวิจัยระบุว่า เมื่อเรารู้สึกเหนื่อยล้า อ่อนเพลีย ให้หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มคาเฟอีนจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด โดยพยายามค่อยๆลดลงเรื่อยๆ ทีละนิด อาจเหลือเพียงแค่ สัปดาห์ละ 3 ครั้งเท่านั้น
สำหรับอาหารและเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น กาแฟ โกโก้ ชา โคล่า และเครื่องดื่มชูกำลัง ฯลฯ โดยเฉพาะการดื่มชา ซึ่งมีสารแทนนินอยู่ด้วย จะไปขัดขวางการดูดซึมวิตามินบี1 ทำให้อ่อนเพลีย เมื่อยล้า และแขนขาไม่มีแรงได้ใน 1 เดือน เมื่องดคาเฟอีนจะทำให้คุณรู้สึกอ่อนเพลีย เหนื่อยล้าน้อยลง
 
10.ถ้าทานกล้วย จะมี วิตามิน บี 1 และบี 2 ที่ช่วย ในการ เร่ง เผา ผลาญ น้ำตาล และ ไขมัน ทั้ง ยังช่วย ฟื้นฟู ร่างกาย จาก เหนื่อยล้า อีกด้วย
แหล่งวิตามินบีธรรมชาติ
โฆษณา