7 ก.ค. 2022 เวลา 11:00 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
7 สิ่งที่คาดว่าปัญญาประดิษฐ์ไม่สามารถทำได้ในด้านการแพทย์
เนื่องจากเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์(Artificial Intelligence, A.I.) สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ในหลากหลายด้าน รวมถึงด้านการแพทย์ เช่น การช่วยค้นหาวิธีใหม่ๆในการรักษาโรค, การทำนายแนวโน้มของการเกิดโรคระบาด เป็นต้น จึงดูเหมือนว่าเทคโนโลยีดังกล่าวจะถูกนำมาใช้ทดแทนรูปแบบการทำงานแบบเดิมๆ
อย่างไรก็ตาม แนวคิดในการใช้ A.I. มาทดแทนการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ ยังเป็นเรื่องที่ห่างไกลจากความเป็นจริงมาก โดยมีหลายอย่างที่ A.I. ไม่สามารถทำแทนบุคลากรทางการแพทย์ได้ภายในช่วงไม่กี่สิบปีข้างหน้า ดังเช่นตัวอย่างต่อไปนี้
1. การใช้ A.I. แทนบุคลากรทางการแพทย์
ความกลัวที่ A.I. จะเข้ามาแย่งงานของมนุษย์นั้นเกิดขึ้นในแทบทุกอุตสาหกรรม ถึงแม้ว่า A.I. จะมีความฉลาดมากเพียงใด แต่ก็ยังไม่สามารถทดแทนบุคลากรทางการแพทย์ได้
ในอนาคต A.I. จะถูกนำมาใช้ในระบบสาธารณสุข แต่ก็เป็นเพียงเครื่องมือช่วยเหลือบุคลากรทางการแพทย์เพียงเท่านั้น โดยเครื่องมือที่มีการใช้เทคโนโลยี A.I. ยังต้องการให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญมาควบคุมและช่วยวิเคราะห์ผล
นอกจากนี้แรงงานมนุษย์ยังจำเป็นต่อการแก้ไขปัญหาที่มีความซับซ้อนและต้องการความคิดสร้างสรรค์ แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอย่างแน่นอนคือ หมอที่สามารถใช้งาน A.I. ได้ จะมาแย่งงานจากหมอที่ไม่สามารถใช้งาน A.I. ได้
2. A.I. ไม่สามารถเข้าใจความรู้สึกของผู้ป่วยได้เหมือนกับบุคลากรทางการแพทย์
ถึงแม้ว่าในอนาคต A.I. อาจถูกตั้งโปรแกรมมาให้แสดงความรู้สึกเห็นอกเห็นใจผู้ป่วยได้บ้าง แต่ก็ไม่มีทางที่จะแทนที่บุคลากรทางการแพทย์ได้ แต่ในทางตรงข้าม A.I. จะเข้ามาช่วยให้บุคลากรทางการแพทย์สามารถดูแลรักษาผู้ป่วยได้ดีขึ้น
จากการที่ A.I. สามารถทำงานที่มีรูปแบบเดิมๆ ได้เป็นอย่างดี จึงสามารถเข้ามาช่วยทำงานดังกล่าวแทนบุคลากรทางการแพทย์ได้ และทำให้บุคลากรทางการแพทย์สามารถใช้เวลาในการดูแลรักษาผู้ป่วยได้มากขึ้น อีกทั้งยังสามารถใช้ความเห็นอกเห็นใจผู้ป่วยมาช่วยในการดูแล ซึ่งมีแต่มนุษย์เท่านั้นที่ทำได้
หรือก็คือ A.I. จะเข้ามาช่วยดูแลงานด้านเอกสาร รวมถึงการวิเคราะห์ผลข้อมูลต่างๆ เพื่อให้บุคลากรทางการแพทย์ได้ใช้ทักษะในด้านการสื่อสาร รวมถึงการเข้าใจความรู้สึกของคนไข้ มาดูแลรักษาคนไข้ให้ดีขึ้น
3. ปัญหาในด้านความเป็นส่วนตัวของข้อมูลทางการแพทย์
ในการทำให้ A.I. มีประสิทธิภาพมากขึ้น จำเป็นต้องป้อนข้อมูลจำนวนมากเพื่อฝึกฝน A.I. หากไม่มีข้อมูลเหล่านี้ A.I. ก็แทบจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย
จากแนวโน้มในปัจจุบัน บริษัทยักษ์ใหญ่ทางด้านเทคโนโลยีจำนวนมาก ได้ให้ความสนใจในธุรกิจด้านการแพทย์ และป้อนข้อมูลมากมายเพื่อฝึกฝน A.I. โดยข้อมูลส่วนใหญ่ก็มาจากผู้ป่วย
ตัวอย่างเช่น บริษัท Google, Amazon, และ Facebook ต่างกำลังแข่งขันกันพัฒนาเทคโนโลยี A.I.
ในปี 2019 บริษัท Amazon ได้ร่วมมือกับหน่วยงานบริการด้านสุขภาพแห่งชาติ(National Health Service, NHS) จากสหราชอาณาจักร โดยทาง NHS จะให้ข้อมูลผู้ป่วยกับ Alexa ซึ่งเป็น A.I. ของทางบริษัท Amazon ในการให้คำปรึกษาด้านสุขภาพ ซึ่งได้จุดประกายความสนใจในปัญหาเรื่องข้อมูลส่วนตัวของผู้ป่วย
ก่อนหน้านี้ บริษัทจัดการกองทุนของ NHS ก็ได้แชร์ข้อมูลผู้ป่วยจำนวนมากให้กับ Deepmind A.I. ของบริษัท Google เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์มใหม่ โดยที่ไม่มีการแจ้งเตือนในเรื่องดังกล่าวกับผู้ป่วยที่เป็นเจ้าของข้อมูลเลย จึงมีความกังวลว่าข้อมูลดังกล่าวอาจถูกนำไปใช้ในทางที่ไม่เหมาะสมก็ได้
4. การสร้างหุ่นยนต์ผ่าตัดแบบอัตโนมัติโดยใช้ A.I.
หากยังจำกันได้ ฉากหนึ่งในภาพยนตร์เรื่อง Star Wars ภาค 3 ที่ Anakin Skywalker ได้รับการรักษาด้วยหุ่นยนต์หลังจากถูกเผาและถูกตัดแขนขา ซึ่งหุ่นยนต์เหล่านั้นได้ทำการผ่าตัดและสวมชุดให้กับเขาโดยที่ไม่มีมนุษย์ควบคุมอยู่
แต่ทว่า การผ่าตัดในชีวิตจริง ต้องใช้วิธีการที่เหมาะสมและความคิดสร้างสรรค์ เนื่องจากร่างกายของผู้ป่วยแต่ละคนไม่เหมือนกัน โดยหุ่นยนต์สามารถช่วยในการทำงานขั้นพื้นฐานเท่านั้น เช่น การส่งเครื่องมือผ่าตัด, การเป็นเครื่องมือในการผ่าตัดที่ละเอียดอ่อน เช่น ระบบผ่าตัด da Vinci เป็นต้น
อีกทั้งมนุษย์ยังสามารถใช้ประสบการณ์ในการรับมือกับความซับซ้อนในการผ่าตัด จากปัญหาที่ไม่เคยเจอมาก่อนในระหว่างการผ่าตัดได้ดีกว่าหุ่นยนต์
5. A.I. จะทำการตัดสินใจทางการแพทย์ด้วยตัวเอง
การใช้ A.I. ในการตัดสินใจในด้านการรักษา รวมถึงด้านการแพทย์ ฟังดูน่าสนใจ โดยเฉพาะการช่วยผ่อนคลายแรงกดดันจากการตัดสินใจที่ยากลำบากของบุคลากรทางการแพทย์
เช่น ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 หมอต้องทำการตัดสินใจว่า จะเลือกช่วยผู้ป่วยคนใดก่อน จากทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด
แม้ว่า A.I. สามารถค้นหาประวัติทางการแพทย์ รวมถึงข้อมูลทางด้านพันธุกรรมของผู้ป่วยได้แทบจะในทันที แต่ทว่าการที่ต้องทิ้งภาระการตัดสินใจดังกล่าวให้กับ A.I. ย่อมไม่เป็นผลดี เนื่องจากปัญหาดังกล่าว ซึ่งต้องอาศัย แพทย์, โปรแกรมเมอร์, และนักจริยธรรม มาช่วยกันออกแบบข้อมูลสำหรับฝึกฝน A.I.
ยิ่งกว่านั้น A.I. ไม่สามารถวิเคราะห์ข้อมูลอย่างเที่ยงธรรมได้ ดังนั้นบุคลากรทางการแพทย์จึงควรเป็นผู้ทำการตัดสินใจด้วยตัวเองจะดีกว่า
6. A.I. ไม่มีความลำเอียง
การให้ A.I. มาทำการตัดสินใจโดยที่ไม่มีความลำเอียง เป็นเรื่องที่ยากมาก เนื่องจากชุดข้อมูลที่ใช้ฝึกฝน A.I. มีความสำคัญมาก แต่ข้อมูลทางการแพทย์มีความลำเอียงค่อนข้างมาก ทำให้มีการตั้งคำถามถึงการใช้งาน A.I. ในด้านนี้
จากการที่ชุดข้อมูลทางการแพทย์ที่ใช้ฝึกฝน A.I. เต็มไปด้วยความไม่เป็นธรรมในสังคม รวมถึงโปรแกรมเมอร์ผู้สร้าง A.I. อาจใส่ความอคติลงไป ทั้งในแบบที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจ
โปรแกรมเมอร์อาจที่จะใส่คุณค่าหรือความเชื่อบางอย่างลงไปในการสร้าง A.I. ขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งอาจให้ผลลัพธ์ที่ส่งผลกระทบต่อผู้คนอีกกลุ่มหนึ่ง
7. A.I. จะมีเหตุผลเฉกเช่นมนุษย์
แม้ว่า โปรแกรม A.I. ที่ฉลาดจะสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ก็ไม่สามารถใช้เหตุผลได้เท่ามนุษย์ โดยในการนำมาใช้งานด้านการแพทย์ A.I. ไม่มีความตระหนักรู้และไม่เข้าใจการให้เหตุผลของมนุษย์
มีตัวอย่างมากมาย ที่ถูกทดสอบจากผู้ที่ต่อต้าน A.I. เช่น การบิดเบือนรูปภาพเพียงเล็กน้อยในระดับที่มองออกได้ยาก โดย A.I. ไม่สามารถจัดกลุ่มรูปภาพเหล่านั้นได้ แต่มนุษย์ยังคงสามารถทำได้
วิธีง่ายๆเพียงแค่นี้ ได้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อ A.I. แต่แทบไม่ส่งผลกระทบต่อมนุษย์ และเป็นสิ่งที่ช่วยยืนยันว่า A.I. ไม่สามารถใช้เหตุผลได้
จากความก้าวหน้าในทางเทคโนโลยีที่เพิ่มขึ้นในทุกๆวัน เราคงได้เห็นการนำ A.I. มาประยุกต์ใช้งานในด้านการแพทย์อีกมาก ดังนั้นการเตรียมตัวเข้าสู่ยุค A.I. จึงสำคัญมาก
สิ่งที่สำคัญคือ การเรียนรู้เกี่ยวกับ A.I., การเข้าใจวิธีคิดของ A.I., และการเข้าใจภาษาของ A.I. โดยไม่สำคัญว่า A.I. จะถูกนำไปใช้ทำอะไร เช่น การเขียนโปรแกรม, การแข่งหมากรุก เป็นต้น หากเราเข้าใจ A.I. เราจะสามารถควบคุม A.I. ได้ เพื่อให้ช่วยเราแก้ปัญหาต่างๆได้อย่างมีประสิทธิภาพ
References:

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา