30 ก.ค. 2022 เวลา 01:44 • ปรัชญา
คนที่มีความสุขที่สุดในโลก
7
Blockdit Originals ซีรีส์บทความพิเศษ
แมทธิว รีคาร์ด (Matthieu Ricard) เกิดในครอบครัวปัญญาชน เป็นบุตรของนักปรัชญามีชื่อเสียงชาวฝรั่งเศส ตั้งแต่เด็กบ้านของเขาหัวกระไดไม่เคยแห้ง มีปัญญาชนไปเยี่ยมเสมอ ตั้งแต่นักคิด นักเขียน จิตรกร นักดนตรี หลายคนเป็นเจ้าของรางวัลโนเบล ทั้งหมดชอบไปถกคุยกัน
13
ปี 1972 แมทธิวเรียนจบปริญญาเอกสายพันธุกรรมเซลล์จากสถาบันปาสเตอร์ กรุงปารีส ในวัย 26 เขารู้สึกเบื่อหน่ายชีวิตในสภาพแวดล้อมนั้น เขารู้สึกว่ามีบางสิ่งขาดหายไปในชีวิต เขาเชื่อว่ามีคำตอบในโลกตะวันออก
9
เขามุ่งหน้าไปที่อินเดีย
2
บิดาของเขาไม่พอใจนักที่เขาไปค้นหาคำตอบในโลกตะวันออก แต่เขาก็ไปจนได้ นักพันธุกรรมโมเลกุลหนุ่มละทิ้งทุกอย่างไปศึกษาพุทธทิเบต ณ อารามแห่งหนึ่งที่กาฐมาณฑุ เนปาล เทือกเขาหิมาลัย
14
ผ่านไปราว 26 ปีใต้ร่มกาสาวพัตร แมทธิวก็กลับบ้าน และมีโอกาสถกปรัชญาชีวิตกับพ่อ บทสนทนาของทั้งสองกลายเป็นหนังสือเบสต์เซลเลอร์ชื่อ The Monk and the Philosopher หนังสือเกี่ยวกับปรัชญาสมัยใหม่ที่ดีที่สุดเล่มหนึ่ง
15
เขากลายเป็นคนมีชื่อเสียงทันที
2
และกลายเป็นคนดังอีกครั้งในปี 2007 เมื่อนักวิทยาศาสตร์ทางประสาทวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน ทดลองสแกนสมองของเขา และประกาศว่าเขาเป็นคนที่มีความสุขที่สุดในโลก
14
ในช่วงที่ แมทธิว รีคาร์ด ศึกษาพุทธที่เนปาล เขาฝึกสมาธิคนเดียวในกระท่อมบนภูเขานานห้าปี
9
เขาเรียนจากพระทิเบตว่า เราต้องรับรู้การผูกพัน อัตตาเป็นตัวขับเคลื่อนการยึดมั่นถือมั่น แต่เราสามารถขจัดมันทิ้งด้วยการอยู่กับปัจจุบันและความเมตตา
26
อาจารย์ของเขาสอนว่า "ขบวนรถไฟแห่งความคิดและสภาวะจิตเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เหมือนรูปทรงของก้อนเมฆบนท้องฟ้า แต่เราชอบยึดมั่นให้ความสำคัญกับมัน"
27
การทำสมาธิเป็นทางหนึ่งที่จะ 'ขโมย' จิตของเราคืนมา
17
แมทธิว รีคาร์ด
เขาใช้หลักสามอย่างในการทำสมาธิ นั่นคือความเมตตา การเจริญสติ และการวิเคราะห์
14
รากฐานการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ทำให้เขามองโลกแบบวิทยาศาสตร์ ซึ่งก็เป็นรากของพุทธศาสนาเช่นกัน เขาบอกว่าศาสนาพุทธเป็นวิทยาศาสตร์ทางจิต
24
"ภายในตัวเราทุกคนคือการออกแบบของโลก เรามีความสามารถที่จะเข้าถึงและเข้าใจจักรวาล เพื่อกลายเป็นรูปแบบอื่นๆ"
8
สรรพสิ่งในโลกเป็นการหมุนเวียนเปลี่ยนรูปของสิ่งเดิม
5
เขาบอกคนที่มาเยือนว่า "เธออาจมีโมเลกุลของ เจ็งกิส ข่าน ในตัวเธอ"
1
สรรพสิ่งและชีวิตเชื่อมโยงกันในรูปแบบต่างๆ
2
บางครั้งเขาชี้ที่ถ้วยชาแล้วกล่าวว่า "นี่คือน้ำชาที่เธอดื่มตอนนี้ อีกหกชั่วโมงมันจะกลายเป็นเธอ"
8
คนจำนวนมากไม่มีความสุขเพราะไปเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น
16
"การเปรียบเทียบคือตัวฆ่าความสุข เราไม่เปรียบตัวเรากับ บิล เกตส์ แต่เปรียบกับเพื่อนบ้าน เรามักสังเกตว่าเพื่อนบ้านใช้รถอะไร ไปเที่ยวที่ไหน"
20
เราเปรียบเทียบเสมอ แม้ว่าไม่พูดอะไรออกมา แต่ก็อาจเปรียบเทียบโดยจิตใต้สำนึก
8
เขาบอกว่าเราต้องเข้าใจวิธีคิดและความคิดของเรา เช่น เราคิดว่าเราสามารถควบคุมโลก แต่ 99 เปอร์เซ็นต์เป็นความวุ่นวาย เราทำได้เพียงเปลี่ยนจิตของเราเกี่ยวกับมัน
19
บางครั้งเราไปซื้อรถ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการเดินทางจากจุด ก. ไปจุด ข. แต่เราจดจ่อที่รถจนเราลืมไปแล้วว่าจุด ก. จุด ข. อยู่ที่ไหน
13
เขากล่าวว่า การแสวงหาความสบายหรือที่เขาใช้คำว่า pleasant sensations (ความรู้สึกสุขสบาย) ไม่ใช่สิ่งเดียวกับความสุข แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าเราต้องปฏิเสธความรู้สึกสุขสบายเมื่อมันมาหา เพียงแต่ต้องระวังว่าความรู้สึกสุขสบายไม่ใช่สิ่งถาวร และไม่ได้รับประกันความสุขโดยธรรมชาติ
26
"เมื่อเรารื้ออัตตาของเราออก เราก็จะเริ่มมองเห็นโลกจริงๆ... การยึดมั่นถือมั่นกับอัตตาเป็นพื้นฐานที่เชื่อมโยงกับความทุกข์ที่เรารู้สึก และความทุกข์ที่เราให้คนอื่น อิสรภาพเป็นเรื่องตรงกันข้าม"
17
ในปี 2007 มีการร่วมมือระหว่างพระทิเบต โดยการสนับสนุนของท่านทาไลลามะ กับนักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่งในสหรัฐฯซึ่งสนใจเรื่องผลของการทำสมาธิ ทำการวัดคลื่นสมองพระแปดรูปกับคนอเมริกันอีกสิบคนที่ไม่เคยฝึกทำสมาธิ วัดคลื่นแกมมาในสมองด้วยเครื่อง EEG
19
คลื่นแกมมาเป็นคลื่นที่เกี่ยวกับสติสัมปชัญญะ ความจดจ่อ การเรียนรู้ และความทรงจำ
8
นักวิทยาศาสตร์ทางประสาทวิทยา ริชาร์ด เดวิดสัน มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน เมืองเมดิสัน รัฐวิสคอนซิน บอกว่า เราสามารถวัดค่าความสัมพันธ์ระหว่างคอร์เท็กซ์ซีกซ้ายและขวา กิจกรรมในซีกซ้ายเกี่ยวข้องกับความรู้สึกที่ดี ส่วนซีกขวาเกี่ยวข้องกับความรู้สึกลบทั้งหลายและอาการซึมเศร้า
5
ทีมงานติดเซ็นเซอร์ 256 ชิ้นที่กะโหลกศีรษะของแมทธิว แล้วสแกนสมองของเขาขณะที่เขากำลังทำสมาธิ พระฝรั่งผ่านการสแกนนานสามชั่วโมงต่อเนื่อง
6
สมองของ แมทธิว รีคาร์ด
นักวิจัยตะลึงเมื่ออ่านผล
1
ผลการสแกนพบว่า ขณะทำสมาธิ สมองของแมทธิวสร้างคลื่นแกมมาทะลุกราฟในระดับที่ไม่เคยพบมาก่อน
10
จากระดับผลที่วัดจากอาสาสมัครจำนวนหลายร้อยคน ซึ่งได้ผลตั้งแต่ +0.3 ถึง -0.3 ผลสแกนของแมทธิวคือ -0.45 หลุดไกลจากกลุ่ม
8
ผลสแกนสมองแมทธิวชี้ระดับกิจกรรมเข้มข้นที่เกิดขึ้นในสมองส่วน prefrontal cortex ซีกซ้าย แปลผลได้ว่า แมทธิวมีความรู้สึกด้านลบต่ำ เขามีศักยภาพที่จะมีความสุขมากกว่าคนปกติหลายเท่า
8
สรุปว่าเท่าที่เคยมีการบันทึกมา แมทธิวเป็นเจ้าของสมองของคนที่มีความสุขที่สุดในโลก
7
นักวิทยาศาสตร์ผู้ที่ศึกษาสมองของคนทำสมาธิบอกว่า "เราใช้เวลานานสิบสองปีค้นหาผลในระยะสั้นและยาวของการฝึกสมาธิ ที่มีต่อความจดจ่อ ความเมตตา และสมดุลของอารมณ์"
12
นอกจากสแกนสมองของเขา นักวิทยาศาสตร์ยังสแกนสมองของพระอีกจำนวนหนึ่ง บางรูปฝึกสมาธิมานานห้าหมื่นครั้ง บางรูปฝึกสมาธิมานานสามสิบปี
5
ผลคือคลื่นสมองของพระที่ฝึกสมาธิมานานทะลุกราฟเช่นกัน
4
การทดสอบอีกอย่างหนึ่งคือให้ทั้งพระทั้งฆราวาสฟังเสียงรบกวน เช่น เสียงระเบิด เพื่อรบกวนสมาธิและกระตุ้นความรู้สึกเชิงลบ
5
ผลคือพระที่ฝึกสมาธิมานานรับมือกับเสียงรบกวนได้สบายๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ส่วนฆราวาสสอบไม่ผ่านเลย
8
เหตุผลเพราะพระที่ฝึกสมาธิมานาน สามารถปล่อยให้ความรู้สึกลบผ่านไป ไม่ใช่ว่าจะไม่มีความโกรธหรือหงุดหงิด แต่สามารถปลดปล่อยความรู้สึกลบออกไปได้
25
แมทธิวเชื่อว่าที่เป็นเช่นนี้เพราะการทำสมาธิ
3
เขาบอกว่าการทำสมาธิก็เหมือนกีฬายกน้ำหนักหรือการออกกำลังกายทางจิต ใครๆ ก็สามารถมีความสุขได้โดยฝึกสมอง
10
สมองของคนเราเป็น Neuroplasticity (หรือ neural plasticity) มีความยืดหยุ่น เราเปลี่ยนแปลงมันได้
10
เขาว่าการทำสมาธิสามารถเปลี่ยนสมองและตัวตนของผู้ฝึกและใครๆ ก็ทำได้ โดยเรียนรู้วิธีปล่อยให้ความคิดล่องลอยไป
7
แมทธิว รีคาร์ด นั่งสมาธิทุกวัน
4
การทำสมาธิทำให้เราเจริญสติได้ดี แต่กระนั้นจิตมนุษย์หลุดจากภาวะปัจจุบันขณะง่ายมาก เผลอนิดเดียว ใจก็ล่องลอยไปไกลแสนไกล หรือจิตด้านลบก็ทำงานทันที
10
เขาเล่าว่าในช่วงปี 1980s เขาได้รับเครื่องแลปทอปเครื่องแรก เขาใช้แปลหนังสือภาษาทิเบต เพื่อนคนหนึ่งล้อเขาเล่นโดยโรยแป้งลงบนคีย์บอร์ด เขาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เพื่อนเอ่ยเรียบๆ ว่า "ความโกรธชั่วขณะเดียวสามารถทำลายขันติที่ฝึกมานานปี"
13
เราจึงควรเจริญสติตลอดเวลาหรือบ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้
17
พระแมทธิว รีคาร์ด เขียนหนังสือหลายเล่ม เขาบอกว่าเขาเขียนหนังสือชื่อ Happiness: A Guide To Developing Life's Most Important Skill เพราะครั้งหนึ่งที่ไปฮ่องกง ชายคนหนึ่งถามเขาว่า "ท่านสามารถให้เหตุผลสักข้อแก่ผมได้ไหมว่าทำไมผมควรใช้ชีวิตต่อไป?"
9
เมื่อเราไม่มีความสุข ก็มองโลกว่าไม่น่าอยู่ แต่แมทธิวบอกว่าเราสามารถมีความสุขโดยการฝึกฝนสมอง
11
ความสุขเป็นทักษะอย่างหนึ่ง และทักษะต่างๆ ต้องเรียนรู้
5
เขามีคำแนะนำในการทำสมาธิดังนี้
4
1 มันเป็นไปไม่ได้ที่จะหยุดความคิดที่จะมา แต่การโฟกัสที่ลมหายใจช่วยทำให้จิตสงบลง และกระจ่างขึ้น
14
2 ให้จิตทำหน้าที่เหมือนกระจกเงา คือสะท้อนภาพ แต่ภาพนั้นไม่ติดบนกระจกเงา ใช้เทคนิคนี้กับความคิด ปล่อยให้ความคิดแล่นผ่านไป แต่ไม่ปรุงแต่ง
15
3 การคุมจิตไม่ได้ลดอิสรภาพ มันเพียงช่วยไม่ให้เราตกเป็นทาสของความคิด
12
4 จงมีสติเสมอ สังเกตความรู้สึกเมื่อลมหายใจเข้าและออก เมื่อสัมผัสว่าจิตกำลังกระเจิง ก็ค่อยๆ ดังมันกลับมาที่ลมหายใจ นี่ก็คืออานาปานัสสติ
13
5 รักษาจิตให้อยู่กับปัจจุบันขณะ มากกว่าล่องลอยไปในอดีตหรืออนาคต เราอาจโฟกัสที่สิ่งอื่นก็ได้ เช่น สภาพอากาศที่ร้อนหรือเย็น หรือเสียงที่ได้ยิน
9
ลองนึกภาพว่าเรากำลังกำหนดทิศของเรือ ไม่ใช่ปล่อยให้มันล่องลอยไปตามยถากรรม
7
6 พอฝึกสมาธิจนเริ่มเก่งขึ้น ก็สามารถจัดการกับความรู้สึกไม่ดีทั้งหลายง่ายขึ้น ขอพื้นที่คืนมาจากความรู้สึกไม่ดี จงมองดูประสบการณ์ของเราเหมือนดูกองไฟ ถ้าเรารู้สึกโกรธ ก็แค่ให้รับรู้ ว่ามีความโกรธ แต่ไม่โกรธ เมื่อรู้สึกวิตก ก็รับรู้ว่ามีความวิตก แต่ไม่วิตก การแค่รับรู้ทำให้เราไม่เติมเชื้อเพลิงเข้าไปในกองไฟ และมันจะมอดไปเอง ระหว่างทำสมาธิ ก็รับความรู้สึกดีๆ เช่น ความเมตตา
33
7 การฝึกจิตก็เหมือนฝึกเปียโน ทำสัก 20 นาทีย่อมได้ผลกว่าไม่กี่วินาที จงทำสม่ำเสมอเหมือนรดน้ำต้นไม้ มันคุ้มค่ากับเวลาที่เสียไป
21
สำหรับตำแหน่งคนที่มีความสุขที่สุดในโลก แมทธิว รีคาร์ด บอกว่า "ฉันรู้จักพระที่มีความสุขกว่าฉันอีก"
25

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา