18 ก.ค. 2022 เวลา 08:34 • หุ้น & เศรษฐกิจ
BBLAM Weekly Investment Insights 18 - 22 กรกฎาคม 2022
"กลยุทธ์การลงทุนช่วงครึ่งปีหลัง มองว่าอาจจะใช้ Barbell strategy โดยด้านหนึ่ง ลงทุนในสินทรัพย์ที่ค่อนข้างปลอดภัย ทนทานต่อเงินเฟ้อ หรือผลกระทบจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง อีกด้านหนึ่งลงทุนในสินทรัพย์ที่มีแนวโน้มเติบโตอยู่ สอดคล้องกับเทรนด์ระยะยาว
ซึ่งราคาปรับลดลงมาอยู่ในระดับน่าสนใจ โดย B-SELECT ในไตรมาสที่ 3 BBLAM แนะนำให้ยังคงจัดพอร์ตสู้เงินเฟ้อผ่านกองทุน B-GLOB-INFRA และเพิ่มโอกาสลงทุนในหุ้นจีนผ่านกองทุน B-CHINE-EQ สำหรับท่านที่หาโอกาสลงทุนกองทุน RMF/SSF สามารถเข้าทยอยสะสมหุ้นธีมเทคโนโลยี ได้แก่ B-INNOTECHRMF / B-INNOTECHSSF และธีมดูแลโลก ได้แก่ B-SIPRMF/B-SIPSSF"
INVESTMENT STRATEGY
กลยุทธ์การลงทุนช่วงครึ่งปีหลัง มองว่าอาจจะใช้ Barbell strategy โดยด้านหนึ่ง ลงทุนในสินทรัพย์ที่ค่อนข้างปลอดภัย ทนทานต่อเงินเฟ้อ หรือผลกระทบจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง อีกด้านหนึ่งลงทุนในสินทรัพย์ที่มีแนวโน้มเติบโตอยู่ สอดคล้องกับเทรนด์ระยะยาว ซึ่งราคาปรับลดลงมาอยู่ในระดับน่าสนใจ โดย B-SELECT ในไตรมาสที่ 3 BBLAM
แนะนำให้ยังคงจัดพอร์ตสู้เงินเฟ้อผ่านกองทุน B-GLOB-INFRA และเพิ่มโอกาสลงทุนในหุ้นจีนผ่านกองทุน B-CHINE-EQ สำหรับท่านที่หาโอกาสลงทุนกองทุน RMF/SSF สามารถเข้าทยอยสะสมหุ้นธีมเทคโนโลยี ได้แก่ B-INNOTECHRMF / B-INNOTECHSSF และธีมดูแลโลก ได้แก่ B-SIPRMF/B-SIPSSF
EU
เศรษฐกิจยูโรโซนยังเป็นภาพที่ฟื้นตัวจากการระบาดของ COVID-19 ในช่วงต้นปี 2022 แต่เริ่มเห็นผลกระทบของสงครามยูเครน-รัสเซียบ้างแล้ว
โดยเฉพาะความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ปรับลงแรง และมุมมองของผู้ประกอบการที่มีเชิงลบมากขึ้นต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า ขณะเดียวกัน ด้วยเงินเฟ้อที่สูงขึ้นมากและมีแนวโน้มสูงต่อเนื่องทำให้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายกำลังจะหมดลง ทำให้มุมมองเศรษฐกิจของยูโรโซนในระยะข้างหน้ามีความเสี่ยงไปทางด้านลบมากขึ้น
Equity
CHINA รัฐบาลจีนจะยังก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงภายหลังจากที่ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงต่ออายุในตำแหน่งเป็นครั้งที่ 3 ในสิ้นปีนี้ ซึ่งทำให้นโนบายต่าง ๆ เดินหน้าต่อเนื่องที่สำคัญคือเราจะได้เห็นการทยอยประกาศนโยบายเศรษฐกิจต่อเนื่อง เพื่อดันให้เศรษฐกิจโตตามเป้าหมาย 5.5%
ผู้จัดการกองทุน Allianz China A Shares ซึ่งเป็นหนึ่งในกองทุนหลักที่ B-CHINE-EQ และ B-CHINAARMF จาก BBLAM ลงทุน มาเล่ามุมมองการกลงทุนในจีน พร้อมอัพเดทการปรับพอร์ต เพื่อรองรับโอกาสลงทุน ในช่วงถัดไป ดังนี้
ภาครัฐจีนจะมีนโยบายเพื่อสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ เนื่องจากสิ้นปีนี้จะมีการประชุมสมัชชาผู้แทนพรรคทั่วประเทศครั้งที่ 20 แม้ว่าเป็นที่คาดว่าประธานาธิบดีสีจิ้นผิงจะได้รับเลือกต่อในตำแหน่งเป็นครั้งที่สาม
แต่นโยบายการคลังส่วนใหญ่จะต้องใช้เวลาประมาณ 2-3 เดือน ในขณะที่นโยบายการเงินใช้เวลาประมาณ 6 เดือนถึงจะเห็นผลต่อเศรษฐกิจ ดังนั้นจึงคาดว่าในไตรมาส 2 นี้จะมีนโยบายเชิงรุกออกมามากขึ้น เพื่อให้อัตราเติบโตของ GDP ปี 2022 อยู่ที่ 5.5% ตามเป้าหมาย
กองทุนลงทุนโดยรักษาสมดุลย์ระหว่างกลุ่มอุตสาหกรรมเก่าและใหม่ของจีนเพื่อครอบคลุมทุกโอกาสในการลงทุน ในแนวคิดดังต่อไปนี้ พลังงานสะอาด การท่องเที่ยวและการบริโภคในประเทศ เทคโนโลยีการแพทย์ การพึ่งพาการเติบโตในประเทศ และ การลดการพึ่งพิงต่างชาติ
กองทุน Allianz China A Shares ดำเนินการปรับพอร์ต โดยเพิ่มน้ำหนักในกลุ่มสินค้าจำเป็น เพราะมีแนวโน้มผลประกอบการดี โดยเฉพาะด้านการรักษาสุขภาพ กลุ่มการเงิน ได้ประโยชน์จากธุรกรรมทางการเงินที่มากขึ้น
และมีนักลงทุนในประเทศมากขึ้น รวมทั้งกลุ่มวัฎจักร เช่น กลุ่มก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์ ซึ่งจะได้ประโยชน์จากเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐาน
ในขณะที่ลดน้ำหนักในกลุ่มเฮลธ์แคร์ เนื่องจากราคาปรับตัวขึ้นมาระยะหนึ่งแล้ว และมีความเสี่ยงเรื่องกฎระเบียบ กลุ่มเทคโนโลยี จากการขายทำกำไรหุ้นผลิตอุปกรณ์โซล่าร์ แต่ยังคงชอบกลุ่มเซมิคอนดัคเตอร์ และมีการขายทำกำไรในหุ้นที่เกี่ยวกับห่วงโซ่อุปทานในยานยนต์ไฟฟ้า
นอกจากนี้ในช่วงต้นไตรมาสสองปีนี้ กองทุนลดน้ำหนักในบริษัทที่ได้รับผลกระทบจากต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับเพิ่มขึ้น ทำให้ได้กำไรลดลง
สำหรับกองทุน Allianz All China EQ เพิ่มนำ้หนักในกลุ่มอินเตอร์เน็ตเพราะแรงกดดันเรื่องกฎระเบียบลดลงแล้ว รวมทั้งเพิ่มน้ำหนักในกลุ่มการเงินและกลุ่มวัฏจักรเช่นเดียวกับ Allianz China A Shares
ในขณะที่ลดนำ้หนักในกลุ่มการบริโภค ซึ่งได้รับกระทบจากต้นทุนสินค้าเพิ่มขึ้นและดีมานด์น้อยลงจากโควิด กลุ่มเฮลธ์แคร์ รวมทั้งขายทากาไรในกลุ่มโซล่าร์
แนะนำกองทุน B-CHINE-EQ และถ้าต้องการลงทุนเพื่อใช้สิทธิลดหย่อนภาษีแนะนำ B-CHINAARMF และ B-CHINESSF
ASIA
จุดเด่นของตลาดหุ้นเอเชีย อยู่ที่ Valuation ที่น่าสนใจ เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีต ดัชนี MSCI Asia ex Japan มี P/B 1.7 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตเล็กน้อย ในขณะที่อัตราการเติบโตยังคงมีอยู่ เช่น กลุ่มเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับการผลิตชิ้นส่วนเฉพาะทางที่มีแนวโน้มเป็นที่ต้องการของตลาด กลุ่มบริโภคและอินเทอร์เน็ต
โดยเฉพาะเกมส์และอีคอมเมิร์ช กลุ่มยานยนต์ที่จะได้รับประโยชน์จากการปรับตัวหลังจากเกิดการขาดแคลนวัตถุดิบ กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่ระดับราคาลดต่ำลงจนอยู่ในระดับที่น่าสนใจ และ กลุ่มสถาบันการเงินที่ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและแนวโน้มอัตราดอกเบี้ย
Asset Allocation
วางแผน Asset Allocation อย่างไร ในสภาวะปัจจุบัน
คำถามที่ถามกันบ่อย ๆ ของหลายท่านที่ใช้วิธีการ Asset alloction ในการทำพอร์ตการลงทุนขึ้นมา คือ เมื่อเกิดการปรับตัวลงของราคาทรัพย์สินอย่างรุนแรงเหมือนเช่นปัจจุบันนั้น ตัดใจขายแล้วโยกตัวลง ถือเป็นวิธีทำของการจัด Asset allocation หรือไม่
ทุกวันนี้การลงทุนยากขึ้นเรื่อยๆ จากปัจจัยความไม่แน่นอนต่างๆ ที่ทำให้นักลงทุนกังวล สัปดาห์นี้ คุณเสกสรร โตวิวัฒน์ CFP ผู้เชี่ยวชาญด้านการวางแผนการเงิน มาให้แนวทางการปรับพอร์ตตามหลัก Asset allocation ว่าทำอย่างไร
หลายคนเคยได้ยินคำแนะนำในการปรับพอร์ตให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันว่าต้องลดความเสี่ยงถือเงินสดมากขึ้น หรือโยกการลงทุนมาไว้หุ้นหรือกองทุนที่สามารถต่อสู้กับเงินเฟ้อได้ เช่น กองทุนที่ลงทุนในกิจการโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลก หุ้นเฮลธ์แคร์ หรือเทคโนโลยีชนิดที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต
การดำเนินธุรกิจ หรือสอดคล้องกับพฤติกรรมของคนในปัจจุบัน ส่วนตราสารหนี้ก็ให้ลดการลงทุนในตราสารหนี้อายุยาวๆ ในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น
หลายคนก็เกิดข้อสงสัยตามมา แล้วแบบนี้พอร์ตการลงทุนที่เราจัดสัดส่วนการลงทุนไว้ ตั้งใจลงทุนระยะยาว เราต้องเปลี่ยนไหม หรือต้องถือกองทุนที่เลือกไว้นั้นต่อไปเรื่อยๆ ไม่ต้องปรับอะไร
เรื่องนี้ขอให้มองที่วัตถุประสงค์เป็นหลักนะครับ เราเลือกเป้าหมายการลงทุนระยะยาว แน่นอนว่าสัดส่วนการลงทุนในพอร์ตก็ควรจะเป็นสัดส่วนที่เราเลือกไว้ ไม่อ่อนไหว ขายทิ้ง ซื้อใหม่ ย้ายไปย้ายมาตามความกลัวหรือข่าวสารระยะสั้น
ถ้าเราเชื่อว่าสุดท้ายมันจะผ่านไปได้ และพอร์ตที่เราเลือกไว้เหมาะสมแล้วกับการลงทุนระยะยาว การยึดสัดส่วนการลงทุนที่ตั้งใจในระยะยาวยังเป็นหัวใจสำคัญที่ละเลยไม่ได้ เว้นแต่เกิดเหตุที่ทำให้โครงสร้างของผลตอบแทนเป้าหมายที่เราวางไปไว้เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ
อันนั้นก็ถือเป็นข้อยกเว้นเป็นกรณีไป เช่น กิจการหรือหุ้นที่เราเลือกไว้ว่าดี ถูกการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี disrupt จนเกิดความเสียหายไปต่อไม่ได้ หรือไม่น่าสนใจแบบเดิม แบบนี้ก็สามารถเปลี่ยนแปลงการลงทุนได้
แต่เวลาเกิดเหตุการณ์ที่มีผลกระทบสูงอย่างปัจจุบัน เราอาจจะเปลี่ยนแปลง สินทรัพย์ที่เราลงทุน หรือไส้ในของพอร์ต หรือโยกย้ายได้บ้าง อย่างเช่น ตั้งใจลงทุนหุ้นครึ่งหนึ่ง ตราสารหนี้ครึ่งหนึ่ง ในส่วนของตราสารหนี้
ถ้าทิศทางดอกเบี้ยเป็นขาขึ้นชัดเจน เราอาจโยกย้ายตราสารหนี้บางส่วนจากพอร์ตในกองทุนตราสารหนี้ปกติ หรือตราสารหนี้ระยะยาว มาไว้ตราสารหนี้ระยะสั้นได้ เพื่อลดความผันผวน แต่ก็ไม่จำเป็นต้องย้ายมาทั้งหมด เพราะก็ต้องเผื่อใจไว้สำหรับความไม่แน่นอนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจริงอาจจะไม่ตรงกับสิ่งที่เราคิด
แต่ในส่วนของหุ้น เวลาเกิดความกังวล สถานการณ์ความผันผวน คนที่กลัวและลืมวินัยของ asset allocation ก็อาจจะขายทิ้งหุ้น ขายกองทุนหุ้นไปถือเงินสด เพื่ออุ่นใจ แต่การทำแบบนั้นอาจทำให้พอร์ตเราเสียหายได้
เพราะยิ่งผันผวนมาก จะยิ่งไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เวลาที่กลัวมากๆ ก็มักจะเป็นเวลาที่หุ้นตกมากๆ มีข่าวร้ายเต็มไปหมด และนั่นอาจจะเป็นจังหวะที่หุ้น หรือ NAV กองทุนตกไปมากแล้ว ทรงๆ หรือรอเวลาเด้งกลับจนไม่ควรขายทิ้งก็ได้
ดังนั้นในส่วนของหุ้น อยากให้ลองวิเคราะห์พอร์ตของเราดูว่าเป็นอย่างไร โดยแบ่งพอร์ตหุ้นออกเป็นพอร์ตหลัก คือกองทุนที่มีพื้นฐานดี มีการกระจายความเสี่ยงที่ดีพอ ถือไว้เป็นพอร์ตหลักระยะยาว และพอร์ตเสริมตามที่เราชอบ เราเชื่อมั่นหรือสอดคล้องกับสถานการณ์
ยกตัวอย่างกองทุนในพอร์ตหลักก็เช่นกองทุนที่กระจายความเสี่ยงลงทุนในหุ้นพื้นฐานดีทั่วโลก แบบ B-GLOBAL หรือลงทุนในหุ้นไทยแบบกระจายความเสี่ยงไม่กระจุกตัวในกลุ่มไหนเป็นพิเศษ
กองทุนแบบนี้จะไม่ผันผวนมากเท่ากับกองทุนประเภทกลุ่มอุตสาหกรรมหรือมีธีมเฉพาะที่ลงทุนแบบกระจุกตัว ส่วนพอร์ตเสริมก็เช่นกองทุนที่เราเชื่อมั่นในธีม เช่น สิ่งแวดล้อม เทคโนโลยี สุขภาพ
ซึ่งเรายังเชื่อมั่นในระยะยาว แต่ก็อาจเปลี่ยนแปลงได้ถ้าสถานการณ์เปลี่ยนไป หรือกองทุนที่สอดคล้องกับสถานการณ์ เช่นกองทุนที่ลงทุนในกิจการที่สู้กับเงินเฟ้อได้ เช่น กองทุนที่ลงทุนในกิจการโครงสร้างพื้นฐานในประเทศสำคัญๆ ทั่วโลก อย่าง B-GLOB-INFRA ก็อาจจะเพิ่มน้ำหนักกองทุนเหล่านี้แทนในพอร์ตเสริม
แทนกองทุนเดิมบางกองที่ผันผวนมากหรือได้รับผลกระทบจากดอกเบี้ยหรือสงครามที่เกิดขึ้น หรือช่วงผันผวนมากๆ เรากังวลสูง
อาจจะลดสัดส่วนกองทุนหุ้นลงมาถือเงินสด เพื่อรอเวลาซื้อกลับได้บ้าง ไม่ว่าจะเป็น พอร์ตหลักหรือพอร์ตเสริม เช่น 10% แต่ไม่ใช่ขายทิ้งทั้งหมด หรือครึ่งหนึ่ง
การทำแบบนี้จะทำให้เรามีหลักในการลงทุน วินัยเรื่อง Asset Allocation ยังคงอยู่ ยังทำ DCA ต่อไปได้ เพียงแค่อาจจะมีการปรับเปลี่ยนเล็กๆ น้อยๆ ในพอร์ตเสริม ซึ่งเมื่อสถานการณ์คลี่คลายพอร์ตของเราก็จะมีโอกาสกลับมาเติบโตได้ โดยไม่เสียหายจากการตัดสินใจผิดพลาดล้มเลิกวินัยที่ตั้งใจไว้ครับ
...อ่านเพิ่มเติมได้ที่ https://www.bblam.co.th/.../bblam-investment.../18-22-2022-1
ท่านสามารถแจ้งสมัครรับข่าวสาร BBLAM Weekly Investment Insights ได้ที่ bblampr1@bblam.co.th
#BBLAM #BBLAMWeeklyInvestmentInsights #bualuangfund #กองทุนบัวหลวง #ธนาคารกรุงเทพ #bualuangexclusive #allgenenjoy #insight #bglobinfra #bchineeq #bchine #bchinessf #bchinaarmf #bsip #bsiprmf #bsipssf #binnotech #binnotechrmf #binnotechssf

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา