24 ก.ค. 2022 เวลา 07:30 • ไลฟ์สไตล์
ใช้รถยนต์ EV ประหยัดได้เท่าไร?
เมื่อน้ำมันเป็นต้นทุนหลักของการใช้ชีวิตประจำวัน แต่เราต้องเผชิญกับน้ำมันที่ราคาแพงอยู่ทุกวัน ตัวเลือกอย่างรถยนต์ EV ก็เริ่มน่าสนใจมากขึ้นทุกที
ยิ่งสำหรับคนที่ใช้รถคันเดิมมาหลายปีแล้ว กำลังอยากจะเปลี่ยนคันใหม่ รถยนต์ EV ยิ่งเป็นตัวเลือกที่สำคัญและน่าสนใจมากขึ้น แค่รอว่ารุ่นไหนที่ใช่ ถ้าเจอตรงใจแล้วคงจะเปลี่ยนเป็น EV ทันที แอดคาดว่าเช่นนั้น
แต่ก็ยังมีคำถามอยู่ในใจว่า เปลี่ยนแล้วมันจะคุ้มจริงไหม ประหยัดได้เท่าไร บทความนี้จะชวนมาหาคำตอบด้วยกันค่ะ
มาลองเทียบต้นทุนกันเลยค่ะ
ระหว่างค่าใช้จ่ายด้านน้ำมันเชื้อเพลิงกับไฟฟ้า (อ้างอิงจาก driveelectric )
การใช้รถยนต์ไฟฟ้ามีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยเพียง 1 บาทต่อกิโลเมตร
ซึ่งถ้าวิ่งโดยทั่วไปจะเฉลี่ยเดือนละ 2,000 กิโลเมตร ก็จะมีค่าใช้จ่ายตกเดือนละ 2,000 บาท หนึ่งปีเท่ากับ 24,000 บาท
1
ส่วนรถน้ำมันเมื่อเทียบราคาในปัจจุบัน (ณ วันที่ 23 ก.ค. 65) อ้างอิงราคาน้ำมันของแก๊สโซฮอลล์ 95 คือ 37.65 บาท เฉลี่ย 1 ลิตร วิ่งได้ระยะทาง 15 กิโลเมตร เท่ากับมีค่าใช้จ่าย 2.51 บาทต่อกิโลเมตร เรียกว่าแพงกว่าเท่าตัว
ซึ่งถ้าวิ่งเดือนละ 2,000 กิโลเมตร คิดค่าใช้จ่ายตกประมาณเดือนละ 5,000 บาท ปีนึงก็ 60,000 บาท ถือว่าหนักหนาอยู่นะคะ สำหรับชาวมนุษย์เงินเดือนทั่วไป
1
แค่นี้ก็คงพอจะคำนวณต่อเองได้นะคะ ว่าประหยัดได้ถึงครึ่งๆ เลยค่ะ
รถเครื่องยนต์กับรถยนต์ไฟฟ้า ต่างกันอย่างไร ?
📌 รถเครื่องยนต์หรือรถยนต์สันดาปภายใน
คือรถยนต์ที่มีเครื่องยนต์ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์เบนซินหรือดีเซล ใช้เชื้อเพลิงในการเผาไหม้เพื่อขับเคลื่อนรถยนต์ได้ทั้งน้ำมัน หรือแก๊ส (NGV, LPG) จึงทำให้เกิดไอเสียมลพิษขึ้น
📌 รถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle : EV)
คือรถที่ไม่มีเครื่องยนต์ ใช้พลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ในการขับเคลื่อน 100% ไม่มีการใช้น้ำมัน จึงไม่มีมลพิษจากกการเผาไหม้ มีแบตเตอรี่เป็นแหล่งเก็บพลังงานโดยการชาร์จไฟเข้า ระยะทางจะขึ้นอยู่กับขนาดของแบตเตอรี่
เนื่องจากรถไฟฟ้าไม่มีเครื่องยนต์ หัวใจหลักคือแบตเตอรี่และมอเตอร์ มีการรับประกันการเข้าเช็คสภาพอยู่ที่ 50,000 กิโลเมตร ประกันแบตเตอรี่ 6-8 ปี จึงประหยัดในเรื่องของการซ่อมบำรุงไปด้วย
เกร็ดเสริม :
ถ้าอยากประหยัด ให้ชาร์จไฟที่บ้าน และให้เปลี่ยนอัตราค่าไฟที่บ้านไปเป็นแบบ TOU (อัตราค่าไฟฟ้าตามช่วงเวลาของการใช้ หรือ Time of Use Tariff : TOU ) ซึ่งการชาร์จไฟฟ้าช่วงกลางคืนจะได้ราคาถูกกว่า
1
ส่วนการชาร์จไฟตามสถานีชาร์จ (Charging Station) มีชาร์จฟรีอยู่หลายที่ แต่อาจต้องเสียค่ากาแฟในระหว่างนั่งรอ ซึ่งใช้เวลาครั้งละประมาณ 30 นาที
1
และตอนนี้สถานีชาร์จกำลังสร้างเพิ่มมากขึ้น เพื่อรองรับความต้องการใช้รถไฟฟ้าที่มากขึ้นในอนาคต ก็คงจะสะดวกสบายขึ้นแน่นอนค่ะ
Cr.kapook
เรียบเรียงโดย : ลงทุนในบัญชีและภาษี
ขอบคุณทุกท่านที่แวะมาเยือนค่ะ 😊
ติดตามอ่านบทความอื่นๆ ได้ที่

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา