27 ก.ค. 2022 เวลา 11:00 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
Elvis (2022) - เปิดตำนานราชา Rock n' Roll ผ่านการตีความในฉบับ Baz Luhrmann
ชะตากรรมน่าเศร้าของนกไร้ขาอย่างเอลวิส เวลาเดียวที่ได้ร่อนลงสู่พื้น ก็คือ เวลาที่เขาไม่เหลือลมหายใจที่จะบินอีกต่อไป...
สวัสดีครับทุกท่าน ! เมื่อปลายเดือนที่ผ่านมา มีหนังน่าสนใจอย่าง Elvis (2022) เข้าฉาย แม้ว่าเวลาจะผ่านมาเกือบเดือนหลังจากที่ได้ชม ก็ยังรู้สึกมูฟออนความรู้สึกประทับใจไม่ได้ 😂 ตัวหนังได้รับการยืนตบมือ (Standing Ovation) ยาวนานถึง 12 นาทีในเทศกาลหนังเมืองคานส์... ด้วยชื่อเสียงขนาดนี้ วันนี้จึงอยากจะมารีวิวแนะนำสักหน่อย
ณ เวลานี้ คงจะเหลือโรงค่อนข้างน้อยแล้ว อย่างไรก็ตาม หากในอนาคต ตัวหนังได้เข้าในแอพ Streaming ต่าง ๆ ก็หวังว่ารีวิวนี้จะช่วยแนะนำหนังได้นะครับ
[ เรื่องย่อ ]
Elvis (2022) ได้รับการกำกับโดย Baz Luhrmann ที่เคยมีผลงานเข้าชิงออสการ์อย่าง Moulin Rouge! (2001)
เนื้อเรื่องหลักเน้นไปที่การสำรวจชีวิตและดนตรีของ เอลวิส เพรสลีย์ (Austin Butler) ผ่านมิติความสัมพันธ์แสนซับซ้อนกับผู้จัดการนิสัยลึกลับ ผู้พัน ทอม ปาร์คเกอร์ (Tom Hanks)
เรื่องราวเจาะลึกไปถึงสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่าง เพรสลีย์ และปาร์คเกอร์ ตลอดเวลา 20 ปี ตั้งแต่ เพรสลีย์ เริ่มมีชื่อเสียงโด่งดังไปจนถึงตอนที่มีแฟนคลับล้นหลามอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ท่ามกลางวัฒนธรรมที่เปลี่ยนผ่านของสหรัฐ ฯ
[ ความรู้สึกหลังชม ]
สิ่งแรกที่อยากพูดถึง คือ "ความแพรวพราวในเชิงเทคนิคของภาพยนตร์" แม้ว่าหนังจะยาวถึง 2 ชม 39 นาที แต่ลูกเล่นและความเป็นมิวสิคัลของภาพยนตร์ ช่วยดึงความสนใจ / บิ้วอารมณ์ได้คุ้มค่า เทคนิคต่าง ๆ โดยเฉพาะโชว์เพลงในแต่ละซีน ขับเคลื่อนหนังอย่างน่าตื่นตาตื่นใจ...
จุดนี้เป็นหนึ่งในลายเซ็นต์ของผู้กำกับ ยิ่งในฐานะที่ Baz Luhrmann เคยทำหนังมิวสิคัลมา ก็ต้องชมว่า แกนำลูกเล่นสไตล์มิวสิคัลมาใส่ได้เยี่ยม อาร์ตในจุดต่าง ๆ งามมาก !
สิ่งถัดมาที่น่าสนใจ คือ "มุมมองการเล่าชีวประวัติผ่านสายตาบุคคลที่สาม"
ไม่ได้เห็นบ่อยนักที่ภาพยนตร์แนวชีวประวัติจะใช้วิธีเล่าเรื่องผ่านมุมมองบุคคลที่สาม อย่างไรก็ตาม ผู้สร้างเลือกใช้วิธีนี้ และแน่นอนมันได้ผล !
เรื่องราวในชีวิตของเอลวิสถูกเล่าผ่านสายตาของ "ผู้พันปาร์กเกอร์" (เป็นที่รู้กันว่า ผู้พันคือ ปลิงที่สูบเลือดสูบเนื้อเอลวิสไปจนกระทั่งเอลวิสตาย) เมื่อเรื่องราวของพระเอกถูกเล่าผ่านตัวร้ายของเรื่อง มุมมองในเรื่องจึงดูแปลกตา ไม่จำเจกับเรื่องอื่น ๆ
ผู้พันปาร์คเกอร์ตัวจริง และ Tom Hanks
ถ้าเปรียบเทียบกับภาพยนตร์ชีวประวัติที่คล้ายกัน อย่าง Bohemian Rapsody (2018) จะเห็นว่า Bohemian Rapsody ถูกเล่าผ่านสายตาของ Freddie Mercury ส่งผลให้ตัวหนังค่อนข้างถูก dominate ด้วยนักแสดงคนเดียว (อย่าง Rami Malek) ในขณะที่ในเรื่อง Elvis มีการแชร์บทบาทกันระหว่าง 2 นักแสดงหลัก (Austin Butler และ Tom Hank)
ส่วนนี้ช่วยให้หนังมี Balance ที่ดี มีมุมมองที่น่าค้นหา แถมยังมาจากวายร้ายประจำเรื่องอีกด้วย !
ความน่าประทับใจอย่างที่สามมาจาก "การแสดงอันทรงพลังของ Austin Butler"
เนื่องจากหนังเล่าผ่านมุมมองของ Tom Hanks เป็นหลัก สิ่งนี้ช่วยให้ Austin Butler โฟกัสที่การแสดงโชว์ และฉากดราม่า รวมถึงสวมวิญญาณเป็นเอลวิสได้เต็มที่
Austin Butler ในบทเอลวิส
ดังนั้น เราจึงได้เห็น Austin Butler โชว์ความเฉิดฉายชนิดที่เหมือนเอลวิสจนขนลุก... ดูจากที่พี่แกแสดง คิดว่ามีโอกาสมีลุ้นเข้าชิง Oscar นักแสดงนำชายอีกด้วย
ส่วนการแสดงของป๋า Tom Hanks อันนี้คงไม่ต้องพูดถึง คุณภาพระดับป๋า Tom ประคองและยกระดับหนังได้เยี่ยม
อีกสิ่งหนึ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้ คือ การกล่าวถึง "ประเด็นการแบ่งแยกสีผิว และบริบทสังคม / การเมืองของสหรัฐ ฯ"
เราจะพบว่าภายในเรื่องมีการแฝงประเด็นทางสังคมไว้ตลอดเรื่อง ไม่ว่าจะ
  • อิทธิพลดนตรีของคนผิวสีในวัยเด็กที่มีผลต่อการสร้างแนวทางเพลงของเอลวิส
  • ความขบถของเอลวิสผ่านดนตรีและท่าโยกจนโดนจับไปเกณฑ์ทหารในช่วงสงครามเย็น
  • มุมมองของเอลวิสต่อการลอบสังหาร Martin Luther King นักต่อสู้และเรียกร้องสิทธิแก่คนผิวสี
ประเด็นมากมายล้วนน่าสนใจ และเป็นเสมือนจดหมายเหตุเล่าบริบทสังคม / การเมืองผ่านชีวิตของเอลวิส...
ในบทสรุปของเรื่อง หนังกล่าวถึงชะตากรรมของเอลวิสไว้อย่างคมคาย ว่า "ชีวิตของเอลวิส ก็เหมือนกับนกไร้ขา"
ชีวิตของเขาเป็นดั่งนกที่บินอยู่บนท้องฟ้า แต่ไร้ขาจะร่อนลงสู่พื้น
นกตัวนี้มีเพื่อนเป็นท้องฟ้า หลับบนท้องฟ้า ทว่าเวลาเดียวที่จะได้ร่อนลงสู่พื้น ก็คือ
เวลาเดียวที่เขาจะได้ร่อนลงสู่พื้น ก็คือ ยามที่เขาหมดแรง และไม่เหลือลมหายใจ
เป็นชะตากรรมที่น่าเศร้า แม้กระทั่งก่อนเสียชีวิต แทบไม่มีแรงจะจับไมค์ เขาก็ยังขึ้นคอนเสิร์ตไปร้องเพลงด้วยตนเอง
หรืออาจเป็นอย่างที่หนังกล่าวไว้ว่า บางทีเขาอาจจะรักแฟนเพลงมากเกินไป ทำให้เขาถึงยอมเหนื่อยจนถึงลมหายใจสุดท้าย...
สิ่งที่อาจจะเป็นข้อเสียของหนังเล็กน้อย คงเป็นบางซีนที่อาจมีอารมณ์ล้นทะลักไปบ้าง แต่ภาพรวมยังโอเค สร้างความประทับใจให้กับพวกเราอย่างคุ้มค่า
จุดสุดท้ายที่ประทับใจ คือ "โชว์และเพลงในเรื่อง"... โชว์ในเรื่องอลังการเวอร์วัง ส่วนเพลงก็ติดหู จนน่าไปหาฟังตาม
ในส่วนเพลง ที่ผมว่าเด่นที่สุดในเรื่อง มีอยู่ 3 เพลง
เพลงแรก คือ "If I Can Dream" เนื้อเพลงมีความหมายทรงพลัง สะท้อนถึงมุมมองทางการเมืองของเอลวิส… ตัวเพลงถูกเขียนขึ้นมาเพื่อไว้อาลัยให้แก่เหตุการณ์ลอบสังหารมาร์ติน ลูเทอร์ คิง
เนื้อเพลงพูดถึงการจุดไฟแห่งความหวัง ตั้งคำถามถึงการสร้างโลกในฝันอันเป็นโลกที่ไม่มีการแบ่งแยกกันและกัน
เพลงถัดมาที่โดดเด่น "Suspicous Mind" เพลงนี้โผล่มาทั้งเป็นดนตรีประกอบภาพยนตร์ และมาเป็นโชว์ในเรื่อง ติดหูจริง ๆ !
เพลงสุดท้ายที่ไม่พูดถึงไม่ได้ ก็คือ "Unchained Melody" ยิ่งในซีนสุดท้ายของเรื่อง ฟังแล้วปวดใจจริง ๆ
[ สรุป ]
แม้ว่าเรื่องราวของ Elvis จะเคยถูกสำรวจจนแทบจะหมดแล้ว Elvis (2022) ในเวอร์ชั่น Baz Luhrmann เป็นอีกเรื่องที่เรียกได้ว่า ไม่จำเจกับเรื่องอื่น ๆ หนังมีวิธีในการนำเสนอที่น่าประทับใจ ที่สำคัญ หนังอัดแน่นไปด้วยรายละเอียด / ลูกเล่นที่บ่งบอกได้ถึงคุณภาพของภาพยนตร์...
จะว่าไปด้วยคุณภาพขนาดนี้ ก็ยังมีโอกาสเข้าชิงออสการ์ Best Picture อีกด้วย ดังนั้นแนะนำเลยครับ !
ป.ล. อีกหนึ่งช่องทางการติดต่อทาง Facebook เผื่อสนใจอยากพุดคุยหรือติดต่อกับผม

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา