Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
A WAY OF LIFE : ทางผ่าน
•
ติดตาม
29 ก.ค. 2022 เวลา 02:59 • ไลฟ์สไตล์
“ไม่ต้องกลัวโง่ รู้ซื่อๆ ไปเรื่อยๆ
บางคน รู้สึกถ้าไม่คิดเดี๋ยวไม่เข้าใจ
เข้าใจเป็นหน้าที่ของปัญญา ไม่ใช่หน้าที่ของเรา”
“ … เราฝึกกรรมฐานสักอย่างแล้วจิตมันหนีไปเรารู้
จิตก็จะตั้งมั่นขึ้นอัตโนมัติ
ตรงที่เรารู้ทันจิตที่ไหลนั่นล่ะ เรามีสติรู้
ทันทีที่เรามีสติรู้ สมาธิก็เกิด
จิตก็จะตั้งมั่นอัตโนมัติ
พอจิตตั้งมั่นได้ดีแล้ว สติระลึกรู้อะไรก็จะเห็นไตรลักษณ์ของสิ่งนั้น เป็นอัตโนมัติ นี่เป็นกระบวนการของมัน ต้องฝึก
ทีแรกก็ฝึกสติไว้ให้ดีก่อน ทำกรรมฐานสักอย่างหนึ่ง แล้วจิตเราไปทำอะไรเราคอยรู้
แต่ถ้าเราดูจิตไม่ได้ ไม่ต้องไปดิ้นรนที่จะดูจิต
ดูกายเข้าไปเลย จิตมันหนีเก่ง
ถ้าเราไม่ชำนาญ แป๊บเดียวมันหนีไปแล้ว
มันหนีไปแล้วไม่ต้องไปเที่ยวตามหามัน
รู้สึกลงในร่างกาย
ร่างกายไม่เคยหนีไปไหนเลย
เห็นร่างกายหายใจออก ร่างกายหายใจเข้า
ดูไปสักพักเดียวจิตก็ตั้งมั่นขึ้นมาอีกแล้ว
หรือเห็นร่างกายยืน เดิน นั่ง นอน
เห็นสักพักหนึ่ง เห็นสบายๆ นั่นล่ะ
เดี๋ยวจิตก็ตั้งมั่นขึ้นมา
อาศัยสติมาสร้างสมาธิ อาศัยสมาธิไปสร้างปัญญา
ใช้สติสมาธิไปสร้างปัญญา
แล้วปัญญานั่นล่ะจะทำให้จิตเราหลุดพ้นอัตโนมัติ
กระบวนการทั้งหมดเบื้องต้นต้องตั้งใจฝึก
เบื้องปลายทุกอย่างจะอัตโนมัติ
เบื้องต้นเราฝึกสติ เราก็ตั้งใจฝึกไป
มีกรรมฐานสักอย่างหนึ่ง ทำไปแล้วจิตหนีไป เรารู้
ไปเพ่งอะไร เรารู้ รู้ทันจิตไปเรื่อยๆ สติเราก็จะดี
หรือดูตรงนี้ไม่ออก ก็เห็นร่างกายหายใจออกก็รู้
ร่างกายหายใจเข้าก็รู้
ร่างกายยืน เดิน นั่ง นอนก็รู้อะไรอย่างนี้
สติมันก็จะดีขึ้นๆ
สติปัฏฐานทำให้สติเกิดในเบื้องต้น
ทำให้ปัญญาเกิดในเบื้องปลาย
ฉะนั้นเราทำสติปัฏฐาน รู้ไปเรื่อยๆ
ต่อไปไม่เจตนาจะรู้มันรู้ได้เอง ตรงนี้อัตโนมัติแล้ว
อย่างที่หลวงพ่อเล่าเมื่อกี้ ที่หลวงพ่อเห็นเพื่อนแล้วหลวงพ่อจะเดินไปทัก แค่เท้าเราเคลื่อน สติอัตโนมัติมันเกิด รู้เลยว่าเมื่อกี้หลงไปๆ
พอรู้สึกปุ๊บจิตก็ตื่นขึ้นมาเลย สมาธิก็เกิดเลย
จิตใจกลับมาตั้งมั่นอยู่กับเนื้อกับตัว
ฉะนั้นสติที่ถูกต้องก็ทำให้สมาธิที่ถูกต้องเกิดขึ้น
พอจิตมันตั้งมั่น สติระลึกรู้ลงไป
มันก็จะเห็นเลย ตัวเราก็ว่างเปล่า
เพื่อนเราก็ว่างเปล่า ถนนก็ว่างเปล่า
ว่างเปล่าไม่ใช่แปลว่าถนนไม่มีรถ
ก็มี แต่ว่าไม่มีอะไร ล้วนแต่ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์เหมือนกันหมด
ทั้งธรรมภายใน ทั้งธรรมภายนอก
ทั้งธรรมหยาบ ธรรมละเอียด
ธรรมในที่ใกล้ ในใจเรา ธรรมในที่ไกล ข้างนอกอะไรอย่างนี้
เสมอกันด้วยความเป็นไตรลักษณ์
ฉะนั้นเราต้องฝึกจนได้สติอัตโนมัติ
หัดรู้สภาวะไป แล้วจิตพรากออกจากสภาวะเมื่อไร
หรือจิตไปเพ่งสภาวะเมื่อไร รู้เอา
แล้วสติอัตโนมัติจะเกิดขึ้น
แล้วทันทีที่สติอัตโนมัติเกิดขึ้น
สมาธิอัตโนมัติก็จะเกิดขึ้น
มันจะเกิดแถมเข้ามาทันทีเลย
ฉะนั้นอย่างเราหายใจเข้าพุท หายใจออกโธ
จิตหนีไปคิด เรารู้ว่าจิตหนีไปคิด เรียกสติเป็นคนรู้
หัดใหม่ๆ ตั้งนานกว่าจะรู้ทันว่าจิตหนีไปคิด เพราะสติไม่เกิด
พอหัดดูไปเรื่อยๆๆ จิตหนีไปคิดแล้วรู้ๆ
ทีแรก 3 วันถึงจะรู้ทีหนึ่ง ต่อมาวันหนึ่งก็รู้ได้
ต่อไปนาทีหนึ่งก็รู้ได้
ต่อไปขณะหนึ่งก็รู้ได้ จะเร็วขึ้นๆ
สติมันจะอัตโนมัติ
แล้วพอสติเกิดปุ๊บ สมาธิจะเกิด จิตจะตั้งมั่นอัตโนมัติ
พัฒนาสติอัตโนมัติขึ้นมาด้วยการหัดรู้รูปรู้นาม
อย่างเรารู้ว่าจิตหลงไปคิด ทันทีที่รู้ว่าจิตหลงไปคิด
เรียกว่าเรามีสติรู้ จิตก็หยุดการหลงคิด
แล้วก็รู้ ตื่น เบิกบาน ตั้งมั่นขึ้นมา
มีสมาธิที่ถูกต้องขึ้นมา
พอเราฝึกให้ชำนิชำนาญ
จิตทรงสมาธิ รู้เนื้อรู้ตัวอยู่
ต่อไปสติระลึกรู้อะไร
อันนั้นจะแสดงไตรลักษณ์
รู้กายก็เห็นกายไม่ใช่เรา
รู้เวทนา เวทนาก็ไม่ใช่เรา
รู้สังขาร สังขารก็ไม่ใช่เรา
รู้จิตก็เห็นจิตเกิดดับอยู่ทางอายตนะทั้ง 6
ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
ก็ไม่ใช่เราอีก
ปัญญามันจะเกิดอย่างนี้
ถ้าจิตเราไม่มีสติ
สมาธิที่ถูกต้องก็ไม่เกิด ปัญญาก็ไม่เกิด
ถ้ามีสติถูกต้อง เป็นสติที่เราไม่ได้เจตนาให้เกิด
สมาธิที่ถูกต้อง ที่เราไม่ได้เจตนาให้เกิด มันก็เกิด
ของที่ยังเจตนาให้เกิดยังเจือโลภเจตนาอยู่ เจือความโลภอยู่ ส่วนใหญ่เกือบร้อยละ 100 ของคนปฏิบัติ ทำด้วยความโลภทั้งนั้น มันถึงไม่ได้มรรคได้ผลสักที เพราะอะไร
เพราะกำลังบำรุงเลี้ยงกิเลสอยู่แต่ไม่เห็น
ทำไมต้องอยากปฏิบัติ ทำไมต้องอยากดี
ทำไมอยากให้จิตสงบ จิตสุข
ก็เพราะเห็นว่ากายนี้ใจนี้คือตัวเราของเรา
ก็รู้ซื่อๆ ไป แล้ววันหนึ่งก็ล้างความเห็นผิด
กายไม่ใช่เรา จิตก็ไม่ใช่เรา เราไม่มี ค่อยเห็นเอง
เมื่อเราไม่มีก็ไม่มีที่ตั้งของความทุกข์แล้ว
กายมันทุกข์ แต่ไม่ใช่เราทุกข์
เราตัวนี้เป็นเราโดยโวหาร
มันไม่มีความรู้สึกเป็นเราหรอก
แต่ว่าพูดเพื่อสื่อความหมาย
กายมันทุกข์ ไม่ใช่เราทุกข์
จิตมันทุกข์ก็ไม่ใช่เราทุกข์
กายไม่ใช่เรา จิตไม่ใช่เรา ไม่มีเราที่ไหนด้วย
ค่อยฝึก ปัญญามันเกิด
ปัญญาเกิด ปัญญาสมบูรณ์ วิมุตติก็จะเกิด
เกิดมรรคเกิดผล
เพราะฉะนั้นทำความเพียรไป
ลดละกิเลส เจริญกุศลไปตามลำดับๆ
ก็พัฒนาสติอัตโนมัติขึ้นมาด้วยการหัดรู้สภาวะ
สิ่งที่เรียกว่าสภาวะก็คือรูปนาม รู้รูปรู้นามไป
…
อย่างเมื่อ 2 – 3 วันนี้ก็มีคนมาถามหลวงพ่อว่า เขาภาวนา เขารู้ว่าจิตคิดเรื่องอะไร อันนี้เขาเจริญสติหรือเปล่า มีสติหรือเปล่า … ไม่มี
จิตจะคิดเรื่องอะไรไม่สำคัญ
สิ่งที่สำคัญที่เราต้องรู้คือรู้ว่าจิตกำลังคิด
“คิดเรื่องอะไรไม่สำคัญ สำคัญที่รู้ว่าจิตคิด”
จำประโยคนี้ให้ดี
จิตคิดอะไรไม่สำคัญ สำคัญที่เรารู้ว่าจิตมันไปคิด
อย่างนี้ถึงจะใช้ได้
ถ้าเราไปรู้เรื่องที่คิด
เรื่องราวที่คิดไม่ใช่รูปธรรม ไม่ใช่นามธรรม
ไม่ใช่สภาวธรรม
เรื่องราวที่คิดเป็นอารมณ์บัญญัติ
เป็นเรื่องที่มโนขึ้น มโน สมัยนี้เขาชอบเรียกมโน ไม่ได้มีจริง
สิ่งที่มีจริงคือรูปธรรมนามธรรมนี้ต่างหาก
ฉะนั้นอย่างจิตเป็นนามธรรม
เรารู้ว่าจิตคิดก็เท่ากับเรารู้เท่าทันนามธรรม
แต่รู้เรื่องราวที่จิตคิด รู้อารมณ์บัญญัติ คิดเรื่องโน้นคิดเรื่องนี้ ไม่มีสาระหรอก เพราะจิตมันคิดทั้งวันอยู่แล้ว
อันนี้ค่อยๆ สังเกต
จิตคิดอะไรไม่สำคัญ สำคัญที่รู้ว่าจิตคิด
ฉะนั้นไม่ต้องกลัวโง่ รู้ซื่อๆ ไปเรื่อยๆ
บางคน รู้สึกถ้าไม่คิดเดี๋ยวไม่เข้าใจ
เข้าใจเป็นหน้าที่ของปัญญา ไม่ใช่หน้าที่ของเรา
ถ้าปัญญามันเกิด มันก็เข้าใจเอง
ไม่ต้องพยายามไปช่วยมันเข้าใจหรอก
หัดมีสติ หัดมีสมาธิที่ถูกต้องไปเรื่อยๆ
เดี๋ยวปัญญามันเกิดเอง มันเข้าใจเอง
ถ้าเราไปช่วยเมื่อไร ไม่ใช่วิปัสสนาปัญญาแล้ว
เป็นปัญญาที่เจือการคิดทันทีเลย
ปัญญาที่เจือการคิด กิเลสไม่กลัว
กิเลสยังไม่กลัว ล้างกิเลสไม่ได้หรอก
อย่างเราคิดเรื่องร่างกายเป็นปฏิกูล เป็นอสุภะอะไรนี่ ก็ข่มราคะได้ชั่วคราว พอเลิกคิดเรื่องนี้ ไปคิดเรื่องสุภะแทน คนนั้นสวย คนนี้สวยอะไร เดี๋ยวราคะก็เกิดอีก มันไม่ได้ล้างจริงหรอก อันนั้นต้องเห็นสภาวะจริงๆ แล้วก็เห็นไตรลักษณ์
ค่อยรู้ค่อยดูไป เรื่องราวที่คิด
ปัญญาที่เกิดจากคิดอะไรนี่ข่มกิเลสได้
แต่ล้างกิเลสไม่ได้ ได้แค่ข่ม
อย่างจิตเรามีราคะ เราก็พิจารณาปฏิกูลอสุภะ เราข่มราคะได้ ถ้าเราไปมองผู้หญิงให้มันสวยขึ้นมาอีก ราคะมันก็เกิดอีก มันไม่ขาด ไม่เด็ดขาด
แต่ถ้าเรามองลงไป ทุกอย่างเกิดแล้วดับๆ
สุดท้ายมันก็รู้สึกทุกอย่างมันว่างเปล่า
มันเหมือนเรากำลังฝันอยู่
ฝันว่าเราเป็นคน
ฝันว่าเราเป็นผู้หญิง ฝันว่าเราเป็นผู้ชาย
ฝันว่าเราเด็ก ฝันว่าเราเป็นคนหนุ่มคนสาว ฝันว่าเราเป็นคนแก่
ฝันว่าเราจน ฝันว่าเรารวย
ฝันว่าเราแข็งแรง ฝันว่าเราเป็นโรค
ฝันว่าครอบครัวเราดี ฝันว่าครอบครัวเราร้าย
ฝันว่างานการของเราดี ฝันว่างานของเราร้าย งานไม่ดีอะไรอย่างนี้
มันจะรู้สึกโลกมันเหมือนฝันอยู่ตลอดเวลา
ทุกสิ่งทุกอย่างมันเหมือนความฝันทั้งนั้นเลย
เป็นมายาทั้งสิ้นเลย
ใจมันก็หลุดออกจากโลก ไม่อิงอาศัยโลก
ค่อยฝึกก็จะดีขึ้นๆ
คนมันทำชั่วได้เพราะมันคิดว่าตัวมันมีจริงๆ
อย่างโกงเขาหวังว่าจะรวยเยอะๆ
รวยไม่มีที่สิ้นสุดอะไรอย่างนี้
มันไม่เข้าใจธรรมะ
ไม่รู้ว่าตัวเราไม่ได้มีจริงหรอก มันว่างเปล่า
แต่คิดว่าตัวเรามีก็เลยต้องสนองกิเลสมากมาย
พอมีความโลภมากมายก็เริ่มไปเบียดเบียนกระทบกระทั่งคนอื่น เพราะผลประโยชน์ในทางโลกมีข้อจำกัด มันมีจำกัด เราจะเอามาก มันก็ไปดึงมาจากคนอื่น ไม่เหมือนผลประโยชน์ในทางธรรม มีไม่จำกัด ใครทำคนนั้นได้ ไม่ได้ไปแย่งของคนอื่นมา
ในทางโลกเราอยากมีทองคำเยอะๆ อย่างนี้ ทองคำในโลกมันมีจำกัด ก็เหมือนเราไปดึงทองคำมาจากคนอื่น เราถึงจะมีเยอะ ของในโลกมันจำกัด
แต่ในธรรมะไม่มีจำกัดหรอก
เราจะพัฒนาอกุศลของเราเท่าไรก็ทำได้
เราจะพัฒนากุศลของเราเท่าไรก็ทำได้
ไม่ได้ไปแย่งชิงกุศลหรืออกุศลของคนอื่นมาเลย
แต่ทางโลกนี้มันแย่งกัน
จีบสาวยังต้องแย่งกันเลย
หรือจีบหนุ่มก็ต้องแย่งกัน
คนไหนที่มีคนแย่งเยอะ เราก็อยากแย่งด้วยอะไรอย่างนี้
คนไหนไม่มีใครสนใจ เราก็ไม่สนใจด้วย
ส่วนใหญ่ก็เป็นอย่างนั้นเลยหาแฟนไม่ได้เสียที
เพราะมันไปแย่งของที่คนอื่นเขาอยากแย่ง
ของที่เขาไม่สนใจก็ไม่เอา รู้สึกไม่ดี
ฉะนั้นในทางโลกข้อจำกัดเยอะ ความทุกข์เยอะ
ความอยากไม่มีวันเต็มไม่มีวันอิ่ม
ในทางธรรมะมันเต็มมันอิ่ม ค่อยภาวนา
มันอิ่ม มันอิ่มจริงๆ ใจเราอิ่มเอิบ เบิกบาน
มีความสุข มีความสงบ ไม่มีอะไรเหมือนเลย
สุขอื่นเสมอด้วยความสงบไม่มี
สุขของโลกไม่ใช่สุขสงบ
ในโลกไม่เคยสงบ ลองดูสิ โลกมันเคยสงบไหม
มีความวุ่นวายเกิดขึ้นทุกวันในโลกนี้
รอบตัวเราบ้างห่างตัวเราบ้าง
มีแต่วุ่นวาย โลกไม่เคยสงบ
ถ้าเราวุ่นวายอยู่กับโลก เราก็ไม่สงบ
พยายามยุ่งกับโลกเท่าที่จำเป็น
ให้เวลาในการเจริญสติ
รู้กายรู้ใจของตัวเองไปมากๆ
แล้วใจเราจะเข้าถึงความสุขความสงบมากขึ้นๆ เป็นลำดับไป
แล้วมันจะเต็ม มันจะอิ่ม
ความสุขในโลกไม่เคยอิ่มหรอก
ได้อันนี้ก็อยากได้อันโน้น
ได้อันโน้นก็อยากได้อันโน้นต่อไปอีก
ไม่รู้จักเต็ม ไม่รู้จักอิ่มหรอก …”
.
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
17 กรกฎาคม 2565
อ่านธรรมบรรยายฉบับเต็มได้ที่ :
https://www.dhamma.com/sati-samadhi-panya/
เยี่ยมชม
dhamma.com
สติ สมาธิ ปัญญาอัตโนมัติ
อาศัยสติมาสร้างสมาธิ อาศัยสมาธิไปสร้างปัญญา ใช้สติสมาธิไปสร้างปัญญา แล้วปัญญานั่นล่ะจะทำให้จิตเราหลุดพ้นอัตโนมัติ
Photo by : Unsplash
2 บันทึก
5
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
อ่านธรรม : อ่านใจ
2
5
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย