2 ส.ค. 2022 เวลา 14:20 • ความคิดเห็น
เราแค่ ‘คนคนหนึ่ง’ ที่ทำไม่ได้ทุกอย่าง ยอมรับตรงนี้ แล้วทุกอย่างจะดีขึ้น
วันนี้ผมเป็นบุคคล ‘ว่างงาน’ ครั้งแรกในรอบ 5 ปี
ที่จริงจะเรียกว่าว่างงานก็คงไม่จริงซะทีเดียว เพราะก็ยังเป็นนักเขียนและคอลัมนิสต์ให้กับสื่อต่าง ๆ อยู่นั่นแหละ ก็ยังเขียนทุกวัน เพียงแต่วันนี้เป็นวันแรกหลังจากที่เริ่มต้นทำธุรกิจของตัวเองเมื่อ 5 ปีก่อน ล้มลุกคลุกคลานมาเรื่อย ๆ วันนี้เหมือนว่ามันมาถึงจุดสิ้นสุดอย่างแท้จริงแล้ว (หรืออย่างน้อย ๆ ที่เหลืออยู่คือไม่ต้องใช้เวลากับมันมากแล้ว)
มันเป็นความรู้สึกที่แปลกดี โล่งโหวงบอกไม่ถูก เหมือนส่วนหนึ่งของตัวเองหายไป เดินเข้าไปที่ออฟฟิศที่แต่ก่อนมีน้องอยู่กันเต็ม เสียงเจี้ยวจ้าว สั่งกับข้าวมาทานกันตอนเที่ยง ตอนคุยกับลูกค้า ตอนนี้เหลือแต่ความเงียบ
ผมนั่งลงที่โต๊ะตัวเดิม ถัดจากโต๊ะทำงานเก่าของน้องพนักงานอยู่ด้านข้าง มันดูเศร้าพิกล
ตลอดชีวิตที่ผ่านมาผมเคยคิดว่าตัวเองมีความสามารถเพียงพอที่จะหลายอย่างพร้อมกันได้ เป็นมนุษย์กึ่งซุปเปอร์แมนที่ทำงานเขียนเต็มเวลาแต่ทำธุรกิจไปด้วยได้ คิดว่าตัวเองเป็นคนซุปเปอร์โปรดักทีฟ สามารถทำงานได้สองเท่าในเวลา 24 ชั่วโมง ผมหลงเข้าไปสู่วัฒนธรรมของ ‘อยาก...มากขึ้น’ อย่างแท้จริง
1
ไม่ใช่แค่เงินนะครับ รวมไปถึงควบคุมชีวิตได้มากขึ้น มีอิสระมากขึ้น มีประสบการณ์มากขึ้น อยากได้มากขึ้น อยากทำงานให้ได้มากขึ้น ทำทุกอย่างมากขึ้น มากขึ้นเรื่อย ๆ (ซึ่งก็คือเหตุผลว่าทำไมหนังสือพวก productivity ถึงขายดี เพราะเราอยาก...มากขึ้นนี่แหละครับ)
1
มันเหมือนการเรียงตั้งก้อนหินที่หลาย ๆ ก้อนบนฐานรากอันสั่นคลอน สุดท้ายมันก็ต้องล้มครืนเป็นธรรมดา
1
บางคนอาจจะทำได้ แต่ผมรู้สึกว่ามันเหมือนเหยียบเรือสองแคม จับปลาสองมือ แล้วไม่เลือกสักทีว่าจะไปทางไหน เลยทำออกมาได้แบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ จะว่าไม่สำเร็จก็ไม่ใช่ จะว่าดีก็ไม่เชิง มันเหมือนน้ำอุ่นที่คนอยากถุยทิ้ง
หนังสือ “Four Thousand Weeks” (ที่หมายถึงอายุขัยเฉลี่ยของมนุษย์) ของ Oliver Burkerman แม้จะเป็นหนังสือเกี่ยวกับ ‘Productivity’ เช่นกัน แต่เนื้อหากลับแตกต่างจากเล่มอื่น ๆ เหมือนเป็นการตบหน้าให้ตื่นจากพะวัง บอกว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้ เรามีอายุขัยที่จำกัด เวลาที่จำกัด เราไม่มีทางทำทุกอย่างที่อยากทำได้ เพราะเราคือมนุษย์คนหนึ่งเท่านั้น
1
นั่นไม่ใช่มุมมองเชิงบวกหรือเชิงลบ มันแค่เป็น ‘ความจริง’ ที่ผมเคยเกลียดที่จะยอมรับ ต่อต้านเพราะไม่อยากเชื่อว่าตัวเองมีข้อจำกัด และในระหว่างที่ไม่เชื่อ ดึงดันที่จะทำทุกอย่างมากขึ้น ลองหาเคล็ดลับทุกอย่างบนโลกใบนี้ เพื่อจัดการเวลาที่มีวันละ 24 ชั่วโมงให้มีประสิทธิภาพที่สุด ‘ฉันต้องทำได้มากกว่านี้สิ’ สุดท้ายก็เรียบร้อย ทั้งสุขภาพร่างกายและสุขภาพจิตใจ เราละทิ้งชีวิตส่วนตัว ชีวิตครอบครัว เพื่อจะวิ่งตามเป้าหมายอันแล้วอันเล่าที่ไม่มีวันจบสิ้น ทำได้แล้ว ต้องทำได้มากกว่านี้อีก
1
มนุษย์ไม่เคยพอใจ
1
หนังสือเล่มนี้ไม่ได้มีเคล็ดลับทำให้ช่วงอายุขัยเฉลี่ยสี่พันอาทิตย์ของมนุษย์มีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่มันนำเสนออะไรที่ดีกว่า นั่นคือ ‘ความสงบ’ ครับ มันเป็นของหายากแล้วในยุคที่ทุกอย่างเร่งรีบ ในสังคมที่เชิดชูคนที่ทำได้ทุกอย่าง ความสงบคืออย่างสุดท้ายที่คนจะพูดถึง อยากสงบก็ไปบวช ทิ้งทางโลก ไปอยู่วัดสิ ซึ่งที่จริงแล้วไม่จำเป็นต้องเป็นอย่างนั้น
1
สำหรับผมแล้ว การปล่อยวางให้ตัวเองว่างคือแนวคิดที่ไม่เคยมีมาก่อน ลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่ามันคือทางเลือกหนึ่ง แต่วันนี้ได้เรียนรู้แล้วว่ามันช่างทรงพลังและเงียบสงบ แต่ทุกอย่างกลับดูโอเค​ โลกไม่ได้แตก เราก็ยังหายใจอยู่ ชีวิตยังคงดำเนินต่อไป
1
เหมือนที่ผ่านมากลัวว่าคนอื่นจะมองว่า ‘ไร้ค่า’ จึงพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเอง ‘มีค่า’
1
แต่วันนี้การไร้ค่าทำให้เห็นสัจธรรมอย่างหนึ่งว่า ‘เราก็แค่คนคนหนึ่ง’ ยอมรับตรงนี้ เราไม่สามารถทำทุกอย่างได้ ไม่มีทางที่จะทำทุกอย่างได้ แต่อย่าลืมว่า...
คุณยังมีสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ยังมีงานเขียนที่เรารักที่อยากทำเสมอมา ยังมีครอบครัวที่เรารัก ภรรยา ลูกน้อยที่กลับไปกอดไปหอมแก้ม ยังมีเวลาอีกมากมายที่สามารถทำสิ่งที่รักได้ กลับไปหาตัวเอง ใช้เวลากับตัวเอง
เราทำทุกอย่างให้ดีที่สุดไม่ได้ แต่เราทำสักอย่างให้ดีที่สุดได้
สิ่งที่เรียนรู้จากการเป็นคนว่างบริษัท (เพราะไม่ได้ทำธุรกิจของตัวเองแล้ว) คือต้องคอยเตือนตัวเองเสมอว่าทุกไอเดีย ทุกความเป็นไปได้ที่เข้ามานั้น เราไม่จำเป็นต้องทำ คอยรั้งความอยากทำมากขึ้น มีมากขึ้นให้ได้
อย่าพยายามควบคุม หายใจออกยาว ๆ ปล่อยวาง คุณสามารถเป็นอิสระได้
สุดท้ายแล้วการยอมรับคือสิ่งที่ยากที่สุด เราแค่ ‘คนคนหนึ่ง’ ที่ทำไม่ได้ทุกอย่าง ยอมรับตรงนี้ แล้วทุกอย่างจะดีขึ้น
1
ช่องทางติดตามบทความเพิ่มเติม
The People, Beartai, The Matter, CapitalRead, 101.World, GQ, a day Bulletin : สามารถค้นหาชื่อ ‘โสภณ ศุภมั่งมี’ ได้เลยครับ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา