21 ส.ค. 2022 เวลา 04:21 • ไลฟ์สไตล์
เพราะเรามีกาย มีลมหายใจ ที่เคลื่อนไหว มีอารมณ์นึกคิด ที่สั่งให้จิต ใช้กายเคลื่อนไหวไปตามอารมณ์ เมื่อใช้กายเคลื่อนที่ไป ไปทำงาน ไปเที่ยว หูตาจมูกลิ้นกายใจ กเคลื่อนไปตามกาย ไปเห็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ รูปสวย ไม่สวย ตาไปกระทบรูป หูได้ยินเสียง เกิดมีอารมณ์ชิบใจไม่ชอบใจ เมื่อเกิดอารมณ์ชอบไม่ชอบ กิริยาของกายวาวาจา ก็ถูกปรุงแต่งเป็นอารมณ์ มีทิฐิความคิดเห็นอะไรต่างๆ เกิดขึ้นภายในกาย
เมื่อมีอารมณ์เกิดขึ้นภายในกาย มันก็เหมือนเราจิตเราที่อยในเรื่อ นั่งอยู่เรือนกายคุณบิดามารดา ต้องผจญคลื่นลม คลื่นเล็กคลื่นน้อย ไปจนถึงคลื่นใหญ่ จิตเรามีความสามารถ ที่จะควบคุมกาย ควบคุมอารมณ์ได้ ก็ทำใด้กายนั้นนิ่ง หัวเรือคือวิญญาณทั้งหกนิ่ง เพื่อจะให้คลื่นลมนั้นพัดผ่านไป หากควบคุมกายให้นิ่งไม่ได้ จิตก็นิ่งไม่ได้ จิตก็ตีองไหวไปตามอารมณ์
เพราะฉะนั้น บุคคลที่เค้าฝึกกาย อารมณ์ จิตมาดีเค้าก็มีจิต จิตก็มีกำลัง บังคับลำเรือคือกาย ให้ผ่านคลื่นลมนั้นไปได้ ไม่มีกรรมด้วยกายวาจาใจเกิดขึ้น
เรื่องของการไปพบปะผู้คน เราเจอคนเดียว สมมุตคนหนึ่งคนมีหนึ่งอารมณ์ เราเจอคนร้อยคน ก็ร้อยอารมณ์ เมื่อเราเจอผู้คนมากมาย สิ่งที่ตาเราเห็นหูเราได้ยิน มันก็บันทึกจดจำลงไปไว้ที่ธาตุทั้งสี่ มีอารมณ์ค้างคาใจ ที่กระทบกับคนนั้นคนนี้เรื่องไม่ชอบใจ คนนั้นคนนี้ไม่ดี เราก็ไม่ชอบ แค่เผลอนึกติเตียนเค้า มันก็เหมือนเราไปคล้องเอากรรม คล้องรูปนั่นมาสู่กายสู่จิตของตน
เมื่อเราทำไปทุกวันๆ เราก็ไม่เคยสังเกตอารมณ์หงุดหงิดที่เกิด เมื่อเราไปเจอะเจอผู้ที่เราคล้องเวรกรรม เมื่อมันสะสมความไม่พอใจไปมากเข้าๆ ต่อๆไป เรื่องเล็กนิดเดียว เราก็ทนไม่ได้ ต้องระเบิดออกมาเป็นกิริยา ของนางมาร้าย หรือเป็นนางยักษ์ไป แล้วกิริยาแบบนั้นมัน น่าดูมั้ย เราก็สินตัวเราเองได้
เรื่องของอารมณ์ที่พาไปคล้องรูป คล้องเสียมาสู่จิต มันก็มีรายละเอียด ที่ต้องศึกษา ว่ามันทำให้จิตเราหงุด ลุกลี้ลุกลน บางครั้งไปเจอคนเศร้า เราก็เศร้าตามเค้า เรื่องนี้ สิ่งที่ชั่วเราได้ ก็เนื่องราวของการสร้างบุญกุศล ฝึกปฏิบัติธรรม เดินจงกรมให้จิตเรามีสติมีกำลังขึ้น ถ้าเราทำได้ให้จิตมีขันติได้ ขันติต่ออารมณ์ สลัดละอารมณ์ได้เมื่ออารมณ์เกิดขึ้น มันก็จะเกิดคำว่าบารมี ค่อยสะสมขึ้น
เมื่อเรานำกายของกรรม มาสร้างให้เป็นกายบุญ จิตของเราที่อยู่ในกายบุญ ก็มีความสุขอยู่ในกายบุญ บุญที่หล่อเลี้ยงกาย จิตก็มีบุญไปด้วย กายเป็นกายบุญ อารมณ์หงุดหงิด ฟุ้งซ่านก็ไม่มี
เมื่อกายมีกรรมมาก ก็มาด้วยอารมณ์กรรมมากมาย จิตก็เลยหาความสงบไม่ค่อยได้ เพราะต้องเปขี้ข้ารับใช้อารมณ์
ชีวิตของเรา เราพูดความโลภความโกรธความหลง นั้นอยู่ตรงไหนบ้าง ก็อยู่ที่วัตถุที่เราไปหา หามาด้วยความโลภโกรธหลง แล้วต้องใช้แรงกายไปหามา กายพ่อแม่เค้าเหนื่อย เราก็แบ่งนำปัจจัยนั้นไปสร้างเป็นทานเป็นบุญ เหมือนสละความยึดถือทรัพย์สมบัติเงินทอง ยศฐานบรรดาศักดิ์ออกไป เราค่อยๆกระทำ กายเราจะได้ไม่หนักด้วยเวรกรรม ที่จะมาทักท้วงให้หงุดหงิดฟุ้งซ่าน ในเรื่องราวของความยึดถือกรรม ที่เป็นอารมณ์เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว เบื้องหลังของอารมณ์ ก็คือกรรม
บางคนก็มุ่งมั่นปกตินั่งสมาธิ แต่ไม่เคยเอาสิ่งที่ตัวเองยึดถือปัจจัยที่หามาได้ มาแปรสภาพเป็นทานบุญเลย แล้วจิตมันจะเบาได้มั้ยล่ะ มันก็เลยมีแต่ของหนักทับจิต ปฏิบัติธรรมไปก็มีแต่เรื่องราวความยึดถือ ยึดกรรมร่ำรวยๆเฮงๆ แล้วเมื่อไหร่กายถึงจะเบาจิตเบาได้
โฆษณา