12 ก.ย. 2022 เวลา 07:33 • ไลฟ์สไตล์
บทที่ 4 : การละเล่นของเด็กประถมวัย
จนมาวันหนึ่ง มีการปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อีกครั้งเมื่อ คุณพ่อ และ คุณแม่ ต้องย้ายโรงเรียนนั่นหมายถึงผมก็ต้องย้ายไปด้วยเช่นกัน ครั้งนี้ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงชีวิตสำหรับผมเลยก็ว่าได้ เพราะตำบลที่ผมย้ายมาอยู่นอกจากจะมีไฟฟ้าแล้ว โรงเรียนยังติดถนนใหญ่ หรือ ที่สมัยนั้นเค้าเรียกว่า “ทางดำ” มีรถวิ่งไปมาเยอะมาก ไม่เงียบเหงาเหมือนเดิม
เจ้าขาวดำเครื่องโปรดก็ยังคงตามผมมาที่บ้านใหม่
ครั้งนี้เราไม่ได้อยู่บ้านพักครูแล้ว พ่อกับแม่ พามาเช้าบ้านอยู่ริมทางดำ เป็นบ้านชั้นเดียว มีห้องโล่งๆ ไม่มีอะไรกั้น พ่อกับแม่จึงใช้ตู้เสื้อผ้า และ ม่านกั้นมากั้นแยกระหว่างห้องนั่งเล่นกับห้องนอน
ถึงมันจะเล็กกว่าบ้านพักครู แต่มันก็พออยู่ได้นะ ด้านหลังก็มีครัวเล็กๆ ไว้ให้แม่ทำกับข้าว สำหรับห้องน้ำนี่ก็จะลำบากหน่อยเพราะสร้างแยกจากตัวบ้าน ออกมาไกลพอสมควร
Cr.https://me-deekarb.com/2021/07/28/07112021-16/
หน้าห้องน้ำจะมีปั้มโยกน้ำบาดาลอยู่ 1 หัว เวลาเข้าห้องน้ำที ก็ต้องโยกเอาน้ำเข้าไปด้วย เจ้าห้องน้ำนี่สำคัญ เพราะมันทำมาจากสังกะสีทั้งด้านบน และ ด้านข้าง ตอนกลางวันนั่งนาน ๆ พลอยจะหน้ามืดไปด้วยความร้อนเสียให้ได้
เมื่อห้องน้ำอยู่ไกล ก่อนเข้านอนผมก็มีภาระที่ต้องทำก็คือ ปัสสาวะให้เรียบร้อยก่อนนอน ไม่อย่างนั้นผมต้องเดินดุ่ม ๆ ไปห้องน้ำที่เปลี่ยว ๆ คนเดียวแต่ถ้าปวดหนักก็จำใจครับ ดึกแค่ไหนก็ต้องไปพกเทียนไปด้วย
การที่ไม่ได้อยู่ในโรงเรียน ทำให้ผมต้องเดินไกลมากขึ้นในการไปโรงเรียน สมัยนั้นระยะทางกิโลกว่า ๆ มันไกลมากสำหรับเด็กอย่างผม หลังจากตื่นนอน ต้องรีบไปอาบน้ำแปรงฟันมากินข้าวเช้าก่อนไปเรียน ผมก็ยังหนีไม่พ้นไข่เจียว ไข่ดาว วนกันไป นาน ๆ ครั้งจะได้กินฮอดดอกสีแดง ๆ สักครั้ง อ่อ ผมลืมบอกไปตอนนี้ที่บ้านผมมีตู้เย็นแล้วนะครับ
พอโตขึ้นแม่ก็เริ่มให้เงินไปโรงเรียน ในสมัยนั้นได้วันละ 1 บาท ผมได้มาตอนเช้า พอกลับไปตอนเย็น ก็เหลือมาคืนแม่ ตื่นเช้ามาวันใหม่ แม่ก็เอาเหรียญบาทอันนั้นล่ะให้ผมไปอีก
1
ไม่ใช่ว่าผมประหยัดนะครับ แต่ที่โรงเรียนไม่มีอะไรขาย แถมข้าวเที่ยงแม่ก็ห่อไข่เจียวให้ไปอีก แล้วจะให้ผมไปซื้ออะไร
แต่ที่น่าแปลกใจก็คือ ทำไมผมไม่มีเงินเก็บเลย ทั้ง ๆ ที่ได้เงินไปโรงเรียนทุกวัน เหลือเงินกลับมาบ้านทุกวัน แล้วเงินมันหายไปไหนหมด !
กินข้าวอิ่มได้เงินบาทพร้อมห่อข้าวเที่ยง ผมก็เริ่มเดินออกจากบ้าน บ้านผมอยู่ติดถนน และ โรงเรียนก็อยู่ถัดไปอีกราว ๆ 1 กม. ฝั่งเดียวกัน แม่มักจะกำชับว่าเดินให้ระวังรถด้วย ทางที่ดีอย่าเดินบนถนนให้เดินริมถนนด้านล่าง
ในวัยประถม จะไม่มีการเดินเรียน หมายถึง การเดินเวียนห้องเรียน แต่พวกเราจะนั่งเรียนที่ห้องเดิม ส่วนครูก็จะเดินเวียนสอนเอา ดังนั้นที่นั่งก็จะถูกกำหนดเป็นที่นั่งประจำของใครของมัน ในวันแรกที่เข้าห้องทุกคนจะรีบไปจอง ในบริเวณที่ตัวเองชอบ หรือ จองที่ชอบ ๆ นั่นเอง
ด้านหน้าขวา เป็นที่หมายตาในทุกระดับชั้น เพราะจุดนั้นจะอยู่ริมหน้าต่างพอดี อีกอย่างครูมักจะสนใจพวกอยู่กลาง ๆ และ ข้างหลังเสียมากกว่า มักจะให้ยืนตอบ บ่อย ๆ ส่วนผมก็สบายไป นั่งหน้านิ่ง ๆ เข้าไว้ครูก็จะไม่ถามเองรอดไป
ภาพสีเก่าๆของบรรยากาศโรงเรียนที่พอหาได้
พอพักเที่ยงเด็ก ๆ ก็จะหามุมใครมุมมัน เพื่อตั้งวงกินข้าวก็เอากับข้าวที่ห่อจากบ้านนั่นล่ะ มาแลกกันกิน ผมสนุกมากเพราะได้หลุดออกจากเมนูไข่เสียที ซึ่งก็เข้าทางเพื่อน เพราะส่วนใหญ่เพื่อน ๆ จะได้อาหารตามฤดูกาลมากิน ในช่วงหน้าฝนก็จะมี หอย ปู ปลา ทอดมา ต้มมา แบบง่าย ๆ พร้อมแจ่ว กับ ข้าวเหนียกระติบใคร กระติบมัน หรือ ดีหน่อยก็มี หมกฮวก (ลูกอ๊อดกบ) ส่วนผมมีไข่เจียว กับข้าวสวย ยืนพื้นมาแลกกับเค้า เค้าก็อร่อยของผม ผมก็อร่อย ของเค้านะ
ถ้าหน้าเกี่ยวข้าว ปลาไม่มีคราวนี้ก็เริ่มจะได้กินอะไรแปลก ๆ เช่น ปิ้งหนูนา กบย่าง หรือ แม้แต่แมลงต่าง ๆ ที่คั่วสุกมากิน แหม่ อร่อยยิ่งนัก
หนูนา กับ ปลาย่าง ก็ยังหากินได้ในทุกวันนี้
ส่วนผม ก็เอาไข่เจียวไปแลกเช่นเคย ที่น่าขำก็คือ แม่มักจะถามว่าแม่ห่อไข่ให้ไปตอนเช้า "ทำไมขากลับในกล่องข้าวลูกมีแต่ก้างปลากับปีกแมลงละหำ" ผมก็ได้แต่ยิ้มๆ
จั๊กจั่นทอด หนึ่งในแมลงที่เพื่อนห่อมากินเที่ยง อร่อยอย่าบอกใครเลยล่ะ
มาระยะหลังช่วงประถมปลายผมเริ่มมีกิจกรรมในโรงเรียนมากขึ้น กีฬาที่เด็กผู้ชายชอบก็คือฟุตบอล สมัยนั้นใครมีลูกฟุตบอลไปโรงเรียนล่ะก็ จะกลายเป็นผู้ทรงอิธิพลในกลุ่มเพื่อนเลยล่ะ การเล่นก็ไม่ยากอะไรสนามก็มีแบ่งทีมกันเสร็จ ก็ต้องมาเลือกกันว่าทีมไหนจะใส่เสื้อ ทีมไหนจะถอดเสื้อ
ส่วนใหญ่แล้วทีมฝั่งผมมักจะโดนถอดเสื้อเสียด้วย แต่ก็ดีหน่อยเสื้อไม่ดำ หากเสื้อเปื้อนเวลากลับบ้าน ก็จะโดนแม่บ่นเป็นปกติ รองเท้าผ้าใบรองเท้าสตั๊ด ไม่ต้องถามถึงไม่มีหรอกครับ ถอดรองเท้าแตะออก ก็ลงสนามได้เลย
สนามดินของโรงเรียนก็ตามมีตามเกิด หากเล่นหน้าฝน พื้นเปียก ๆ ก็เตะยากหน่อยเพราะบอลจะไม่ค่อยวิ่ง แต่มันจะสนุกตรงที่ได้สไลด์เข้าเสียบลูกบอลนี่ล่ะ บางที่บอลยังไม่มา ก็สไลด์กันอยู่นั่นจนจะได้ต่อยกัน
พอหน้าแล้งบอลวิ่งดีมาก เพราะบางที่ไม่มีต้นหญ้า สนามก็จะมีแต่ฝุ่น พอลูกโด่ง ๆ มาลงพื้นต้องระวังนะ เพราะว่าบางทีมันลงมาโดนกอหญ้า ลูกบอลเด้งไปคนละทางก็มี เด้งใส่หน้าก็บ่อยครั้ง
อย่างที่ผมเล่าไป การเล่นก็แค่ถอดรองเท้าลงสนามเลย ไม่มีใครมาสอนนิว่าเตะยังไง ผลคือเล็บนิ้วโป้งเท้าฉีก บางวันก็ขาช้ำกลับมาเพราะโดนสไลท์นอกจากเจ็บตัวแล้ว แม่ตีซ้ำอีก โถ่ ไอ้เราก็สวมวิญญาน “ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน” ลงสนามทุกครั้งก็ยังไม่รอด
หลังจากที่ฝึกมานาน ผมก็สมัครเข้าทีมโรงเรียน สมัยนั้นเค้าจะมีการแข่งขันกีฬาระหว่างโรงเรียนทุกปี กีฬาก็จะมีหลายอย่างแต่ที่เป็นไฮไลท์ก็คือ ฟุตบอล นี่ล่ะ
ด้วยเด็กนักเรียนชายที่มีน้อย ผมก็เลยได้เป็นทีมโรงเรียนกับเค้า แต่เป็นตัวสำรอง ไม่ว่าจะไปแข่งที่โรงเรียนไหน ผมได้ไปกับทีมโรงเรียนทุกรอบ แหม่ มันเทห์จริง ๆ พอไปถึงสนามแข่ง สิ่งแรกที่ผมทำก็คือทาน้ำมันมวย สีเหลือง ๆ เหม็น ๆ ที่ขา วิ่งให้เหงือออก เพื่อเป็นการวอมร่างกาย
เมื่อเริ่มแข่งขัน ผมก็มานั่งเชียร์ที่ขอบสนาม ในใจก็ภาวนาให้เพื่อนมันโดนเสียบสักที พอมันเจ็บขาเราจะได้ลงโชว์ฝีเท้าบ้าง แต่จนแล้วจนรอด ไปแข่ง 2-3 รอบ ผมก็ได้แค่วิ่งอยู่เก็บบอลขอบสนามเท่านั้น แต่ก็ไม่เป็นไร ถือว่าผมได้เป็นทีมโรงเรียนล่ะวะจริงมั๊ยครับ
นอกจากเล่นฟุตบอลแล้วสนามฟุตบอลยังมี "จิ้งหรีด" ก็ไปหาจับเอาแถว ๆ พงหญ้าค่อย ๆ คลานตามเสียงมันไปเรื่อยๆ เจอตัวก็ตะครุบเลยแต่อย่ากำแรงนะไม่งั้นเละ ผมไม่เคยจับได้เลยจึงไม่เป็นเรื่องสนุกสำหรับผม
แต่ผมก็จับไก่ได้นะ “ไก่ตี” หรือ หัวไก่ เป็นหญ้าที่เกิดจากหญ้าแพรก แต่ลำต้นของเขาตรงปลายจะมีหัวโต ๆ สามารถเอาหัวของเขามาตีกัน ซึ่งเรียกว่าการ "ตีไก่"
กติกา คือจะต้องผลัดกันตีคนละครั้ง ใครหัวหลุดก่อนก็จะเป็นคนแพ้บางครั้งตีกันจนเหลือแต่หัวสั้น ๆ เพราะหญ้ารอบ ๆ หลุดไปหมดแล้วมันก็ยังไม่ยอมขาดสักที มันมีเคล็ดลับนะ หรือ ผมโดนเพื่อนหลอกมาก็ไม่รู้
มันต้องอมเข้าไปก่อนแล้วคอยเอามาตี มันจะทำให้ขาดยาก ผมว่าก็น่าจะจริงนะเพราะพอหญ้ามันชุ่มชื้นจากน้ำลายแล้ว มันก็จะอ่อนตัวไม่ขาดง่ายนั่นเอง
“เป่าย่าง หรือ เป่ากบ ” ก็เป็นอีกกิจกรรมที่สนุกมากหนังยางที่ใช้ก็ ยางรัดแกงนี่ล่ะ แต่ต้องเป็นวงใหญ่ ๆ พอได้ยางมากรรมวิธีต่อไปนี่สำคัญ เราต้องคัดเลือกตัวหัวหน้าให้ได้ เลือกตัวที่เป่าออกไปแล้ว กระโดดดี และ ควบคุมได้ดีที่สุด เอาไว้แข่งขัน
วิธีการเล่น ผู้เล่นก็เอาหนังยางสองเส้นมาวางตรงหน้า จากนั้นก็เลือกกันว่าใครจะเป่าก่อน ผลัดกันเป่าคนละครั้ง ใครเป่ายางของตนไปทับอีกฝ่ายได้ก็ถือว่าชนะ หรือ จะเล่นครั้งละสิบเส้นก็ได้ แต่ต้องกำหนดเส้นที่เป่านั้นเส้นเดียว
สมัยนั้นคนที่เก่ง ๆ ก็จะมีหนังยางคล้องเต็มแขน ประหนึ่งว่าเป็นผู้กล้าเลย สำหรับผมหรอก็เต็มแขนเหมือนกันนะ ผมซื้อเอาที่ร้านขายของข้างบ้าน พอเข้าห้องเรียน เพื่อนก็จะมองตามด้วยความชื่นชมว่าเก่งกาจ แต่พอเลิกเรียนก็เสียหมดครับ......

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา