17 ก.ย. 2022 เวลา 10:12 • ไลฟ์สไตล์
บทที่ 5 : สันทนาการวัยประถม
เมื่อไม่ประสบความสำเร็จกับการเล่นกีฬาใด ๆ ผมจึงหันมาเอาดีทางความบันเทิง โดยเริ่มต้นที่ วงดุริยางค์ เพราะอย่างน้อยเวลาไปแข่งกีฬาต่างโรงเรียน เจ้าวงดุริยางค์ นี่ก็จะไปด้วยทุกครั้ง ดีเสียอีกผมไม่ต้องวิ่งให้เหงื่อออก เดินเล่นดนตรีไปสวย ๆ เลย
วงดุริยางค์ โรงเรียนประถม มีเครื่องเล่นไม่มากนัก ประกอบด้วยเครื่องดนตรีที่บรรเลง เช่น เบลไลล่า เมโลเดียน กลุ่มที่ให้จังหวะก็มี กลองเทนเนอร์ กลองสแนร์ แล้วก็ฉาบ ถือว่าหรูแล้ว
ผมว่าผมมาถูกทางนะเพราะทำไปทำมาผมเล่นเครื่องดนตรีได้ทุกอย่างในวงเลยทีเดียว ระยะหลังเริ่มมี อังกะลุง เข้ามาเพิ่มทำให้วงดุริยางค์ใหญ่ขึ้นไปอีกผมค้นพบทางของผมแล้ว กีฬาร้อน ๆ เหนื่อย ๆ ที่ต้องแข่งขันเห็นจะไม่เหมาะกับผมเป็นแน่
แต่ก็อย่างที่เล่ามา ห้องเรียนจะแบ่งเป็น ห้อง ก ข ค แต่ละชั้นเรียนมี 3 ห้อง เวลาแข่งกีฬาสีก็จะแบ่งเป็นทีมแยกสี นั่นหมายถึง ทุกห้องได้รางวัลแต่ละประเภทกีฬาแน่นอน รวมถึงผมด้วย
นอกจากจะเป็นหัวหน้าวงดุริยางค์แล้ว ช่วงพักเที่ยงที่โรงเรียนมีกิจกรรมเสียงตามสายด้วย ผมเลยลองเสนอครูประจำชั้นว่า หากมีเสียงตามสายแล้วก็ต้องมีการจัดรายการสิครับมันถึงจะสนุก ครูก็เห็นดีเห็นงามด้วย งานงอกสิ แล้วจะพูดเรื่องอะไร แล้วจะเอาเพลงที่ไหนมาเปิด
เครื่องเสียงตามสายสมัยนั้น อยากให้นึกภาพตามผมนะ มันไม่มีอะไรซับซ้อนมาก มันจะประกอบด้วยเครื่องขยาย แบบที่ต้องเปิดฝาด้านบน แล้วเอาพัดลมจ่อ ๆ ไว้เพราะหากเครื่องร้อนมันจะดับ
ด้านหลังก็ต่อสายไปตามอาคารเรียนต่าง ๆ ซึ่งติดตั้งลําโพงฮอร์นไว้อาคารละจุด เท่าที่ผมจำได้ก็ราว5-6 ตัวก็รอบโรงเรียนแล้ว
มุมจัดรายการเสียงตามสาย
ปัญหาของผมคือจะไปหา เทปคาสเซ็ท มาจากที่ไหน ในสมัยนั้นราคา เทปคาสเซ็ท ใหม่ ๆ ตกอยู่ราว ๆ 80-90 บาท เข้าไปแล้ว
ผมก็อาศัยขอไปเรื่อย ๆเผื่อพอจะมีใครบริจากให้บ้าง ใช้เวลาหาสักพักผมก็ได้มาเป็นเทปคาสเซ็ท วง ซูซู ในสมัยนั้นถือว่าดังมากเลยนะ
เมื่อระฆังพักเที่ยง เสียงเพลงก็ดังขึ้น “......สุดใต้ชายแดนมาเลย์ ถิ่นนี้แดนสนธยา ปัตตนี นรา ยะลา จดอันดามัน สงขลา สตูล....... อับดุลเลาะห์ อับดุลเลาะห์”
เป็นอันว่าหากเพลงนี้ขึ้นมา ทั้งโรงเรียนก็กินข้าวกันได้ สำหรับผม ระหว่างเพลงบรรแลง ก็ตักข้าวเข้าปาก รีบเคี้ยว รีบกินน้ำ มีบางครั้งมือไปโดนไมล์ตกทำให้เพลงดับก็มี
เมื่อเพลงจบ ก็มานั่งอ่านเรื่องราวที่จะคุยผ่านเสียงตามสาย เท่าที่หาได้เช่น นินานก้อม (ก้อม ในภาษาอีกสานแปลว่า สั้น นั่นหมายถึงนิทานสั้น ก็เป็นเรื่องสนุกสนานทั่วไป) ยาวไปจนถึงเรื่องปลูกผัก สำหรับผมเพลินดี แต่คนฟังนั้นผมไม่รู้
ระหว่างที่คุยไป มือก็ต้อง กรอเทปไปเรื่อย ๆ โดยใช้ปากกาบิ๊กเสียบเข้าไปตรงรูแล้วหมุน ๆ พูดจบก็ตามมาด้วยเพลง “....สุดใต้ชายแดนมาเลย์ ถิ่นนี้แดนสนธยา ปัตตนี นรา ยะลา จดอันดามัน สงขลา สตูล..... อับดุลเลาะห์ อับดุลเลาะห์”เป็นอันว่าตลอดเวลา 1 ชม. เราจะได้ฟังเพลงนี้ 2-3 รอบเลยทีเดียว
น้าซูครับ หากผ่านเข้ามาอ่านล่ะก็ ผมอยากจะบอกว่าผมเปิดเพลงของน้าทุกวันเลยนะครับ
อีกเรื่องที่จะลืมไม่ได้เลยก็เห็นจะเป็นการ “ต้มเทียน” โรงเรียนประถมต่างจังหวัดโดยส่วนใหญ่แล้ว อาคารเรียนก็จะเป็นอาคารไม้ มีทั้งชั้นเดียว และ สองชั้น โดยจะแยกเป็นห้อง ๆ อาคารละ 4-6 ห้องตามแบบของอาคารที่แตกต่างกันไป
cr.ภาพจาก FB
การต้มเทียน คือ การเคลือบเทียนลงบนพื้นไม้เป็นภูมิปัญญาแบบไทยโบราณหลังจากลงเทียนและขัดแล้วพื้นจะเงางาม
สำหรับเทียนส่วนใหญ่คุณครูจะไปขอมาจากวัดแถวนั้น หากไม่พอก็จะซื้อเทียนไขที่ขายเป็นก้อน ๆ เพิ่มการต้มเทียนจะใช้ ถังปี๊บตัดครึ่ง หรือ กระป๋องสังกะสี นำเทียนและน้ำมันก๊าดลงต้ม ด้วยไฟอ่อน ๆ เคี่ยวจนส่วนผสมทั้งสองละลายเข้ากันมันจะกลายเป็นครีมข้น ๆ เป็นอันจบ
รอให้ส่วนผสมเย็นตัวลงสักพัก ใช้เศษผ้าจุ่มน้ำเที่ยนที่เย็นแล้ว ขัดลงบนพื้นกระดานที่ทำความสะอาดรอไว้มาถึงตอนนี้ผมและเพื่อน ๆ ก็จะช่วยกันถูน้ำเที่ยนลงพื้น รอสักพักเมื่อเที่ยนแหลวซึมเข้าไปในเนื้อไม้จนแห้ง เราก็จะใช้ “กาบมะพร้าว” ขัดพื้นอีกรอบ เพื่อขัดเทียนส่วนเกินออกจากเนื้อไม้ ยิ่งขัดยิ่งเงางามเลยทีเดียว
cr. fb คุณวิภารัตน์ ศรีสร้อยพร้าว
วันถัดมาเมื่อเนื้อไม้และเทียนแห้งเข้ากันได้ดี พวกเราก็จะได้ลานสเก็ต ไว้เล่นในช่วงพัก พื้นจะลื่นมากเราเตรียมเสื้อยืดเก่าไปจากบ้านพอถึงโรงเรียน ก็ตัดแบ่งกันมัดไว้ที่เท้าทั้งสองข้างเท่านี้ก็สนุกกันได้เลย
หรือ จะทุ่นแรงหน่อยก็นั่งบนไม้กวาด สลับกันลากกับเพื่อน เวลาเข้าโค้งทีก็หลุดโค้งบ้าง กระเด็นเข้าไปใต้โต๊ะ ดีหน่อยก็แค่ช้ำ ๆ บางวันหัวโนกลับบ้าน เสื้อผ้าก็ดำเพราะกลิ้งกับพื้น ผมเองก็โดนแม่บ่นประจำ
มุมสวนหย่อมในโรงเรียนสมัยนั้น
เมื่อเข้ามาอยู่ในตำบลใหญ่ ความบันเทิงก็มากขึ้นตาม ที่น่าขำก็คือ ทีวีที่บ้านผมสีไม่เหมือนชาวบ้านเพราะมันเป็นขาวดำ พอไปคุยเรื่องละครจัก ๆ วง ๆ มันเลยทำให้ผมไปไม่เป็นเลย
ยังจำเรือง “สี่ยอดกุมาร” กันได้มั๊ยครับ กุมารแต่ละองค์ แต่งตัวสีต่าง ๆ เพื่อเป็นเอกลักษณ์ แต่ผมเห็นเป็นสีดำหมดเลย ฮาฮาฮา เพราะทีวีที่บ้านผมน่ะเป็นขาวดำ
มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับ ทีวี อีกนะ อันนี้คุณพ่อเล่าให้ฟัง ตอนนั้นคุณแม่เจ็บท้องจะคลอดผม คุณพ่อท่านก็พาแม่ไปคลอดที่คลีนิก ในตัวจังหวัด ซึ่งในสมัยนั้นเป็นห้องแถวธรรมดา ๆ ข้าง ๆ คลีนิกก็เป็นร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าทั่วไป พ่อเล่าว่า แม่เข้าไปคลอดตั้งแต่ช่วงเย็น
กว่าผมจะคลอดออกมาก็ราว ๆ 2 ทุ่มกว่า ระหว่างที่รอ คุณพ่อ ผมรอที่หน้าคลีนิก ซึ่งติดกับร้านเครื่องใช้ไฟฟ้า คุณพ่อผมในวัยหนุ่มสมัยนั้นก็จะไว้ผมยาว ผอม ๆ หน่อย (เหมือนโลโก้สมุดยาเสพติด) เสื้อผ้าทรงฮิปปี้ตามสมัยนิยม มันก็เป็นปกติสำหรับคนสมัยนั้น
แต่ที่มันไม่ปกติก็คือ ระหว่างที่รอแม่คลอด ทีวี ในร้านค้าข้างคลีนิกดันหาย มีคนแจ้งว่าเห็น คุณพ่อ เดินไปเดินมาแถวนั้นตั้งแต่เย็น จึงกลายเป็นผู้ต้องสงสัย ตำรวจจึงได้มารับตัวไปหารือที่โรงพัก กว่าจะทำความเข้าใจกันได้ ก็แทบแย่ พ่อผมเลยคิดว่าจะตั้งชื่อผมว่า “บักทีวี” ดีมั๊ย ดีนะที่คุณแม่ห้ามไว้ก่อน.....

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา