14 ก.ย. 2022 เวลา 02:37 • ไลฟ์สไตล์
“มันไม่สำคัญหรอกว่าอดีตเคยเป็นอะไร เคยทำอะไรมา
มันสำคัญว่าปัจจุบันเรากำลังจะทำอะไรอยู่ต่างหาก”
“ … เหมือนจรวดที่เขาจะยิงออกไปนอกโลก ไปอวกาศเนี่ยนะ เห็นไหมจรวดมันลำเบ้อเร่อเลย ลำใหญ่ เพราะว่าเขาจะต้องมีเชื้อเพลิงมากทีเดียว ที่จะเป็นแรงขับ ที่จะยกตัว ต้องมีกำลังมากกว่าแรงดึงดูดของโลกนั่นเอง มันจะยิงขึ้นไป
ถ้ากำลังไม่พอ ก็ตก ร่วง พัง เขาต้องพัฒนาจนมีกำลังมากพอ ยิงขึ้นไป จนพ้นแรงดึงดูดของโลก ออกไปอวกาศได้
ฉันใด การที่เราจะพ้นออกไปวัฏสงสาร วัฏฏะมันคือการหมุนวน มันจะมีแรงดึงดูด แรงดึงดูดของวัฏฏะ แรงดึงดูดของโลก มันต้องเกิดการแยกตัว แล้วพ้นออกไปได้นั่นเอง
สังเกตไหม ฝึกใหม่ ๆ เราตั้งสติยั้งตัวไม่ขึ้น มันคอยจะไหลไปกับโลก แรงดึงดูดของโลก การที่เราจะฝึกสติยั้งตัว มีกำลังแล้วแยกตัวออกไปได้ เราก็ต้องมีกำลังเช่นกัน
กำลังที่เป็นแรงตรงข้ามจากแรงดึงดูดของวัฏฏะของโลก ก็คือสิ่งที่เรียกว่า บารมี นั่นเอง
บารมี กำลังใจทั้ง 10 ด้านที่สร้างมา มันไม่ใช่สร้างกันภพชาติเดียวนะ กว่าบารมีจะเต็ม มันต้องสร้างกันนับภพชาติไม่ถ้วนนะ
อย่างพระพุทธเจ้าก็ 4 อสงไขย กับแสนมหากัป ระดับสาวกทั่วไปก็ต้องสร้างจนเต็มเหมือนกัน แต่ท่านไม่ได้กำหนดไว้ ถ้าระดับพระมหาสาวก ผู้เลิศด้านใดด้านหนึ่งก็ 1 แสนมหากัป ก็ต้องมีกำลังตรงนี้แหละ
เพราะฉะนั้นแต่ละคน การปฏิบัติ บางคนยั้งตัวได้ดีแล้วกำลังขึ้นระดับได้ดี บางคนนี่มันไม่ขึ้นเลย เพราะว่ากำลังสติที่จะแยกตัวมันต้องมีแรงขับ ที่เรียกว่าบารมีนั่นเอง
ต้นทุนแต่ละคนไม่เท่ากัน มันไม่ใช่สิ่งที่สร้างกันชาติเดียว แต่มันต้องผ่านการเพาะบ่มกันนับภพชาติไม่ถ้วน
บางคนกำลังดีมาก เดี๋ยวฝึกพอยั้งตัวได้ ยกขึ้นสู่วิปัสสนาได้เลย เพราะว่ามันพร้อมจากภายในนั่นเองนะ
เหมือนในสมัยพุทธกาล โดยเฉพาะยุคแรก ๆ ฟังธรรมปุ๊บบรรลุธรรมฉับพลัน เพราะว่ากำลังบารมีสร้างมาจนเต็มเปี่ยมแล้วนะ บางท่านนี่ล้นแล้วกว่าจะได้รอพบพระพุทธเจ้านี่ สร้างกันจนล้น
เพราะฉะนั้นแต่ละคนมีแรง มีกำลังไม่เท่ากัน มันเป็นเรื่องเป็นสิ่งที่ต้องเพาะบ่มกันมานั่นเอง
บนคนต้นทุนไม่ดี ก็จะแรงดึงโลกเยอะ ยั้งตัวสติยาก เพราะว่ากำลังน้อย ก็อย่าไปท้อถอยนะ ก็ให้เพียรสร้างเหตุปัจจัยที่ถูกต้อง โดยเฉพาะการที่เราเกิดขึ้นมาในยุคพระพุทธศาสนา มันเป็นโอกาสที่จะสร้างบารมีได้มากทีเดียว
การสร้างบารมีในยุคไม่มีพระพุทธศาสนา กับยุคพระพุทธศาสนา ต่างกันโดยสิ้นเชิงทีเดียว เราเวียนเกิดอีกเป็นล้านชาติ อาจจะยังไม่เท่ากับการที่เราเกิดขึ้นมาในยุคพระพุทธศานาแค่ครั้งเดียวก็ได้ มันคือโอกาสอันล้ำค่าที่สุดทีเดียว
เพราะกว่าจะพบแต่ละครั้ง นี่มัน … ยากยิ่งนัก โดยเฉพาะคนที่แบบไม่ได้มี … ต้องพิเศษจริง ๆ ถึงจะได้มีโอกาสพบพระพุทธศาสนาในแต่ละยุค ต้องสร้างกันขนาดหนัก
เพราะฉะนั้นอย่าปล่อยโอกาสให้หลุดลอยไป
อดีตผ่านไปแล้ว มันทำอะไรไม่ได้แล้ว แต่ปัจจุบันมันสำคัญยิ่ง
เราเกิดขึ้นมาในยุคพระพุทธศานา มันเป็นโอกาสที่เราจะสร้างบารมีทั้ง 10 ทัศ ให้มันเต็มเปี่ยม
  • ทานบารมี กำลังใจในการให้ ในการสละออก
ถ้าระดับพระพุทธเจ้า ท่านแบ่งเป็น 3 ระดับ ที่เรียกว่าบารมี 30 ทัศ บารมีชั้นต้นก็สละทรัพย์ต่าง ๆ บริจาค บารมีระดับอุปบารมีสละอวัยวะเลย ระดับพระโพธิสัตว์ สละดวงตา สละเลือดเนื้อ ถ้าระดับปรมัตบารมี ก็คือสละชีวิตเพื่อผู้อื่น
ท่านบำเพ็ญมหาบริจาคทั้ง 5 นับครั้งไม่ถ้วน ทรัยพ์สมบัติ อวัยวะ สละควักดวงตา เลือดเนื้อให้นับไม่ถ้วน สละชีวิต สละบุตรและภรรยา
จริง ๆ แล้ว บุตรภรรยานี่สละยากนะ เพราะมันเนื่องด้วยชีวิตผู้อื่น อย่างชาติพระเวสสันดรต้องสละ โอ้โห … สละชีวิตตัวเองนี่พระองค์ไม่หวั่นไหวเลย แต่สละบุตรธิดาเป็นแก้วตาดวงใจนี่ ก็สะอึกหนัก ต้องผ่านการสละแบบนี้ขนาดหนักนับภพชาติไม่ถ้วน แต่นั่นคือระดับผู้ที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้านะ
ถ้าระดับทั่วไปก็บารมีพื้น ๆ 10 ทัศ
กำลังใจในการให้ ทานบารมี
  • ศีลบารมี
ศีลบารมี กำลังใจในการรักษาศีล
ถ้าระดับเข้ม ก็เรียกว่า ยอมตายดีกว่าศีลขาดทีเดียว
ก็เอากำลังใจตัวเองมาวัด ว่าตอนนี้เราถึงระดับนั้นหรือยังนะ
  • เนกขัมบารมี
เนมขัมบารมี ในการออกจากกาม ออกจากภพต่าง ๆ เห็นโทษภัยในวัฏฏะ
  • ปัญญาบารมี
ปัญญาบารมี ความเป็นผู้มีปัญญานี่มันก็มีระดับโลกิยะ และระดับโลกุตตระ
  • วิริยบารมี
วิรยบารมี ผู้มีความเพียร ไม่ย่อหย่อน
  • ขันติบารมี
ขันติบารมี ความอดทนอดกลั้น
  • สัจจะบารมี
สัจจะบารมี การตรงต่อสัจจะความจริง คำว่า สัจจะ มันไม่ใช่เฉพาะการพูดคำสัจเท่านั้นนะ มันคือสัจจะ เที่ยงตรงต่อความจริง แน่วแน่ เหมือนดาวนพเคราะห์ที่โคจรรักษาวิถีอย่างมั่นคง ทำหน้าที่ของตนอย่างเที่ยงตรง
  • อธิษฐานบารมี
อธิษฐานบารมี ตั้งใจไว้แล้ว ไม่หวั่นไหวแล้ว เป้าหมายชัดเจน
  • เมตตาบารมี
เมตตาบารมี ความชุ่มเย็น เหมือนฝนที่ตกทั่วฟ้า ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง จะคนดีคนเลวก็แผ่ความชุ่มเย็นให้ไม่มีประมาณ
  • อุเบกขาบารมี
อุเบกขาบารมี เข้าถึงความเป็นกลาง อันนี้เป็นบารมีชั้นยอดเลย อุเบกขา เพราะว่าธรรมชาตินั้นมีความเป็นกลาง จะคืนสู่ความเป็นธรรมชาติ ก็ต้องคืนสู่ความเป็นกลางนั่นเอง ท่านจึงจัดไว้เป็นข้อสุดท้าย ที่เรียกว่า อุเบกขาบารมี
เพราะฉะนั้นของเก่าเป็นไงไม่รู้ มันไม่สำคัญเท่าของปัจจุบัน
แต่ละวันเพาะบ่มตนเองให้ดีนะ อย่าปล่อยเวลาให้มันล่วงเลยไปโดยเปล่าประโยชน์
ถึงแม้เราจะเกิดมาในยุคที่อายุขัยมันสั้นนะ แต่ถ้าเราตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ศึกษาปฏิบัติธรรมให้ดี มันคือโอกาสที่ล้ำค่าที่สุด ตลอดระยะเวลาที่ท่านทั้งหลาย เวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารมาอย่างยาวนานทีเดียว
มันไม่สำคัญหรอกว่าอดีตเคยเป็นอะไร เคยทำอะไรมา มันสำคัญว่าปัจจุบันเรากำลังจะทำอะไรอยู่ต่างหาก … "
.
ธรรมบรรยาย
โดย พระมหาวรพรต กิตฺติวโร
Photo by : Unsplash

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา