14 ก.ย. 2022 เวลา 05:54 • หนังสือ
#122 CWG. 4️⃣ — บทที่ 2️⃣8️⃣ (ตอนที่ 3) : กฎจักรวาลถูกสร้างขึ้นเพื่อสร้างพื้นที่ให้เธอสามารถสำแดงและมีประสบการณ์ถึงตัวเองได้
▪️ผู้แปล : แอดมิน
{🔸ซึ่งผมอาจนำคำแปลบางส่วน ของคุณซิม จากเพจ Books for Life มาใช้ด้วยครับ ก็ขอขอบคุณมา ณ ที่นี้ที่ทำให้งานแปลมันสมบูรณ์ขึ้นครับ 🙏 นี่เป็นงานแปลที่ผมตั้งใจแปลมาก ๆ หากมีข้อผิดพลาดประการใดก็ขออภัยมา ณ ทีนี้ด้วยครับ🔸}
Q : So are you seriously suggesting that we ignore the laws of time and space? Isn’t that rather like suggesting to a person who entertains delusions of grandeur to go ahead and jump out of an airplane without a parachute because he can just ignore the law of gravity and can fly?
นีล : เอาจริงดิ พระองค์กำลังชี้นำให้เราเพิกเฉยต่อกฎแห่งเวลาและพื้นที่ว่างงั้นหรือครับ❓ นั่นจะไม่เป็นการชักนำให้คนหลงผิดคิดว่าตนเองเป็นผู้วิเศษ (ที่สามารถทำได้แบบเดียวกับที่พระเจ้าทำ) แล้วไปเปิดประตูเครื่องบิน จากนั้นก็ลองกระโดดออกไปโดยไม่ใส่ร่มชูชีพ เพราะเขาคิดว่าเขาสามารถเพิกเฉยต่อ "กฎแห่งแรงโน้มถ่วง" และสามารถบินได้ รึเปล่าครับเนี่ย❓
A : I’m not suggesting that you ignore any of the laws of the universe as you understand them. I’m suggesting that you use them.
พระเจ้า : ฉันไม่ได้กำลังชี้นำให้เธอเพิกเฉยต่อกฎใด ๆ ของจักรวาลตามที่เธอเข้าใจหรอกนะ ฉันแค่แนะนำให้เธอ “นำพวกมันไปใช้ให้เกิดประโยชน์” ต่างหาก★
★เหมือนมีเครื่องมืออยู่กับตัวแต่ไม่รู้วิธีนำไปใช้ เลยต้องปล่อยมันเอาไว้เฉยๆโดยเปล่าประโยชน์ อะไรประมาณนั้นครับ —แอดมิน—
.
Q : How do we use them? And how would the average person even know that they are illusions? They sure seem real enough to us.
นีล : แล้วเราจะนำกฎเหล่านั้นมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ยังไงครับ❓ และคนทั่วไปจะรู้ได้อย่างไรว่าพวกมันเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา❓ สำหรับพวกเราแล้วกฎต่างๆเหล่านั้นมันดูเหมือนจริงแบบสุดๆ
A : They're supposed to. That’s the whole point of them. They were created to produce a Contextual Field within which you could express and experience your Self at the highest level—and then the next highest level, and the next, and so on through all of your life . . . and all of your lives.
พระเจ้า : ก็สมควรเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว เพราะนั่นคือจุดประสงค์ทั้งหมดของพวกมัน กฎทั้งหลายถูกสร้างขึ้นเพื่อสร้างสนาม (พื้นที่) แห่งประสบการณ์ (จักรวาล) ที่เธอสามารถสำแดงและมีประสบการณ์ถึงตัวตนของเธอในระดับสูงสุดได้ —จากนั้นก็มีประสบการณ์ถึงตัวเธอเองในระดับสูงสุดขั้นถัดไป และถัดไป และถัดไป ไปตลอดชั่วชีวิต (อันเป็นนิรันดร์) ของเธอ . . . และยังเป็นสนามแห่งประสบการณ์ให้กับทุกๆชาติภพ (ตัวตน)★ ของเธอด้วย
★ตัวตนทั้งหมดของเราที่ใช้ชีวิตอยู่ในห้วงเวลาอื่นๆอีกมากมายนับไม่ถ้วน —แอดมิน—
.
Q : But my two questions still stand. How do we use these illusions, and, excuse me, but how can we even know that are illusions? Personally, I love the DVD analogy, but is there any way that this can be proven?
นีล : แต่คำถามทั้งสองข้อของผมยังคงไม่ได้รับคำตอบ นั่นคือ เราจะใช้ภาพลวงตาเหล่านี้ได้อย่างไร และโทษทีนะครับ แต่เราจะรู้ได้ยังไงว่านั่นเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา❓ โดยส่วนตัวแล้วผมชอบการเปรียบเทียบเรื่องแผ่นดีวีดีของพระองค์นะครับ แต่เรื่องนี้มีข้อพิสูจน์อะไรบ้างไหมครับที่จะยืนยันได้ว่ามันคือเรื่องจริง❓
A : You best use the illusions by understanding and realizing that time and space are not what they seem, and that you can react and respond to them in a variety of ways to produce a variety of experiences.
พระเจ้า : วิธีใช้ภาพลวงตาเหล่านี้ได้ดีที่สุดก็คือ การทำความเข้าใจและตระหนักรู้ให้ได้อย่างถ่องแท้ว่า “เวลาและพื้นที่ว่าง” ไม่ได้เป็นอย่างที่ปรากฏให้เห็น (ไม่ได้เป็นอย่างที่เธอคิดไปเอง) และเธอสามารถโต้ตอบและมีปฏิสัมพันธ์กับพวกมันได้หลากหลายวิธีมากเพื่อสร้างประสบการณ์ที่หลากหลายและแตกต่าง
For instance, have you ever noticed that “time flies while you're having fun”? Conversely, have you ever noticed that three weeks can seem like three months when you're waiting for something special or important?
ตัวอย่างเช่น เธอเคยสังเกตไหมว่า “เวลาจะผ่านไปอย่างรวดเร็วในตอนที่เธอกำลังมีความสุขหรือกำลังสนุก”❓★ ในทางกลับกัน เธอเคยสังเกตไหม 3 สัปดาห์ อาจรู้สึกเหมือน 3 เดือน เมื่อเธอกำลังรอคอยบางสิ่งที่พิเศษหรือสำคัญมากๆอยู่❓
★ใครที่ติดเกมส์จะเข้าใจตรงนี้ได้ดีเลยครับ 😁 หรือ ใครที่ได้อยู่กับคนที่ตัวเองรักชอบ (ตอนช่วงแรกๆ 😂) จะรู้สึกว่าเวลาผ่านไปไวมากๆ
—แอดมิน—
1
.
Q : Yes, and I’ve also noticed that nothing makes me more productive than “the last minute.”
นีล : ครับ และผมยังสังเกตเห็นด้วยว่า ไม่มีช่วงเวลาไหนที่ทำให้ผมทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากไปกว่าช่วง “นาทีสุดท้าย”
A : That’s right. You can accomplish more in four hours than you might normally do in two days when it’s the last four hours you have!
พระเจ้า : ใช่แล้ว เธอสามารถบรรลุสิ่งต่างๆ ได้ด้วยการใช้เวลาเพียงแค่ 4 ชั่วโมง ทั้ง ๆ ที่ปกติแล้วต้องใช้เวลาถึง 2 วัน หากนั่นคือเวลา 4 ชั่วโมงสุดท้ายที่เธอเหลืออยู่❗
Now here is how understanding this can become practical: You can accomplish more in conserving Earth’s resources, protecting its environment, improving human conditions on the planet, and experiencing your own personal transformation in the next ten days than you did in the previous hundred, and in the next ten years than you did in the previous century, if you choose to.
ต่อไปนี้คือวิธีการที่เธอสามารถนำสิ่งที่รู้และเข้าใจไปปฏิบัติใช้จริงได้ในชีวิต : เธอสามารถประสบผลสำเร็จได้มากขึ้นในการอนุรักษ์ทรัพยากรของโลก การปกป้องสิ่งแวดล้อม การปรับปรุงคุณภาพชีวิตของมนุษย์บนโลก และชีวิตของเธอจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น ทั้งหมดนี้ใช้เวลาแค่ 10 วัน โดยใช้เวลาน้อยกว่าที่เธอเคยใช้มาแล้วก่อนหน้านี้เป็น 100 วัน และจะใช้เวลาแค่ 10 ปี น้อยกว่าเวลาที่เธอเคยใช้มาแล้วก่อนหน้านี้เป็น 100 ปี หากเธอเลือกที่จะทำมัน (เดี๋ยวนี้เลย)
The first step in making this possible would be to accept that Time is an illusion, and not let yourself be limited or discouraged by “how little time” it seems you have—or allow yourself to become apathetic because of “how much time” you think you have.
ขั้นตอนแรกในการทำให้สิ่งเหล่านี้เป็นไปได้ก็คือ #จงยอมรับว่าเวลาเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา และอย่าปล่อยให้ตัวเองถูกจำกัดหรือท้อใจไปกับ ความรู้สึกลวงว่าเธอนั้นมี “เวลาแค่เพียงน้อยนิด” — หรือปล่อยให้ตัวเองเฉื่อยชาหรือไม่กระตือรือร้นเพราะการคิดไปเองว่าตัวเองมี “เวลามากมายเหลือเฟือ”
Let the assessment of your abilities and the setting of your goals have nothing to do with time. Free yourself from those artificial constraints. You really can, as your old saying goes, begin doing right now what you have been putting off until “tomorrow.”
ให้การประเมินความสามารถในการทำงานและการตั้งเป้าหมายใดๆก็ตามของเธอนั้นไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับ ‘เวลา’ ปลดปล่อยตัวเองจากข้อจำกัดปลอมๆทั้งหลายเหล่านั้น (ที่เธอคิดไปเองว่าเธอมี) จริงๆแล้วเธอสามารถ “ทำได้ และ เป็นได้” ทุกอย่าง และเธอสามารถเริ่มทำอะไรก็ตามที่เธอพลัดไว้ว่า “พรุ่งนี้ค่อยทำก็ได้” ได้ตั้งแต่ตอนนี้เลย (เลิกพลัดวันประกันพรุ่ง)
1
As for proof, in terms of physics and not simply DVD analogies, that time as you understand it is an illusion: You are aware, are you not, that if you were to take a ride in a spacecraft and travel far enough fast enough away from Earth, and if you could turn around and look back at Earth and gaze upon your brother, you would not see what is happening in his “now,” but in his past, yes?
สำหรับข้อพิสูจน์ในเรื่องของเวลาตามที่เธอเข้าใจแล้วว่ามันคือภาพลวงตา ในแง่ของฟิสิกส์ที่ไม่ได้เป็นแค่การเปรียบเทียบกับแผ่นดีวีดีอีกต่อไป นั่นคือ : เธอรู้ใช่ไหมว่า ถ้าเธอนั่งยานอวกาศและเดินทางได้เร็วพอและไกลพอจากโลก จากนั้น หากเธอสามารถหันกลับมามองโลกและจ้องมองไปที่พี่ชายของเธอได้ สิ่งที่เธอจะเห็นไม่ได้เป็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับเขาอยู่ “ในปัจจุบัน” แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้ว “ในอดีต” ของเขา ถูกต้องไหม❓
(มีต่อ)

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา