24 ก.ย. 2022 เวลา 14:38 • ปรัชญา
“โลกียะสัมมาทิฏฐิ VS โลกุตตระสัมมาทิฏฐิ”
ภิกษุ ท. ! สัมมาทิฏฐิ เป็นอย่างไรเล่า?
ภิกษุ ท. ! เรากล่าวแม้สัมมาทิฏฐิว่ามีอยู่โดยส่วนสอง
คือ สัมมาทิฏฐิ ที่ยังเป็นไปกับด้วยอาสวะ(สาสว) ๑
เป็นส่วนแห่งบุญ (ปุญญภาคิย)
มีอุปธิเป็นวิบาก (อุปธิเวกฺก) ก็มีอยู่
สัมมาทิฏฐิ อันเป็นอริยะ (อริย)
ไม่มีอาสวะ (อนาสว) เป็นโลกุตตระ (โลกุตฺตร)
เป็นองค์แห่งมรรค (มคฺคงฺค) ก็มีอยู่
ภิกษุ ท. ! สัมมาทิฏฐิ ที่ยังเป็นไปกับด้วยอาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ มีอุปธิเป็นวิบากนั้นเป็นอย่างไรเล่า?
คือสัมมาทิฏฐิที่ว่า “ทานที่ให้แล้ว มี(ผล). ยัญที่บูชาแล้ว มี(ผล) การบูชาที่บูชาแล้ว มี(ผล). ผลวิบากแห่งกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่ว มี. โลกนี้ มี. โลกอื่น มี. มารดา มี. บิดา มี.โอปปาติกะสัตว์ มี. สมณพราหมณ์ที่ไปแล้วปฏิบัติแล้วโดยชอบ ถึงกับกระทำให้แจ้งโลกนี้และโลกอื่น ด้วยปัญญาโดยชอบเอง และประกาศให้ผู้อื่นรู้ก็มีอยู่” ดังนี้.
ภิกษุ ท. ! นี้คือ สัมมาทิฏฐิ ที่ยังเป็นไปกับด้วยอาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ มีอุปธิเป็นวิบาก.
ภิกษุ ท. ! สัมมาทิฏฐิ อันเป็นอริยะ ไม่มีอาสวะ เป็นโลกุตตระ เป็นองค์แห่งมรรค นั้นเป็นอย่าง ไรเล่า?
คือสัมมาทิฏฐิที่ได้แก่ ปัญญา ปญัญินทรีย์ ปัญญาพละ ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ และสัมมาทิฏฐิ ที่เป็นองค์แห่งมรรคของผู้มีอริยจิต ของผู้มีอริยจิต ของผู้มีอนาสวจิต ของผู้เป็นอริยมัคคสมังคี ผู้เจริญอยู่ ซึ่งอริยมรรค.
ภิกษุ ท. ! นี้คือสัมมาทิฏฐิ อันเป็นอริยะ ไม่มีอาสวะ เป็นโลกุตตระ เป็นองค์แห่งมรรค.
(ผู้ศึกษาพึงสังเกตให้เห็นว่าสัมมาทิฏฐิๆคำเดียวกันนี้แยกออกไปได้อย่างตรงกันข้าม คือพวกหนึ่งมี อาสวะ เป็นไปเพื่ออาสวะมีส่วนแห่งบุญอันเป็นอุปธิมีลักษณะเป็นตัวตนหรือเนื่องด้วยตัวตน
ส่วนสัมมาทิฏฐิอีกชนิดหนึ่งนั้นตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง ไม่มีลักษณะแห่งตัวตน ไม่เกี่ยวข้องกับบุญ แถมยังนำไปสู่โลกุตตระด้วย
จึงแบ่งแยกเป็นโลกิยสัมมาทิฏฐิ และโลกุตตรสัมมาทิฏฐิ ไม่พึงนำไปปนกัน หรือใช้แทนกัน อย่างที่พูดกันอย่างสะเพร่า หรือหละหลวมจนเข้าใจธรรมะในพระพุทธศาสนาไม่ได้ ขอให้ช่วยกันระวังให้มากที่สุด).
อ้างอิง :
Photo by : Unsplash

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา