27 ก.ย. 2022 เวลา 08:00 • สิ่งแวดล้อม
'กฎหมายสิ่งแวดล้อม' ในยุค 'มนุษย์ครองโลก' (Anthropocene)
วิวัฒนาการของมนุษย์สัมพันธ์กับความเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ นั่นทำให้มนุษย์สามารถก้าวผ่านยุคแห่งธรณีวิทยามาได้หลายล้านปี จนพัฒนามาเป็นมนุษย์ที่มีความรู้และทักษะอย่างมหาศาลในปัจจุบัน
การปรับตัวและวิวัฒนาการอันนำพาความเจริญทางวัตถุและวัฒนธรรมมาสู่สังคมมนุษย์ มีปัจจัยสำคัญคือการใช้ประโยชน์จากสิ่งแวดล้อม ยุค ‘โฮโลซีน’ (Holocene) ซึ่งเผ่าพันธุ์มนุษย์เติบโต เพิ่มจำนวน และกระจายตัวอยู่ทั่วโลก เป็นยุคที่เกิดการเปลี่ยนแปลงสำคัญกับโลกเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในด้านนิเวศวิทยาและธรณีวิทยา
หากแต่ผลลัพธ์ที่ทิ้งร่องรอยไว้ในธรรมชาติคือหนึ่งในข้อมูลสำคัญที่ทำให้เกิดข้อสันนิษฐานว่า ยุคแห่งธรณีกาลได้เปลี่ยนแปลงไปสู่อีกยุคหนึ่ง ซึ่งเรียกว่า ‘แอนโธรพอซีน’ (Anthropocene) โดยมีหลักการสำคัญคือ การที่โลกปรับหาสมดุลใหม่อีกครั้งเพื่อรับมือกับผลกระทบที่มนุษย์ได้ก่อไว้ต่อธรรมชาติ
ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นบนโลกเรียกร้องให้มนุษย์หันกลับมาตระหนักและให้ความสำคัญต่อสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ แม้ว่ายุคแอนโธรพอซีนอาจยังไม่ถูกยอมรับอย่างเป็นทางการ แต่ความเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติเป็นสิ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้ การปรับตัวเพื่อรับมือจึงมีความจำเป็น โดยมนุษย์มีกฎหมายสิ่งแวดล้อมเป็นเครื่องมือสำคัญในการจัดการควบคุมกิจกรรมของประชากร ก่อนที่ผลลัพธ์อันร้ายแรงในทางธรรมชาติจะมาถึงตัว
  • แอนโทรพอซีนคืออะไร?
‘แอนโธรพอซีน’ หรือ ‘มนุษยสมัย’ เป็นคำศัพท์ทางวิชาการซึ่งใช้เรียกยุคสมัยทางธรณีวิทยาที่มีมนุษย์เป็นผู้กระทำให้เกิดผลลัพธ์อันรุนแรงต่อโลก โดยพอล เจ ครุตเซน (Paul J. Crutzen) นักอุตุนิยมวิทยาและนักเคมีบรรยากาศชาวอังกฤษ ได้เสนอแนวคิดนี้ไว้เมื่อปี ค.ศ. 2000
ครุตเซนระบุว่า แม้โลกจะยังถูกกำหนดว่าอยู่ในยุคโฮโลซีน ตามการยอมรับอย่างเป็นทางการ แต่หากพิจารณาไปถึงหลักฐานทางธรณีวิทยาที่ปรากฏขึ้นนับตั้งแต่ปี 1950 ซึ่งเป็นช่วงการปฏิวัติอุตสาหกรรม จะพบว่าค่าความเข้มข้นของก๊าซเรือนกระจกในบรรยากาศ โดยเฉพาะก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าชมีเทนทั่วโลกเพิ่มสูงขึ้นโดยมีปัจจัยสำคัญมาจากกิจกรรมของมนุษย์
  • แอนโทรพอซีน เริ่มต้นขึ้นเมื่อไหร่?
หากพิจารณาไปถึงหลักฐานทางธรณีวิทยาที่ปรากฏขึ้นนับตั้งแต่ปี 1950 ซึ่งเป็นช่วงการปฏิวัติอุตสาหกรรม จะพบว่าค่าความเข้มข้นของก๊าซเรือนกระจกในบรรยากาศ โดยเฉพาะก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าชมีเทนทั่วโลกเพิ่มสูงขึ้นโดยมีปัจจัยสำคัญมาจากกิจกรรมของมนุษย์
หลักฐานอีกข้อที่รองรับข้อเสนอของครุตเซนคือ การเติบโตของประชากรโลกแบบก้าวกระโดด โดยในปี ค.ศ.1900 ประชากรโลกมีจำนวนประมาณ 1.65 พันล้านคน แต่เมื่อปี ค.ศ. 2000 จำนวนประชากรกลับเพิ่มสูงเป็น 6 พันล้านคน ซึ่งแปรผันตรงกับการเติบโตทางเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมโลกในขณะนั้น การขยับขยายครอบครัว ชุมชน ไปจนถึงความเป็นเมือง ส่งผลให้มนุษย์ประกอบกิจกรรมทางสังคมและการดำรงชีวิตมากขึ้น โดยทิ้งผลลัพธ์ไว้ในบรรยากาศ น้ำ และตะกอนดินทับถม และส่งผลกระทบโดยตรงต่อระบบนิเวศของโลก
  • แอนโทรพอซีน ทำให้เกิดอะไรกับโลก?
ดร.สรณรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์ นักนิเวศวิทยา นักสิ่งแวดล้อม และอดีตประธานมูลนิธิโลกสีเขียว อธิบายถึงภาพรวมและผลกระทบในยุคแอนโธรพอซีนใน ‘การประชุมวิชาการระดับชาติ นิติพัฒน์-ธรรมศาสตร์ ครั้งที่ 7 อันเนื่องมาจากสมัยแอนโธรพอซีน: วิพากษ์กฎหมายสิ่งแวดล้อมจากหลากหลายมุมมอง’ ผลลัพธ์ที่น่ากังวลที่สุดคือการสูญพันธุ์ครั้งที่ 6 (The Sixth Extinction) นับจากการสูญพันธุ์ครั้งที่ 5 ของไดโนเสาร์เมื่อหลายล้านปีก่อน
ไม่เพียงเท่านั้น การสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตตั้งแต่เข้าสู่ยุคแอนโธรพอซีน จะเกิดในอัตราสูงที่ขึ้นประมาณ 1,000 เท่า จากอัตราการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตตามธรรมชาติ
นักวิทยาศาสตร์ปัจจุบันได้ศึกษาขีดความสามารถในการรองรับของโลก (Planetary Boundaries) พบว่าการสูญพันธุ์ครั้งที่ 6 จะทำลายความหลากหลายทางชีวภาพ ส่งผลถึงการรักษาสมดุลอันปลอดภัยในระบบนิเวศ ซึ่งในปัจจุบันมนุษย์เองก็กำลังเผชิญอยู่กับสมดุลที่เปลี่ยนไป ในลักษณะการปรับตัวเพื่อหาสมดุลใหม่ของโลกที่มนุษย์เองไม่เคยเจอมาก่อน และจะส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตทุกชนิดอย่างแน่นอน
  • ภาษีที่ดินรกร้าง ตัวเร่งทำลายความหลากหลายทางชีวภาพ
ปัจจัยหนึ่งที่สำคัญต่อการปรับปรุงแนวคิดและพฤติกรรมด้านสิ่งแวดล้อมภายใต้กรอบของสังคมมนุษย์คือ การกำหนดข้อกฎหมายด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อควบคุมดูแลพฤติกรรมและการวางแผนนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมให้สอดคล้องกับสถานการณ์ อยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ของการอนุรักษ์ แต่กฎหมายสิ่งแวดล้อมของประเทศไทยในปัจจุบันยังมีข้อพิพาทในด้านนิเวศวิทยาอยู่เช่นเดียวกัน
ดร.สรณรัชฎ์ ยกตัวอย่างภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งระบุข้อกำหนดเรื่องการเก็บภาษีที่ดินรกร้างว่างเปล่า โดยมีเพดานภาษีสูงสุดอยู่ที่ 1.2 เปอร์เซ็นต์ และจะเพิ่มขึ้นเป็น 3 เปอร์เซ็นต์ หากที่ดินรกร้างนั้นถูกปล่อยทิ้งไว้ติดต่อกัน 3 ปี ซึ่งสูงกว่าการเก็บภาษีจากที่ดินประเภทอื่น
ดร.สรณรัชฎ์ ให้ความเห็นว่าข้อกำหนดการเก็บภาษีดังกล่าว ส่งผลให้ผู้ถือครองที่ดินเลือกจะดำเนินการให้พื้นที่นั้นไม่เป็นพื้นที่รกร้างอีกต่อไป ในขณะที่การมีอยู่ของพื้นที่รกร้างหลายแห่งนับเป็นจุดรวมความอุดมสมบูรณ์และความหลากหลายของระบบนิเวศที่สำคัญอันเกิดขึ้นตามธรรมชาติ โดยเฉพาะพงหญ้าซึ่งเป็นพื้นที่สำคัญในการรองรับการเติบโตและขยายพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตหลายชนิด และป่าชายเลนธรรมชาติที่เป็นศูนย์อนุบาลสัตว์น้ำและแหล่งสมบูรณ์ของความหลากหลายทางชีวภาพ
  • เพราะเหตุใดหลักกฎหมายจึงไม่ตอบโจทย์กับปัญหาสิ่งแวดล้อม?
ผศ.ดร.นัทมน คงเจริญ คณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ให้ความเห็นว่าสิ่งที่ไม่สอดคล้องของกฎหมายและการปรับใช้ในทางนิเวศวิทยามีอยู่ 2 ประเด็น คือ
  • 1.
    บทบัญญัติกฎหมายพยายามสร้างความเป็นธรรมจากสายตามนุษย์ โดยมีมนุษย์เป็นศูนย์กลางและมีทุนนิยมเป็นจุดยืนหลัก ทำให้มองข้ามความแตกต่างหลากหลายในทางชีวภาพของสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ด้วยกันเอง
  • 2.
    กระบวนการทางกฎหมายที่ต้องการความเป็นธรรมอย่างเคร่งครัด หลายครั้งต้องพิสูจน์หาหลักฐานอันมาจากปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม จนขาดความสมเหตุสมผลในการจัดการผลกระทบ เช่น การพิสูจน์ว่าผู้ป่วยปอดอักเสบมีสาเหตุมาจากฝุ่นในอากาศ การพิสูจน์การปล่อยมลพิษจนกว่าจะเจอตัวผู้ปล่อย เป็นต้น
  • ข้อเสนอทรัสต์ที่ดิน (Land Trust)
ดร.สรณรัชฎ์ ได้ให้ข้อเสนอถึงการออกกฎหมายภาษีที่ดินอัตราก้าวหน้าเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ ‘ทรัสต์ที่ดิน’ (Land Trust) ซึ่งเป็นการมอบสิทธิการจัดการที่ดินเพื่อสาธารณประโยชน์ให้แก่กลุ่มบุคคลหรือนิติบุคคลเป็นผู้ดำเนินการ โดยดึงทรัพย์สินส่วนบุคคลไปเป็นประโยชน์สาธารณะ เป็นการเพิ่มทางเลือกให้กับผู้ถือครองที่ดิน
  • ข้อเสนอเพื่อปรับปรุงกฎหมายให้สอดรับกับแอนโธรพอซีน
ผศ.ดร.นัทมน วิพากษ์ถึงแนวทางการปรับปรุงกฎหมายสิ่งแวดล้อมว่ายังต้องอาศัยการพัฒนาอีกหลายประการ เพื่อให้สามารถควบคุมจัดการการประกอบกิจกรรมของมนุษย์อันก่อให้เกิดผลกระทบต่อธรรมชาติ
ในกระบวนการปรับแก้กฎหมายและเพิ่มโทษสำหรับผู้ทำลายสิ่งแวดล้อม ยังต้องอาศัยบุคลากรในหลากหลายสาขาเพื่อร่างกลยุทธ์ให้สามารถใช้งานได้จริง รวมไปถึงการเพิ่มกระบวนการยุติธรรมทางสิ่งแวดล้อมและการจัดตั้งหน่วยงานรับผิดชอบที่ยังต้องการความร่วมมือจากนักวิชาการฝ่ายสิ่งแวดล้อมโดยตรงเข้ามามีส่วนร่วมในคดีสิ่งแวดล้อม ถ่วงดุลอำนาจองค์การฝั่งกฎหมาย และร่วมจัดการปัญหาสิ่งแวดล้อมโดยใช้ความรู้ความเข้าใจในด้านนิเวศศาสตร์
อ่านบทความเต็มได้ที่
โฆษณา