มีภาพที่ทั้งสองคนวาดกันและกันด้วยนะ มุ้งมิ้งแท้ ... แวนโก๊ะวาดโกแกง (Portrait of Gauguin, 1888) และโกแกงก็วาด Van Gogh ในภาพ Vincent van Gogh Painting Sunflowers (1888)
Portrait of Gauguin (1888) by Vincent Van Gogh
Vincent van Gogh Painting Sunflowers (1888) by Gauguin
Café Terrace at Night (1888) ภาพนี้แม้เป็นกลางคืนแต่ Van Gogh ยังสามารถใช้สีเหลืองสดเบอร์นี้อยู่ในภาพได้อย่างไม่โดด อัจฉริยะที่แท้ทรู เราเชื่อได้ว่ามันเป็นบรรยากาศ Café’ ท่ามกลางแสงไฟ ... และการใช้สีเดียวกันแต้มเป็น Perspective เข้าไปยิ่งทำให้ภาพมี Harmony และในขณะเดียวกันก็มีมิติมากขึ้นไปอีก ... เทพจริงเทพจัง
Café Terrace at Night (1888) Vincent Van Gogh
ตลอดชีวิตของ Van Gogh มีภาพเดียวที่ขายได้ในขณะที่ตัวพี่โก๊ะเองยังมีชีวิตอยู่คือภาพ The Red Vineyard (1888) ขายได้ราคาด้วยนะทุกคนถ้าเทียบเป็นเงินสมัยนี้ก็ได้ประมาณ 60,000 เลยทีเดียว เสียดายที่เป็นช่วงปลายของชีวิตพี่เค้าแล้ว อีกประมาณปีนึงต่อมาพี่โก๊ะก็จบชีวิตตัวเองลง
The Red Vineyard (1888) Vincent Van Gogh
รูปนี้ Van Goh ใช้สีสนุกมาก ทุกอย่างถูกลดทอนจนแทบไม่เหลือ Form อะไรแล้ว คนก็เป็นฝีแปรงปัด ๆ ปาด ๆ ให้เป็นเป็นสัณฐานโครงสร้างเท่านั้นเอง สิ่งหนึ่งที่เด่นและ Van Goh เน้นมากในภาพช่วงหลัง ๆ คือดวงตะวัน (และดอกทานตะวัน) เพราะดวงตะวันให้ “แสง” ซึ่งทำให้ “สี” ของพี่โก๊ะมี “ความหมาย” ดวงตะวันในภาพจึงมักถูกเน้นให้ใหญ่กว่าปกติเช่นในภาพนี้
คุณเอ๋ตีความว่าสีเหลืองน่าจะเป็นแสงสว่างในจิตใจ เป็นสัญลักษณ์ของความหวังในชีวิตที่ Van Gogh มองหา ในภาพของ Van Gogh จึงมีสีเหลือง พระอาทิตย์ หรือดอกทานตะวันอยู่เสมอ แม้แต่ในภาพกลางคืนสีเหลืองก็ยังเป็นแสงไฟในภาพและกินพื้นที่มากกว่าสีน้ำเงินของยามราตรีด้วยซ้ำ
ต่อมาที่ภาพ The Sower (After Millet) 1988 ยิ่งเมามันหนักกันเข้าไปใหญ่ เทคนิคแพรวพราววววว ...
The Sower (After Millet) 1988 Vincent Van Gogh
- เทคนิคการลงสีของรูปนี้ได้อิทธิพลมาจากศิลปิน Pointillism ที่ Van Gogh มีโอกาสได้เจอ นั่นคือคุณพี่ Georges Seurat (งาน Pointillism คือการใช้วิธีจุดสี การทำงานต้องถอยออกมาให้มีระยะแล้วดูจึงจะเห็นภาพรวม)
- ดวงอาทิตย์ในภาพนี้รัศมีเป็นกราฟฟิกซึ่งไม่ใช่วิถีของงานตะวันตก แต่เป็นการมองแบบตะวันออก โดยเฉพาะในงานศิลปะญี่ปุ่นซึ่งจะมองทุกอย่างออกมาเป็น Block เป็น Form เป็นเส้น เป็น Graphic
ไปต่อค่ะ ... เราเดินมาถึงรูปที่ดังเปรี้ยงปร้างที่สุดอีกรูปหนึ่งของ Van Gogh ค่ะ คือใครไม่รู้จักก็ต้องเคยเห็นแหละ เพราะมีคนเอาไปใช้เยอะแยะมากกกกก นั่นคือภาพ Starry Night Over the Rhone (1888) นั่นเองค่ะ
ภาพ Starry Night นี่มันมี 2 ภาพนะคะ ภาพแรกคือฟ้าพร่างดาวเหนือแม่น้ำ ส่วนภาพที่ 2 ซึ่งดังกว่าภาพแรกจะชื่อ Starry Night เฉย ๆ เลย เป็นภาพที่ Van Gogh มองออกมาจากหน้าต่างโรงพยาบาลซึ่งอยู่บนเนินเข้าก็จะเป็นท้องฟ้าพร่างดาวเหนือหมู่บ้าน ที่ท้องฟ้าจะมีความแปรปรวนของบรรยากาศ น่าจะเหมือนสภาพจิตใจของแวนโก๊ะตอนนั้นที่ค่อนข้างขึ้นลงรุนแรงแหละเนอะ
สำหรับภาพ Starry Night Over the Rhone พี่แวนโก๊ะใช้คู่สีที่สวยมาก อาจารย์ตุ้ยบอกว่าการที่จะตกผลึกออกมาเป็นคู่สีในแต่ละภาพได้แบบนี้ต้องผ่านกระบวนการคิด การตกผลึกภายในมาอย่างเยอะนะคะ เป็นกระบวนการที่เรียกว่า Internalized ค่ะ ซึ่งไม่สามารถเลียนแบบกันได้
Starry Night Over the Rhone (1888) Vincent Van Gogh
ช่วงสุดท้ายของชีวิต Van Gogh ต้องเข้าไปอยู่ในโรงพยาบาล เรียกแบบชาวบ้าน ๆ ก็คือโรงพยาบาลบ้า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ Van Gogh ถูกล้อเลียนมาตลอดชีวิตเลย (น่าสงสารอ่า) ตั้งแต่ช่วงวัยรุ่นเค้ามักจะถูกล้อ ถูกเรียกว่าเป็นคนบ้าเพราะทำอะไรไม่เหมือนมนุษย์มนาเค้า ในที่สุดหลาย ๆ อย่างที่เค้าพบเจอในชีวิตก็ทำให้เค้ามีปัญหาทางจิตใจและถูกส่งเข้ามารักษาในโรงพยาบาลจริง ๆ
ที่นี่ช่วงแรก ๆ Van Gogh ไม่ได้รับอนุญาตให้ทำอะไรมากนัก จากนั้นเมื่อได้รับอนุญาตเค้าก็วาดสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ ตัวที่เค้าเห็น ไม่ว่าจะแปลงดอกไม้ที่เค้าพอจะมองเห็นจากหน้าต่างในภาพ The Courtyard of the Hospital at Arles (1889) หรือเพื่อน ๆ และผู้คนรอบ ๆ ตัวในภาพ Ward in the Hospital in Arles (1889) แวนโก๊ะรู้สึกว่าผู้คนเหล่านี้เป็นเพื่อนไม่ได้มีอะไรผิดแปลก ก็เหมือนตอนที่เค้าไปอยู่กับคนยากคนจนในช่วงวัยรุ่น เค้าก็เก็บภาพชีวิตเหล่านั้นไว้ในงานของตัวเอง
The Courtyard of the Hospital at Arles (1889) Vincent Van Gogh
Ward in the Hospital in Arles (1889) Vincent Van Gogh
Pieta (After Eugene Delacroix) (1889) Vincent Van Gogh
โรงพยาบาลสุดท้ายที่ Van Gogh มีชีวิตอยู่คือโรงพยาบาล Saint-Paul ที่ Saint-Remy ค่ะ Theo เป็นคนยืนยัน (เรียกว่า “ไฝว้” น่าจะถูกกว่า) Theo ไฝว้กับโรงพยาบาลว่าการที่จะช่วยพี่ชายของตัวเองมีทางเดียวคือการวาดรูป จนในที่สุด Van Gogh ก็ได้รับอนุญาตให้วาดรูป รูปแรกที่ Van Gogh วาดจาก Courtyard ของโรงพยาบาลกลายเป็น Masterpiece ที่มีชื่อเสียงมาก นั่นคือภาพ Irises (1889)
Irises (1889) Vincent Van Gogh
และอีกรูปที่โด่งดังสุดๆ Van Gogh ก็วาดไว้ในช่วงนี้เช่นกัน นั่นคือภาพ The Starry Night (1889) เป็นภาพที่ Van Gogh เห็นจากหน้าต่างของห้องพักในโรงพยาบาล ภาพคืนหนึ่งที่ท้องฟ้าพร่างพราวไปด้วยดวงดาว แน่นอนว่าแวนโก๊ะเพิ่ม Element ที่ตัวเองสนใจลงไปด้วย Foreground เงาต้นสนในภาพมีความ Japanism สูงมาก ... และมีคนตั้งข้อสังเกตว่าในใจกลางภาพมีโบสถ์อยู่ด้วย Van Gogh อาจจมดิ่งย้อนกลับไปถึงวัยเด็กของตัวเองก็ได้นะคะ
- มีความเป็น Japanism ด้วยการตัดเส้นแบบญี่ปุ่นนิยม (คือการที่ทุกอย่างต้องมีกรอบร่างชัดเจน 😊) มีคนเอาภาพนี้ไปเทียบกับ The Great Wave ของ Katsushika Hokusai มีความเห็นอิทธิพลต่อภาพ The Starry Night อย่างชัดเจน ... เหมือนมาจากภาพเดียวกัน
The Great Wave by Katsushika Hokusai
ภาพ Starry Night ได้รับอิทธิพลจาก The Great Wave ของ Katsushika Hokusai
จนมีคนทำแบบนั้นจริงๆ 555 คือมีคนถึงขั้นเอาไป Merge เป็นภาพเดียวกัน แล้วมันก็ออกมา Amazing มากค่ะ มันอยู่ด้วยกันได้อย่างเนียนเลย สวยมากๆ ด้วย 😊 (The Great Starry Wave Of Kanagawa by csquaredisrippn on DeviantArt)
The Great Starry Wave Of Kanagawa by csquaredisrippn on DeviantArt
ช่วงนี้น่าจะเป็นช่วงที่ Van Gogh สนใจงานภาพพิมพ์ Wood Cut มาก ๆ ด้วย เพราะนอกจากจะเอามาเป็นต้นแบบแล้ว ยังเริ่มมีเริ่มมีการใช้เทคนิคเพื่อ “เลียน” ลักษณะของการทิ้งรอยไว้บนภาพแบบที่เป็นเอกลักษณ์ของงานภาพพิมพ์ไม้ด้วย เช่นในภาพ Wheat Field in the rain (1889)
Wheat Field in the rain (1889) Vincent Van Gogh
ซึ่งก็นะวัตถุดิบมีน้อยแหละ พอวาดอะไรพี่เค้าก็วาดมันออกมาเป็นซีรีย์เลย ใน Series Wheat Field นี้ วาด ๆ ไปก็พัฒนาเทคนิคลองโน่นนี่ไปเรื่อย ๆ
คุณเอ๋ตั้งข้อสังเกตหลังจากดูงานมาหลายสิบภาพว่า Van Gogh น่าจะได้อีกอิทธิพลมาจากงานและแนวคิดแบบตะวันออก นั่นคือแนวคิดที่ว่าธรรมชาติยิ่งใหญ่ มนุษย์นั้น “เล็กจ้อย” เพราะเค้ามักจะซ่อนบ้านหลังเล็ก ๆ ไว้ในสักมุมหนึ่งของภาพเสมอ
Enclosed Wheat Field with rising sun (1889) เป็นภาพที่ Van Gogh ลองเทคนิคใหม่อีกคือใช้ลินสีดเยอะ (ตัวทำละลายสี) ทำให้ไม่เห็น Stroke คล้าย ๆ เทคนิคของเซซาน การใช้สีไม่แคร์สีจริงในธรรมชาติ Van Gogh แทนค่าสีที่ตัวเองชอบลงไป (เช่นถนนกลายเป็นสีน้ำเงิน) perspective ก็บิดเบี้ยวตามอำเภอใจ
Enclosed Wheat Field with rising sun (1889) Vincent Van Gogh
ภาพต่อมาคือภาพ Two Peasant Women Digging in a snow-covered Field at sunset (After Millet) (1890) เป็นภาพที่ “ขยุม” รวม (ศัพท์คุณเอ๋ค่ะ ชอบมาก เห็นภาพสุด ๆ 555) ขยุมรวมทุกอิทธิพลทุกความสนใจของ Van Gogh
Sorrowing Old Man (At Eternity’s Gate) Vincent Van Gogh
ภาพต่อมา The Church at Auvers (1890) แสดงให้เห็นว่า Van Gogh หลุดไปแล้ว เป็นอิสระ สนุกกับการใช้สีและทดลองเทคนิคมากกว่าจะยึดติดกับรูปทรงใด ๆ อาจารย์บอกว่าน่าจะไม่ได้ร่างภาพก่อนเลยด้วยซ้ำ ปาดๆๆๆ เลย ผลคือโบสถ์เบี้ยวทั้งหลัง 555
ในช่วงท้ายของชีวิต Van Gogh วาดภาพท้องฟ้าเหนือท้องทุ่งข้าวสาลีไว้เยอะมาก พี่เค้าเขียนบอก Theo ในเดือน May 1890 (ตาย July 1890) ว่า...
“The vast fields of wheat under turbulent skies, they represented my sadness and extreme loneliness…The canvas can tell you what I cannot say in words, that is, how healthy and invigorating I find the countryside.”
ภาพสุดท้าย Tree Roots (July 1890) Van Gogh วาดแต่รากไม้ค่ะ เป็น Perception ที่แปลกมาก ... ไม่รู้ว่าเค้าเห็นภาพตัวเองอยู่ใต้ดินคุยกะรากไม้ละเปล่าเนาะ หรือวาดต้นไม้ ใบไม้ ดอกไม้จนเบื่อแล้วก็ไม่รู้
Tree Roots (July 1890) Vincent Van Gogh
ความพีคมันไม่จบลงตรงการจากไปของ Van Gogh ค่ะ เพราะ Supporter คนสำคัญของ Van Gogh นั่นคือน้องชายที่เค้ารักมากก็ยังไม่ทันได้ชื่นชมยินดีกับชื่อเสียงของพี่ชายตัวเองเลย หลังจาการตายของ Van Gogh เพียง 6 เดือน Theo เสียชีวิตลงเช่นกัน
คนที่เศร้าที่สุดน่าจะเป็นโจแอนนาภรรยาของ Theo ซึ่งเพิ่งแต่งงานกับ Theo ได้เพียง 1 ปีสามีก็มาจากไป แต่ก็เป็นโจแอนนานี่เองที่ทำให้ Van Gogh และงานของเค้ามีชื่อเสียงเพิ่มขึ้นและวางระบบวางรากฐานให้กับผลงานทั้งหมดของ Van Gogh (ที่จริงถ้าไม่เสียชีวิต Van Gogh กำลังจะถึงจุดที่เค้าใฝ่ฝัน งานของเค้าเริ่มขายได้ และเค้ากำลังจะมีงานนิทรรศการร่วมกับเซซานกับศิลปินอีกคน โดยเป็นนิทรรศการที่ประธานาธิบดีฝรั่งเศสจะมาเปิดงานเองด้วยนะทุกคน ... ฮือ เสียใจอ่า)