มีหนังสือที่เขียนชีวประวัติของ Van Gogh โดยเรียบเรียงจากจดหมายเหล่านี้ด้วยนะคะ ชื่อ Lust for Life, Irving Stone มีฉบับแปลไทยด้วย (ไฟศิลป์ : Lust for Life, เออร์วิง สโตน) คุณเอ๋บอกว่าอ่านสนุกมาก เหมือนนิยายเลย ซึ่งชีวิตแวนโก๊ะก็นะ ... ยิ่งกว่านิยายอีก
หนังสือชีวประวัติของ Van Gogh เรียบเรียงจากจดหมายที่ Van Gogh เขียน Lust for Life, Irving Stone มีฉบับแปลไทยด้วย (ไฟศิลป์ : Lust for Life, เออร์วิง สโตน)
หนังสือชีวประวัติของ Van Gogh เรียบเรียงจากจดหมายที่ Van Gogh เขียน ฉบับแปลไทย (ไฟศิลป์ : Lust for Life, เออร์วิง สโตน)
- 1873 (อายุ 20) รักแรกถูกปฏิเสธโดย Ersula ลูกสาวเจ้าของห้องเช่าใน London
- 1881 (อายุ 24) เกิดตอน Van Gogh ย้ายไปอยู่ที่ Etten, Netherland ครั้งนี้อาการหนักมาก Van Gogh หลงรัก Kee (เค) ลูกสาวของป้าตัวเอง (พี่สาวแม่) เคเป็นม่ายลูกติด ... คือไปเดินคุยกันอีท่าไหนไม่รู้ละ แวนโก๊ะเกิดตกหลุมรักขึ้นมา แล้วพี่แกก็ขอแต่งงานเลย!!! ใครจะไปแต่งด้วยยยย (เออ...ก็อาจจะมีนะ ถ้ามันป็น Love at first sight กันทั้งคู่ และอยู่ในเทพนิยายเนาะ แต่นี่คือแม่หม้ายที่ผ่านชีวิตมาแล้ว แถมมีลูกติดด้วยอีก 1 ... เคคงมองโลกแบบเป็นจริงมากกว่านั้น และก็คงไม่ได้คลิ้กกะพี่โก๊ะแกด้วยนั่นแหละ)
เอาเป็นว่าเคปฏิเสธปากคอสั่น Van Gogh เขียนเล่าให้ Theo ฟังว่าคำตอบของเคคือ “No, never, never” ... หลายเนเว่อร์กันเลยทีเดียว แวนโก๊ะเสียใจม๊าก แต่ด้วยความ Extreme ของฮีอ่ะนะ ฮีบอกว่าคำปฏิเสธแค่นี้ไม่ทำฮีเลิกพยายามในตัวเคซึ่งเป็น “She, and no other” ของฮีหรอก แวนโก๊ะยังคงพยายามอย่างมากที่จะทำให้เครับรักต่อไป พี่เค้าบอกว่าคำปฏิเสธของเคก็เหมือนน้ำแข็ง สักวันมันจะละลายไป ง่า ... เคคงหลอนอยู่เหมือนกันเนาะ
หนักๆ เข้าถ้าแวนโก๊ะมาที่บ้าน เคจะหลบไป ในที่สุดครั้งนึงตอนไปบ้านป้า แวนโก๊ะเอามือยื่นเข้าไปในตะเกียงแล้วขอให้คีออกมาพบ ... “Let me see her as long as my hands are in the flame” ... ตราบใดที่ได้เจอคีจะยอมอดทนไม่เอามือออกจากตะเกียง (... จับมือตัวเองเป็นตัวประกันก็มา) ... คือน่าจะเริ่มหลุดแล้วแหละ ลุงป้าต้องดับตะเกียงกันให้จ้าละหวั่น ... แล้วพี่มาเบอร์นี้ใครจะไม่กลัวววว
1882 ร่วมงานกับเพื่อนศิลปินตั้ง Studio ก็ไม่สำเร็จ (เพื่อนเป็นคนออกทุนด้วยนะ) เดือนเดียวแยกย้าย ว่ากันว่าเป็นเพราะเรื่องอารมณ์ของฮี
1886 Theo ออกเงินให้ไปเรียนศิลปะที่ Academy of Fine Arts ที่ Antwerp ก็ไปทะเลาะกับครูอีก เพราะครูให้วาด Venus of Milo ก็วาดไม่เหมือนใส่ความคิดของตัวเองเข้าไป เถียงครูตีกันวุ่นวาย เรียนไม่ได้อีก
สิ่งที่พิสูจน์ชัดเรื่องความพร่องด้านความสัมพันธ์ของ Van Gogh คือ Theo ซึ่งเป็นคนที่เค้ารักที่สุด มีช่วงนึงในปี 1886 ที่ 2 คนนี้ย้ายมาอยู่ด้วยกันที่ปารีส Theo ถึงกับเขียนว่าการอยู่กับ Van Gogh เป็นสิ่งที่ยาก ... ยากจนแทบทนไม่ไหว “Living with Van Gogh was almost unbearable”
ภาพหนึ่งที่อาจารย์เอามาให้ดูเป็นภาพที่แวนโก๊ะวาดตอนที่พ่อเค้าเสียชีวิตลงในปี 1885, Still Life with Open Bible, Extinguished Candle and Novel เป็นภาพเทียนที่ดับแสงลง มีไบเบิ้ลเปิดอยู่ ... ไบเบิ้ลคือตัวแทนของพ่อซึ่งเป็นผู้รับใช้พระเจ้า ภาพในช่วงแรกๆ ของ Van Gogh จะเป็นแนวนี้ทั้งหมดคือเป็นภาพ Realist
Still Life with Open Bible, Extinguished Candle and Novel (1885)
นี่คือจุดเริ่มต้นของงานแนวที่เป็นภาพจำของ Van Gogh ... เวลานึกถึง Van Gogh เรามักจะนึกถึงภาพที่มีสีสดมากๆ จริงๆ แล้วมันมี journey of art … ครั้งหนึ่งมันเคยเทาอยู่
ภาพเหล่านี้มีภาพ Sketch อยู่ใน Museum ด้วย เข้าใจว่ามีการร่างแบบก่อนลงมือจริง ผลของการ Study อย่างจริงจัง ทำให้งานญี่ปุ่นมีอิทธิพลกับ Van Gogh ทั้งเรื่องสี (ที่เป็นโทนร้อน สีสด แบบเอเชีย) และรูปฟอร์มอย่างมหาศาล
ในงานที่ไม่ใช่งาน Study … Van Gogh เริ่มมีการใช้สีสันมากขึ้นอย่างมากๆๆ (เมื่อเทียบกับงานในช่วงก่อนหน้านี้) รวมทั้งมีการให้ Background (Setting) ของภาพเป็นแนวญี่ปุ่นด้วย เช่น ภาพ Portrait of Pere Tanguy (1887) เป็นภาพเหมือนของฝรั่ง แต่อยู่ Background เป็น Gallery ภาพ Style ญี่ปุ่นงี้ ... มางัยไม่รู้ (อะไรเอ่ยไม่เข้ากัน เอาปากกามาวง) 555
Portrait of Pere Tanguy (1887) Vincent Van Goh
9.
Hopes grows in Arles (1888-9)
ในที่สุด Van Gogh ยายจากปารีสไปอยู่เมืองอาร์ลส์ซึ่งเป็นเมืองอุตสาตหกรรมทางตอนใต้ มันก็เป็นเขตเมืองที่สกปรกนะ (ลุงแกบ่น ... น่าจะในจดหมายถึง Theo น่ะแหละนะ) แต่ถึงซกมกแค่ไหน อาร์ลส์ก็เป็นเขตที่แดดดี มีแสงเยอะ มีต้นไม้ดอกไม้ มีธรรมชาติมากมาย มันทำให้ Van Gogh เห็น “แสงและสี” ซึ่งเค้าประทับใจมาก และเปิดไอเดียเค้าออกอย่างเต็มที่
ในภาพ Souvenir de Mauve, 1888 Van Gogh วาดต้นอัลมอด์มีดอกบานสีชมพูสดใสราวกับต้นซากุระ ตัดกับสีโทนฟ้าของท้องฟ้าและเขตเมืองอุตสาหกรรมที่เป็นฉากหลัง จากภาพนี้จะเริ่มเห็นการใช้สีที่ Contrast กันของพี่ท่าน และงานต่อๆ จากนี้ของ Van Gogh ก็จะใช้คู่สีตรงกันข้าม ตัดกันฉึบฉับมากขึ้นเรื่อยๆ
Souvenir de Mauve, 1888 Van Gogh
คุณนิ้วกลมเล่าถึง Moment น่ารักๆ ที่อยู่ข้างหลังภาพ Blossoming Almond Branch in a Glass with a Book (1888) ของแวนโก๊ะ ภาพนี้วาดที่เมือง Arles เนี่ยแหละ วันนึงพี่เค้าเดินไปตามถนนแล้วไปเห็นต้น Almond มีตุ่มเขียวๆ งอกออกมาจากกิ่งน่ารักดี (ไม่รู้ต้นเดียวกะภาพ Souvenir da Mauve ละเปล่านะคะ) ก็เลยเด็ดกลับบ้านมาด้วยกิ่งนึง (ตีมือเลย 555) แล้วเอามาปักใส่แก้วน้ำไว้ ปรากฏว่ามันงอกและมีดอกบานออกมา
อาจารย์เอาภาพ Dutch Flower Painting ชื่อ Still Life with Flowers in a Vase ของ Christoffel van den Berghe (1671) มาวางเทียบกับภาพ Sunflowers (1888) ของ Van Gogh เราจะเห็นความ Van Gogh ที่เป็น Japanism ชัดเจนมาก คือไม่มีมิติเหลือเลย ภาพแบนแต่ด และยึดหลักที่เค้าหลงไหลคือใช้ไม่กี่ Stroke จบ ซึ่งนับว่าแหวกโคตรๆ ...
Still Life with Flowers in a Vase ของ Christoffel van den Berghe (1671) วางเทียบกับภาพ Sunflowers (1888) ของ Van Gogh