27 พ.ย. 2022 เวลา 14:24 • ไลฟ์สไตล์
“ถ้าเราไม่เข้าใจจิตตัวเอง เราไม่เข้าใจธรรมะหรอก”
“ … กุญแจของการปฏิบัติ
ถ้าเรามีสัมมาสติมากๆ ก็จะทำให้สัมมาสมาธิของเราบริบูรณ์ อันนี้พระพุทธเจ้าบอกไว้เลย แต่ตอนนั้นจับหลักของการปฏิบัติไม่ได้ พอมาจับเรื่องจิตใจตัวเองได้ ก็เลยได้กุญแจของการปฏิบัติ
พอเรารู้ทันจิตของเราไว้ ทำกรรมฐานอะไรก็ได้ ทำกรรมฐานไปแล้วรู้ทันจิตตัวเองได้ก็โอเคแล้ว
1
ถ้าทำกรรมฐานแล้วรู้แต่กรรมฐาน ได้สมถะเฉยๆ เช่น เราหายใจเข้าพุท หายใจออกโธ แล้วก็อยู่แค่นั้น ก็สงบลงไป หรือดูท้องพองยุบ ดูจนจิตนิ่งๆ ว่างๆ ไป อันนั้นก็เป็นสมถะ ขยับมือแล้วจิตสงบลงไปก็เป็นสมถะ
แต่ถ้าเราทำกรรมฐานแล้วเรารู้ทันจิตของตนเอง
เช่น เราหายใจเข้าพุท หายใจออกโธ
จิตหนีไปคิดเรารู้
จิตถลำลงไปเพ่งลมหายใจ เรารู้
เราจะได้จิตที่ตั้งมั่นขึ้นมา มีสัมมาสมาธิ
หรือเราดูท้องพองยุบ
จิตหนีไปคิดเรื่องอื่น เราก็รู้
จิตถลำไปเพ่งท้อง เราก็รู้
ฝึกอย่างนี้มากๆ
พอเราฝึกมากๆ จิตใจเราก็จะมีสมาธิมากขึ้นๆ มันมีกำลัง มันตั้งมั่นด้วย มีกำลังด้วย แล้วตรงนี้เราจะเดินปัญญาต่อได้ อาศัยความเพียร ขยันหมั่นเพียรคอยรู้คอยดู
กิเลสอะไรเกิดเรารู้ กุศลเกิดเรารู้
จิตใจเราเป็นอย่างไรเรารู้
แล้วรู้ไปเรื่อยๆ สติก็จะแข็งแรงขึ้น
พอสติที่ดีเกิดขึ้นแล้ว สมาธิที่ถูกต้องก็จะเกิดด้วย
สัมมาวายามะที่ทำให้มาก จะทำให้สัมมาสติบริบูรณ์
สัมมาสติที่ทำให้มาก จะทำให้สัมมาสมาธิบริบูรณ์
เมื่อมีสัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิแล้ว
ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีปัญญา
เพราะว่ามันจะทำให้สัมมาญาณะ
คือตัวปัญญาของเรานี้บริบูรณ์ขึ้นมา
เมื่อปัญญาเราแก่รอบ
รู้แจ้งแทงตลอดลงในตัวขันธ์ 5 นี้
ว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
ปัญญาไม่ใช่รู้อย่างอื่น
ปัญญาในขั้นนี้รู้ไตรลักษณ์
รู้ไตรลักษณ์ของขันธ์ 5 ของรูป ของนาม ของกายของใจ
อาศัยสติ สมาธิ ทำให้มากๆ
ทำให้มากก็คือสัมมาวายามะ
แล้วสัมมาญาณะ คือความหยั่งรู้ที่ถูกต้องก็จะเกิดขึ้น
หยั่งรู้อะไร หยั่งรู้ว่ารูปนามทั้งหลาย ขันธ์ 5 ทั้งหลายเป็นไตรลักษณ์
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป
พอปัญญาเราแก่กล้า
สัมมาญาณะสมบูรณ์ขึ้นมา
สัมมาวิมุตติ คือมรรคผลก็จะเกิด
 
ที่ท่านเรียกสัมมาๆ ที่เรารู้จักมี 8 อัน
สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ
สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ
สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ
รวมแล้ว 8 อยู่ในองค์มรรค
สัมมาทั้ง 8 นี้เกื้อกูลให้เกิดตัวที่ 9 คือสัมมาญาณะ ความหยั่งรู้ที่ถูกต้อง คือการเห็นรูปนาม เห็นกายเห็นใจ เห็นขันธ์ 5 แสดงไตรลักษณ์
แล้วถ้าเราเห็นมากพอ สัมมาวิมุตติ คืออริยมรรค อริยผล ก็จะเกิดขึ้น
ฉะนั้นที่เราทำ 8 ตัวนั้น
3 ตัวหลังก็คือสัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ
นี้เป็นส่วนของการฝึกจิต ฝึกจิตให้เกิดปัญญา
พอเรียนจากหลวงปู่ดูลย์แล้วถึงรู้ โอ๊ย ถ้าเราไม่เข้าใจจิตตัวเอง เราไม่เข้าใจธรรมะหรอก เราไปอ่านคำสอนของครูบาอาจารย์องค์อื่นๆ ที่เราเคยอ่านแล้วนึกว่ารู้เรื่อง นึกว่าเข้าใจ จะรู้เลยว่าเมื่อก่อนเราไม่ได้เข้าใจ เราได้แต่ฟังๆ ส่งเดชไปอย่างนั้นเอง
อย่างหลวงปู่มั่น ไปอ่านประวัติท่าน หลวงตาก็เขียนไว้ “ได้จิตก็ได้ธรรม ไม่ได้จิตก็ไม่ได้ธรรมะ”
ได้จิตก็ได้ธรรมะ คีย์มันอยู่ที่จิตนี้เอง
เพราะฉะนั้นอย่างเราทำกรรมฐานสักอย่างหนึ่ง
จิตเราไหลไปคิด เรารู้ จิตเราถลำไปเพ่ง เรารู้
เราก็เรียนอยู่ที่จิต
แล้วจิตก็จะค่อยมีสติมากขึ้น มีสมาธิมากขึ้น
ต่อไปปัญญามันก็เกิด
ปัญญาก็ไม่ได้ไปเกิดที่อื่น ปัญญาก็เกิดที่จิต
พอปัญญาแก่รอบ มรรคผลก็เกิด
มรรคผลก็ไม่ได้เกิดที่อื่น เกิดที่จิต
เพราะฉะนั้นเราก็ปฏิบัติที่จิต จนมารู้แจ้งในจิต แล้วก็ปล่อยวางที่จิต
ฉะนั้นตัวจิตนั้นล่ะ เป็นกุญแจที่จะไขตู้พระไตรปิฎกให้เรา
ตู้พระไตรปิฎกไม่ได้อยู่ที่ในตู้หรอก อันนั้นเป็นความจำ
ไปอ่านเท่าไรก็ได้ความจำ
แต่ธรรมะตัวจริงอยู่ที่จิตเรา
ตู้พระไตรปิฎกที่แท้จริงอยู่ที่จิตของเราเอง
หัดไขกุญแจเข้าไป
กุญแจก็คือมีสติ มีสมาธิ รู้เท่าทันจิตใจของตนเองให้มากๆ ไว้
เบื้องต้นเราจะได้สติ แล้วก็จะได้สมาธิ แล้วก็จะได้ปัญญา
สุดท้ายก็จะเกิดวิมุตติ
นี้คือเส้นทางที่เราจะฝึก ถ้าเราตัดตรงเข้ามาที่จิตได้จะเร็วที่สุดเลย
ครูบาอาจารย์ผู้หลักผู้ใหญ่ ที่หลวงพ่อเรียนด้วยทุกองค์ หรือครูบาอาจารย์รุ่นก่อนที่ท่านสอนไว้ อ่านธรรมะของท่าน ท่านก็พูดเหมือนๆ กันหมดเลยว่า “การดูจิตเป็นการปฏิบัติที่ลัดสั้นที่สุด”
วิธีตัดตรงเข้ามาที่จิตทำอย่างไร
“การดูจิตเป็นทางปฏิบัติที่ลัดสั้นที่สุด” ไปอ่านเจอ กระทั่งไม่ใช่ครูบาอาจารย์สายวัดป่า ท่านก็สอนอย่างนี้
อย่างหลวงปู่ดู่ ท่านบอกว่า “ที่ลัดสั้นเลย ก็คือดูจิตเข้าไปเลย”
ดูจิตตัวเองเข้าไป ท่านที่ท่านปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ท่านพูดลงเป็นเสียงเดียวกัน คือลงมาที่จิตทั้งนั้น
เพราะฉะนั้นถ้าเราไม่อยากเสียเวลาเนิ่นช้า ตัดตรงเข้ามาที่จิต
วิธีตัดตรงเข้ามาที่จิตทำอย่างไร
ทำกรรมฐานสักอย่างหนึ่งที่เราถนัด
แต่แทนที่จะทำเพื่อความสุข ความสงบ
ความมี ความดีอะไรทั้งหลาย
ไม่ได้ทำเพื่อสิ่งนั้น
ทำกรรมฐานสักอย่างหนึ่ง แล้วคอยรู้ทันจิตตัวเองไว้
เช่น เราหายใจเข้าพุท หายใจออกโธ
จิตฟุ้งซ่านรู้ว่าฟุ้งซ่าน
ฟุ้งซ่านคือชอบหนีไปคิดนั่นล่ะ
จิตสงบก็รู้ว่าสงบ
1
ต่อไปจิตมีราคะมันก็รู้
จิตมีโทสะอะไรมันก็รู้ของมันเอง
ตรงที่เรามีสติรู้สภาวะ เราจะได้สติ ได้สมาธิขึ้นมา
แล้วพอเราทำซ้ำๆๆ ต่อไปปัญญามันก็เกิด
สติเป็นตัวรู้ทัน ว่ามีอะไรเกิดขึ้นในกายในใจ
โดยเฉพาะอะไรเกิดขึ้นกับจิตใจของเรา
สติเป็นตัวรู้ทัน
ปัญญาเป็นตัวเข้าใจว่า
โอ้ โกรธ อย่างจิตโกรธเกิดขึ้น ความโกรธเกิดขึ้น
สติรู้ทันว่าตอนนี้ความโกรธเกิดขึ้นแล้ว
สติรู้ทัน พอรู้ซ้ำๆ ไป ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง
ต่อไปปัญญามันจะเกิด
ปัญญาคือตัวเข้าใจ เข้าใจอะไร
เข้าใจความจริง
โทสะนี้ไม่เที่ยง โทสะนี้เป็นอนัตตา
ไม่ได้เจตนาจะโกรธก็โกรธได้เอง
สั่งให้หายโกรธก็ไม่หาย
ไม่อยู่ในอำนาจบังคับ
แล้วโกรธก็ไม่เที่ยง
ตอนนี้โกรธเดี๋ยวก็หาย มันเป็นของมันเองได้
เราเริ่มหยั่งรู้ลงไปตามความเป็นจริงแล้ว
ว่าสภาวะทั้งหลาย ทั้งรูปธรรมนามธรรม
ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
เห็นซ้ำๆๆ ไปเรื่อยๆ ถึงจุดหนึ่งจิตจะรวมเข้าอัปปนาสมาธิ
แล้วเกิดความรู้รวบยอด
ความรู้รวบยอดอันนั้นก็คือ
สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมดดับเป็นธรรมดา
“สิ่งใดสิ่งหนึ่ง” เช่น ร่างกายที่หายใจออก หายใจเข้า
ความสุข ความทุกข์ ที่เกิดในกาย
ความสุข ความทุกข์ ความเฉยๆ ที่เกิดที่จิต
กุศล อกุศลที่เกิดที่จิต
วิญญาณที่เกิดอยู่ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
เช่น จิตหลงไปคิดก็เป็นวิญญาณอย่างหนึ่ง
เป็นวิญญาณทางใจ
จะเห็นทุกสิ่งทุกอย่างตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์เสมอกันหมดเลย
ทุกอย่างเกิดแล้วก็ดับทั้งสิ้นเลย
ก็จะเห็นว่าตัวตนของเราที่แท้จริงนั้นไม่มี
ขันธ์ 5 มีอยู่
ขันธ์ 5 มีอยู่แต่ขันธ์ 5 ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา
อันนี้เป็นภูมิจิตภูมิธรรมขั้นต้นของพระโสดาบัน
แล้วที่เข้ามาตรงนี้ได้ ก็ตามเส้นทางที่หลวงพ่อเล่าให้ฟังนี้ล่ะ
ไม่เกิน ไม่เหลือวิสัย
หลวงปู่ดูลย์ท่านบอกว่า “การปฏิบัตินั้นไม่ยาก ยากเฉพาะผู้ไม่ปฏิบัติ”
ท่านเริ่มต้นสอนหลวงพ่อประโยคแรกเลย ไปกราบท่าน ไปบอก “หลวงปู่ครับ ผมอยากปฏิบัติ”
ท่านยังไม่สอน ท่านนั่งสมาธิของท่านเงียบๆ เกินครึ่งชั่วโมง แต่ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง ลืมตาขึ้นมาท่านก็สอนเลย “การปฏิบัตินั้นไม่ยาก ยากเฉพาะผู้ไม่ปฏิบัติ อ่านหนังสือมามากแล้ว ต่อไปนี้อ่านจิตตนเอง”
ท่านให้กุญแจมา ให้อ่านจิตตนเองไว้
อ่านจิตตนเอง เบื้องต้นได้สติ
จิตไหลแล้วรู้ ไหลแล้วรู้ ได้สติ ได้สมาธิ
แล้วต่อไปศีล สมาธิ ปัญญา มันก็สมบูรณ์ขึ้นมา
หรือเรามีสติอยู่ เราเห็นจิตมีกิเลสรุนแรงแล้ว
พอเรารู้ทัน กิเลสมันดับ เราไม่ทำผิดศีลแล้ว
เรามีกิเลสเกิดขึ้น สติรู้ทัน กิเลสดับ จิตไม่ฟุ้งซ่าน
เราก็มีสมาธิขึ้นมาแล้ว
แล้วเราเห็นสภาวะทั้งหลายเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
สติรู้ทัน ปัญญามันก็เกิดขึ้น
สุดท้ายวิมุตติก็เกิดขึ้น
เพราะสติ ปัญญาเป็นองค์ธรรมที่มีอุปการะมาก
ปัญญาบางทีเรียกสัมปชัญญะ
ฝึกนะ ไม่ยากเกินไปหรอก
ถ้าไม่ทำไม่ฝึก ไม่มีทาง …”
.
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
19 พฤศจิกายน 2565
อ่านธรรมบรรยายฉบับเต็มได้ที่ :
Photo by : Unsplash

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา