2 ธ.ค. 2022 เวลา 01:32 • ไลฟ์สไตล์
“เวลาล้างกิเลสไม่ล้างที่กาย ล้างที่จิต
แต่ใช้กายเป็นแบบฝึกหัด”
“ … คอยรู้ทันจิตใจของตนเองไว้
แล้วสมาธิของเราจะได้เพิ่มขึ้น
ดูจิตในเบื้องต้นจะได้สมาธิ
แล้วพอจิตมีสมาธิแล้วก็เดินปัญญา
จะเริ่มที่กายก็ได้ เริ่มที่เวทนาก็ได้ เริ่มที่จิตก็ได้
อย่างหลวงพ่อเรียนจากหลวงปู่ดูลย์ หลวงพ่อทำสมาธิมาแต่เด็ก เจอหลวงปู่ดูลย์ท่านบอกให้ดูจิตเลย ท่านไม่ได้บอกดูกาย เพราะท่าน ญาณทัศนะท่านเยอะ
เวลาเราไปเรียนกรรมฐานกับท่าน ท่านยังไม่พูด นั่งเงียบๆ นานเลย คล้ายๆ สอบประวัติเรา ว่าเราเคยทำกรรมฐานอะไรมา มีจริตนิสัยเหมาะกับกรรมฐานชนิดไหน ท่านก็จะบอกให้
คนหนึ่งๆ ท่านใช้เวลาดูนาน บางคนเป็นชั่วโมง หลวงพ่อไม่ถึงชั่วโมง แต่เกินครึ่งชั่วโมง นั่งเงียบๆ อย่างนั้น ท่านลืมตาท่านก็บอกให้หลวงพ่อดูจิตเอา ไม่ได้เริ่มที่กาย เพราะจิตมันมีสมาธิอยู่แล้ว เดินปัญญา
หลวงพ่อเดินปัญญาด้วยการดูจิตเอา ขึ้นจิตตานุปัสสนา แล้วเสร็จแล้วดูไปช่วงหนึ่ง พอเข้าใจอะไรบ้างแล้ว ก็ออกไปดูครูบาอาจารย์ท่านสอนองค์อื่น ท่านสอนโน่นสอนนี่ ไปดูที่โน่นที่นี้ ก็เห็นส่วนใหญ่ท่านสอนพุทโธพิจารณากาย
ขนาดสายอื่นที่ไม่ใช่สายวัดป่าก็กายทั้งนั้น
อย่างสายท่านพุทธทาส ท่านทำอานาปานสติ มันก็กาย
สายหลวงพ่อเทียน ขยับมือทำจังหวะก็กาย พองยุบก็กาย
โกเอนก้าท่านก็เริ่มมาจากอานาปานสติ ก็กาย
เห็นที่ไหนๆ เขาก็เริ่มด้วยกาย ทำไมหลวงปู่ดูลย์บอกให้เราดูจิต ก็เลยกลับไปถามท่านว่า “หลวงปู่ครับ ผมต้องย้อนไปดูกายไหม”
ท่านบอกว่า “ที่เขาดูกายเพื่อให้เห็นจิต เมื่อเห็นจิตแล้วจะเอาอะไรกับกาย กายเป็นของทิ้ง” ท่านบอกอย่างนี้
อันนี้ท่านสอนหลวงพ่อ แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะใช้แบบนี้ อย่างพระ พระทิ้งการดูกายไม่ได้ ไม่ปลอดภัย
อย่างเวลาราคะเกิด จะเป็นจะตายเลย ราคะเกิด ถ้าพระไม่ดีก็ทำผิดศีลไป ถ้าพระดี โห มันทรมานบอกไม่ถูกเลย ทุกข์ขนาดไหน
อันนี้ถ้ามันทุกข์มากๆ สู้ไม่ไหวจริงๆ พิจารณาลงในกาย
ร่างกายนี้มันเป็นของไม่สวยไม่งาม ไม่ดี
หนังหุ้มอยู่ข้างนอก ข้างในโสโครก
เหม็น กลิ่นที่ออกจากร่างกายนี้ก็เหม็น
วัตถุอะไรที่ออกจากร่างกายนี้ก็เหม็น
พิจารณาอย่างนี้ อันนี้เป็นสมถะ
แต่ว่าแก้ราคะได้เด็ดขาดนัก
บางองค์ท่านก็เดินอย่างนี้ พิจารณาอสุภะไปเรื่อยๆๆๆ จนราคะไม่รุกราน บอก เอ๊ย นี้พระอนาคามี ไม่ใช่หรอก อันนั้นเกิดจากการทำพิจารณาปฏิกูล อสุภะ จิตมีสมาธิ ถ้าสมาธิเสื่อมราคะมันก็กลับมาอีก
ก็ต้องให้เห็นความจริงของรูป ของนาม
ถึงเราดูจิต แต่เวลามันแจ่มแจ้ง มันแจ่มแจ้งที่จิต
เวลามันละ มันละที่จิต
แต่ถ้าเราดูกาย มันรู้กายแจ่มแจ้ง วางกาย
มันก็ทวนเข้ามาที่จิต มาตัดที่จิต
เพราะฉะนั้นเวลาล้างกิเลสไม่ล้างที่กาย ล้างที่จิต
แต่ใช้กายเป็นแบบฝึกหัด
ดูกายไปเรื่อยๆ เห็นไตรลักษณ์ของกายไปเรื่อยๆ
พอจิตมันเห็นจริงแล้วมันรวมเข้ามาที่จิต
แล้วก็ตัดความรักใคร่หวงแหนยึดถือในกายได้
ถึงจะเป็นพระอนาคามี
ไม่ไปตัดลงที่กาย ต้องตัดที่จิต
แต่ว่าที่หลวงพ่อบอกพระเราว่า ราคะเกิดก็พิจารณากายเข้าไป นี่เป็นอุบายของสมาธิ เอาตัวรอดไปคราวหนึ่งก่อน
พอราคะสงบแล้ว เราก็ดูลงไปเรื่อย แล้วแต่ถนัด
ดูกายก็เห็นว่ากายแสดงไตรลักษณ์
ถนัดเวทนาก็เห็นเวทนาแสดงไตรลักษณ์
ถนัดจิตก็เห็นจิตแสดงไตรลักษณ์ไป
อะไรก็ได้ แต่ต้องมีจิตที่ตั้งมั่น
ถ้าจิตไม่ตั้งมั่นทำวิปัสสนาไม่ได้จริง …”
.
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
22 ตุลาคม 2565
อ่านธรรมบรรยายฉบับเต็มได้ที่ :
Photo by : Unsplash

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา