2 ธ.ค. 2022 เวลา 06:34 • ธุรกิจ
🔎[#ทันหุ้นนอกกับKP] หุ้น Disney (DIS) เปิดตัวเด้ง 6% หลัง Bob Iger หวนคืนสู่ CEO
⁉ บริษัทยังโตได้อีกไหม?? นักลงทุนคาดหวังอะไร?? ลองมาวิเคราะห์กัน
📌 ผลงานดีเด่นของคุณ Bob ซึ่งเป็น CEO มาถึง 15 ปีก่อนลาออกไปในปี 2020 คือการซื้อ Pixar Studio ซื้อและปั้น Marvel Entertainment และ Lucasfilm (ซีรีส์ Star Wars) จนทำให้ดิสนีย์กลายเป็นยักษ์ใหญ่ในทุกวันนี้ อย่างไรก็ตาม งบการเงิน Disney ตอนนี้ประสบปัญหาของค่าใช้จ่ายที่บานมากจากธุรกิจ Streaming ที่กำลังบุก Netflix อยู่
📌 บอร์ดของ Disney เลยได้ดึงตัว Bob กลับมาในวาระ 2 ปี เพื่อวางกลยุทธ์ในการฟื้นฟูธุรกิจ ซึ่งดูแล้วนักลงทุน Wall Street ก็มีความหวังในตัว CEO คนนี้ เพราะราคาหุ้นใน pre-market ขึ้นทันทีหลังประกาศเปลี่ยนตัว CEO
📌 คุณ Bob จะพา Disney ให้กลับมามีกำไรแบบจริงจังได้หรือไม่? คงต้องติดตามดูกันต่อไป ระหว่างนี้เรามาทำความรู้จักกับบริษัท Disney เพิ่มเติม และเข้าใจโอกาสและความเสี่ยงของการลงทุนบริษัทนี้กัน
╔════════════╗
ใครสนใจหุ้นต่างประเทศ หรือธุรกิจนวัตกรรมเจ๋งๆ สามารถร่วมกลุ่มลงทุนหุ้นต่างประเทศ #ทันหุ้นนอกกับKP ใน Line ได้เลยครับ ไม่มีค่าใช้จ่าย รายละเอียดในคอมเม้นต์
╚════════════╝
📌 หากนึกถึงสิ่งที่เราชอบดูกันในวัยเด็ก คงปฏิเสธไม่ได้ว่าการ์ตูนและหนังของ Walt Disney นั้นมักจะมีพื้นที่อยู่ในความทรงจำของเราเสมอ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไรเรายังคงสัมผัสได้ถึงความสุข ความสนุก และดื่มด่ำไปกับโลกจินตนาการ นี่คือสิ่งที่เป็น DNA ของบริษัทที่ชื่อว่า Walt Disney
รู้หรือไม่ว่า Disney นั้นเป็นบริษัทที่อยู่มาถึง 99 ปีแล้ว หลายคนอาจจะเข้าใจว่า Disney มีแค่ธุรกิจทำสตรีมมิงกับสวนสนุก แต่แท้จริงแล้วธุรกิจของ Disney นั้นประกอบไปด้วยสองส่วนใหญ่ๆคือ
1️⃣ Media and Entertainment Distribution มีสัดส่วนประมาณ 78% ของรายได้ทั้งหมด ซึ่งแยกย่อยลงไปได้อีกคือ
✅ Linear Networks เป็นบริการช่องเคเบิ้ลทีวีและการออกอากาศสถานีโทรทัศน์ เช่นช่อง ESPN, ABC, Disney Channels, National Geographic เป็นต้น
✅ Direct to Consumer เป็นบริการสตรีมมิงหรือ Disney+ ที่เรารู้จักกันนั่นเอง และยังมี Hulu กับ ESPN+ ด้วย
✅ Content Sales/Licensing and Other เป็นส่วนที่ขายคอนเทนต์ต่างๆให้กับรายการทีวี สตรีมมิงเจ้าอื่น รวมถึงลิขสิทธิ์เพลงและ post - production services ต่างๆ
2️⃣ Parks, Experiences and Products มีสัดส่วนประมาณ 22% ของรายได้ ประกอบไปด้วยธุรกิจสวนสนุกและรีสอร์ทใน Florida, California, Hawaii, Paris, Hong Kong และ Shanghai และยังรวมไปถึงธุรกิจเรือสำราญและที่พักในธีมของ Disney โดยรายได้ในธุรกิจเหล่านี้เคยเป็นสัดส่วนมากที่สุดตอนก่อนเกิดโควิด 19
📌 รายได้ของบริษัท
ปี 2019 รายได้ 6.94 หมื่นล้านดอลลาห์สหรัฐ
ปี 2020 รายได้ 6.51 หมื่นล้านดาลลาห์สหรัฐ
ปี 2021 รายได้ 6.74 หมื่นล้านดอลลาห์สหรัฐ
ปี 2022 รายได้สามไตรมาสแรก 6.19 หมื่นล้านดอลลาห์สหรัฐ
📌 กำไรของบริษัท
ปี 2019 กำไร 1.1 หมื่นล้านดอลลาห์สหรัฐ (อัตรากำไร 15.92%)
ปี 2020 ขาดทุน 2.86 พันล้านดอลลาห์สหรัฐ (อัตรากำไร -4.40%)
ปี 2021 กำไร 2 พันล้านดอลลาห์สหรัฐ (อัตรากำไร 2.96%)
ปี 2022 กำไรสามไตรมาสแรก 2 พันล้านดอลลาห์สหรัฐ (อัตรากำไร 3.22%)
จากรายได้และกำไรจะเห็นได้ว่าบริษัทได้รับผลกระทบจากโควิด 19 ค่อนข้างเยอะเพราะมีการปิดเมืองอยู่นานทำให้กระทบรายได้ส่วนสวนสนุกและการท่องเที่ยวต่างๆ แต่เมื่อสถานการณ์เริ่มดีขึ้น บริษัทก็จะกลับมาทำกำไรได้อีกครั้ง
📌 จุดที่น่าสนใจคือ
1️⃣ แบรนด์ของ Disney นั้นถือว่าแข็งแกร่งมากๆ แทบจะไม่มีใครไม่รู้จักหรือไม่เคยเห็นตัวละครของ Disney เลย ทำให้เมื่อบริษัทออก Product อะไรมาคนก็มักจะคุ้นเคยอย่างรวดเร็ว เช่นการมาของ Disney+ ก็ใช้เวลาเพียงไม่นานในการมีผู้ใช้ทะลุ 100 ล้านคน
2️⃣ ลิขสิทธิ์คอนเทนต์ต่างๆที่ Disney มีอยู่นั้นถือว่าเป็นสิ่งที่มีค่ามาก นอกจากของ Walt Disney Studios เองแล้ว ยังมีของ Pixar ขาโหดด้านหนังแอนิเมชัน, Lucusfilm ผู้ทำแฟรนไชส์ Star Wars, Marvel Studios แฟรนไชส์หนัง Superhero ยอดฮิต และล่าสุด 20th Century Fox ซึ่งทั้งหมดนี้ยังสามารถผลิตคอนเทนต์ในอนาคตได้อีกยาวๆ เพราะออกมากี่เรื่อง แฟนๆ ก็ต้องแห่ไปดูให้ครบให้หมด
3️⃣ มีธุรกิจในมือหลากหลายรูปแบบ ทำให้บริษัทมีรายได้หลายทาง ทั้งในโลกการ์ตูนภาพยนต์ โลกออนไลน์ หรือแม้แต่ในชีวิตจริงที่เป็นสวนสนุก ในยามที่ส่วนไหนได้รับผลกระทบก็จะยังมีรายได้จากส่วนอื่นเข้ามาทดแทน เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้บริษัทสามารถที่จะอยู่รอดได้ยาวนาน
4️⃣ รายได้ของบริษัทสามารถที่จะต่อยอดและส่งเสริมกันเองได้เยอะ เช่น เราดูหนังใน Disney+ แล้วเราชอบ เราก็สามารถที่จะไปเล่นสวนสนุกหรือพักที่รีสอร์ทที่จำลองสถานที่แบบในหนังมา แล้วเราก็ซื้อของขวัญต่างๆกลับไปเป็นที่ระลึกเพื่อบันทึกความทรงจำ จะสังเกตได้ว่าสิ่งเหล่านี้สามารถเกิดขึ้นซ้ำและถูกส่งต่อเป็นรุ่นสู่รุ่นไปได้เรื่อยๆ
5. ธุรกิจสตรีมมิง Disney+ นั้นถือว่าเป็น Product ใหม่ล่าสุดที่บริษัทตัดสินใจลงมาทำ เพื่อปรับตัวให้เข้ากับยุคปัจจุบัน และได้เปิดตัวช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโควิด 19 พอดี จึงมีแรงส่งในการได้จำนวนผู้ใช้งานเข้ามาอย่างรวดเร็ว ทำให้กลายเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวของสตรีมมิงเจ้าอื่นและอาจเป็นสิ่งที่เพิ่มรายได้มหาศาลให้กับบริษัทในอนาคต
⚠ ความเสี่ยง
1️⃣ ถึงแม้ Disney จะเป็นแบรนด์ที่แข็งแกร่งแต่ในธุรกิจนี้ก็เต็มไปด้วยการแข่งขันที่ดุเดือด เรียกได้ว่ามีคู่แข่งอยู่ในทุกด้านของบริการ เช่นในสตรีมมิงก็มีเจ้าตลาดอย่าง Netflix, Amazon Prime และในด้านสวนสนุกก็มี Universal Studios, Six Flags เป็นต้น
2️⃣ ถึงแม้เหตุการณ์จากโควิด 19 ได้ผ่อนคลายลงแล้ว แต่ก็ยังคงต้องใช้เวลาอีกนานกว่าที่รายได้และกำไรภาคการท่องเที่ยวจะกลับมาเท่าเดิมหรือดีกว่าเดิมได้
3️⃣ ธุรกิจยังคงมีอีกหนึ่งความท้าทายจากการที่เทรนการใช้เคเบิ้ลทีวีที่ลดลง ซึ่งเป็นรายได้ในสัดส่วนที่เยอะพอสมควร
Walt Disney จดทะเบียนอยู่ในตลาด New York Stock Exchange ด้วยสัญลักษณ์ DIS ราคาหุ้นปัจจุบันของ DIS อยู่ที่ $98.59 ณ วันที่ 1 ธ.ค. 2565 และบริษัทมี Market Cap อยู่ที่ 1.8 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ
เนื้อหาและภาพโดย เมฆ เพจหุ้นเปลี่ยนโลก x ทีม Trader KP
╔════════════╗
ลงทุนในหุ้นต่างประเทศผ่านแอป InnovestX เติมเงิน แลกเงิน ลงทุนง่าย ครบ จบในแอปเดียว พร้อมค่าธรรมเนียมถูกสะเทือนวงการ !
หลังดาวน์โหลด ฝากใส่ Referral code : TRADERKP ให้ทีม Trader KP ด้วยครับ
(รายละเอียดเพิ่มเติมในคอมเม้นท์)
╚════════════╝
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามเพจของเรา ฝากคิดคามกด Like และ Share เพื่อให้นักลงทุนท่านอื่นได้รับข้อมูลที่มีประโยชน์เหล่านี้ด้วยนะครับ ขอบคุณครับ
#ทันโลกกับTraderKP #TraderKP #ทันหุ้นนอกกับKP

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา