Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
iAmtasmanian
•
ติดตาม
12 ธ.ค. 2022 เวลา 03:30 • นิยาย เรื่องสั้น
ตำนานและคำพยากรณ์
⊱ ต้นไม้บิดตัวเกลียว สูงใหญ่เทียมฟ้าหาใดเทียบไม่ใกล้เคียงได้เลยสักนิด รากอิลานาชอนไชเชื่อมทั้งเก้าแผ่นดินใหญ่ ใจกลางของโลกใบนี้ ให้ความเจริญงอกงามและความอุดมสมบูรณ์แผ่ไปทุกหนแห่ง
รอบใต้ต้นอิลานา สุนัขจิ้งจอกเฟนเนก เรือนขนขาวบริสุทธิ์ราวหิมะเหมันตฤดู พลิ้วไหวอย่างกับกระแสน้ำ สะท้อนเป็นประกายระยิบระยับคริสตัลไม่ปาน คอยาวระหงสง่างาม มันคอยปกปักรักษาอิลานาไว้ให้ปลอดภัยมาตลอดหนึ่งพันปี ไม่อาจเลี่ยงภาระแห่งชีวิต
ซากกวางสีทรายที่ตายแล้ว ถูกลากมาวางอยู่ตรงหน้า มันเงยหน้ามองนัยน์ตาสีทองลุกวาวดุดันข่มขวัญ หมาป่าสีน้ำเงินเฟนรีส สูงสง่าผ่าเผยมหึมากว่ามันหลายเท่า ประมาณความสูงเกือบครึ่งหนึ่งของลำต้นอิลานา บัดนี้มันมีนัยน์ตาอ่อนล้า
เฟนเนกกำเนิดตัวเองใต้ต้นอิลานาไม่ห่าง จึงไม่สามารถเคลื่อนย้ายร่างกายตัวเองออกไปไหนได้ไกลจากต้นไม้ต้นนี้มากนัก เพื่อละทิ้งหน้าที่ เฟนรีสจึงมีความรู้สึกว่าเฟนเนกถูกสาปตลอดกาล
มีมันเพียงตัวเดียวที่สามารถเดินทางออกห่างไปไหนมาไหนได้ไกลจากต้นอิลานาเท่านั้น แม้จะถือกำเนิดเคียงข้างกับเฟนเนกก็ตาม
ที่มันไม่มีวันเข้าใจได้เลย
“นายกินไหวหรือไม่”
เฟนเนกยกใบหน้าขึ้นจากการหนุนขาหน้าไขว้กัน ส่ายหน้าขวาทีซ้ายทีปฏิเสธ มันเริ่มรู้สึกไม่เจริญอาหารอย่างที่เข้าใจสาเหตุของอาการนี้ได้ยากทีเดียว
“นายกินกวางตัวนี้เองเถิด เฟนรีส”
มันกล่าว
“อิ่มหมีพีมันกว่าฉันกินเองเป็นไหนๆ”
เฟนรีสทรุดตัวลง ใบหน้าแหลมยาวของมันแนบใบหน้าเฟนเนก
“นายเป็นเช่นนี้”
มันเอ่ยเสียงสลดใจ
“แล้วฉันจะกินอิ่มได้อย่างไร ฉันก็รู้สึกย่ำแย่ไม่ต่างจากนายเลย”
“นายยังแข็งแรงเสมอต้นเสมอปลาย”
“ผิดกับนาย”
เฟนรีสกล่าว
“ที่กำลังอ่อนแอลงเรื่อยๆ อย่างพิศวง”
“การมีชีวิตอยู่”
เฟนเนกเสียงค่อย และแหบพร่า
“เขาว่ากันว่าสังขารมักไม่เที่ยงตรงอย่างไรก็อย่างนั้น วันหนึ่งก็ขาดความสมบูรณ์ไป”
มันคลี่ยิ้มน้อยๆ
“ทำไมฉันไม่เป็นเช่นนายล่ะ”
เฟนรีสใคร่ฉงน
“นายเป็นอะไรกัน เฟนเนก พอจะอธิบายให้ฉันเข้าใจทีได้ไหม เผื่อเราจะได้ร่วมกันหาทางแก้ไขได้”
เฟนเนกไม่เคยยอมจำนนต่อโชคชะตาของตัวเองได้ขนาดนี้เลย
มันก็ไม่อยากเห็นคนที่รักสุดหัวใจของมัน ต้องเผชิญกับความทุกข์ทรมานกายยิ่งกว่ามันเสียเอง มันรู้สึกไม่ยินดีเลย ที่เฟนรีสเป็นแบบนี้มาตั้งแต่มันทิ้งตัวขดรอบใต้ต้นอิลานา หลับใหลตลอดทั้งวันทั้งคืน จิตใจเคยพะวักพะวนต่อภาระหน้าที่ หากไม่อาจฝืนลืมตาได้นาน ข่มตาหลับศิโรราบได้สนิทไม่ต่างกัน ต่อให้ทำเพื่อช่วยเหลือไม่หยุดหย่อนเท่าไร ก็ไม่ฟื้นคืนสภาพให้เป็นปกติดังเดิมเหมือนเคยเป็นมา ความร่าเริงชีวิตชีวาเหือดหาย พสุธาอันศักดิ์สิทธิ์นี้จะฝังกลบอาลัยมันอย่างที่สัมผัสได้
“ฉันเองก็ไม่รู้หรอกหนา เฟนรีส”
มันพยายามไม่หลั่งน้ำตาจากความเสียใจ เฟนรีสตรงหน้ามัน มีของเหลวสีเงินไหลรินหนึ่งสายผ่านเรือนขนสีน้ำเงินมั่นคง มิร่วงโรย
“ฉันรู้สึกว่าต้องการจะพักผ่อนเสียบ้าง”
“ฉันกลับไม่รู้สึกเหมือนนายบ้างเลย”
“ดีแล้วไม่ใช่หรือ”
เฟนเนกถาม
“มันทรมานอย่างที่นายไม่ปรารถนาจะสัมผัสหรอกหนา”
เฟนรีสขยับปลายจมูกซ่อนเข้าไปใต้เรือนขนสีขาวสกาว
“นายไม่รู้อะไรดีนักหรอกนะ”
มันเอ่ยความในใจบอบช้ำจากบาดแผล พบว่าคนรักมีความเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางเลวร้ายลง ไม่มีอะไรจะยับยั้งได้เลย
แม้แต่ตัวมันเองก็ตาม
“เกี่ยวกับฉันน่ะนะ”
“ฉันควรรู้อะไรงั้นเหรอ”
มันเองก็อยากรู้
“ฉันน่ะ”
เฟนรีสกล่าวเสียงเด็ดเดี่ยว
“สามารถแบกรับสิ่งที่นายเป็นอยู่ได้ ไม่ว่ามันจะต้องทนทุกข์ทรมานหนักหนาเพียงไร”
รอยยิ้มเฟนเนกช่างเหนื่อยอ่อน มันรู้สึกซาบซึ้งใจเหลือหลาย แม้เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ต่อให้เฟนรีสคิดการเอาชีวิตตัวเองมาเป็นข้อแลกเปลี่ยนก็ตาม
“ขอบใจมากนะ เฟนรีส”
มันเอาหน้าคลอเคลียหน้าของเฟนรีสรักใคร่และเสียใจหนักหน่วง แต่ไม่เคยมีน้ำตาสักหยด เพิ่มความเจ็บปวดจากแผลในใจของอีกฝ่าย
“กินสักหน่อยก็คงดีนะ”
มันส่ายหน้าไม่ยินดี
“อย่าเลย”
มันปฏิเสธท่าเดียว
“ร่างกายของฉันไม่พร้อมต้อนรับอะไรอย่างยินดีทั้งนั้น นายกินเถอะ”
เฟนเนกก็ไม่เห็นท่าทีที่เฟนรีสจะขยับปากเข้าใกล้ชิ้นเนื้อก้อนโตนั่นเลยสักนิด พวกมันทำได้แต่นอนเคียงข้างกายกันและกันไม่ให้ห่าง
ในความสงบเงียบภายใต้เปลือกตาปิดสนิทของเฟนเนก มันกลับไม่สบายใจเท่าไร อาการปั่นป่วนท้องที่รู้สึกว่ากินอะไรไม่ลง ความหิวโหยก็มาเยือนอย่างเลี่ยงไม่ได้ มันจึงได้แต่เล็มเนื้อกวางทีละน้อย ฝืนกล้ำกลืนกินลงไปบรรเทาความหิวจะทวีคูณความรุนแรง
ดวงตะวันคล้อยต่ำจนใกล้จมมิดพสุธา สาดรังสีอบอุ่นสีอัสดงสุดท้าย เบื้องหลังภูเขาหินลูกนั้น
จันทราสีเงินยวงขึ้นทางทิศตะวันออก เด่นชัดท้าทายท่ามกลางความมืดมิดรอบตัว ว่าจะไม่ถูกกลืนกินให้หายไปในคืนหนึ่ง
เฟนรีสตื่นตัว ทั้งที่มันยังไม่หลับด้วยซ้ำ คอยแต่เป็นห่วงเฟนเนก ไม่เป็นอันทำอะไร นอกจากอยู่ให้ตัวติดกับอีกฝ่ายไว้ตลอดเวลา
เงาดำวูบไหวไปมาบนแมกไม้อิลานา สายตาว่องไวและคมกริบ แม้ในความมืดสนิท มันสามารถจับความเคลื่อนไหวบางอย่างได้แม่นยำ
พลันการมองหาสิ่งนั้นมาหยุดลงที่เฟนเนกผู้หลับสนิทจนน่าใจหาย
มันรู้ตัวว่าจะต้องทำหน้าที่ปกป้องอิลานาแทนเฟนเนกซึ่งไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ตัวเองได้เวลานี้
เฟนรีสรู้สึกเป็นห่วงทั้งกลัวระคนกัน
แล้วเงานั่นก็โฉบลงไปหลบซ่อนอยู่เบื้องหลังต้นคาริปส์ห่างออกไปไม่ไกลเท่าไร
ดวงตาสีเหลืองแกมเขียวล้อกับแสงเงินจันทร์ แววตานั้นช่างหลอกลวง กับความเข้มข้นของสีทั้งสองเฉด ไม่น่าไว้วางใจนัก
“นั่นใคร”
เฟนรีสเอ่ยถาม
“จงกล้าที่จะเปิดเผยตัวตนแก่ฉัน เฟนรีสแห่งอีธารา หนึ่งในผู้พิทักษ์อิลานา”
อะไรสักอย่างตรงนั้นค่อยๆ ก้าวออกมาจากเงามืด เชื่องช้ากว่าจะเปิดเผยตัวตนใต้แสงเงินยวง
เฟนรีสรู้ได้ทันที และมันก็ไม่ปรารถนาจะข้องแวะด้วย ต่อให้มันเป็นสัตว์วิเศษที่ยิ่งใหญ่ขนาดไหน มีพละกำลังมหาศาลเหนือใคร กว่าจะรู้ตัวว่าศิโรราบต่อสิ่งมีชีวิตนี้กลายเป็นหายนะ แก้ไขอะไรไม่ได้อีกต่อไป
“สิ่งมีชีวิตอย่างแก”
มันเอ่ยเสียงแข็งกร้าวข่มผู้ต่ำต้อยกว่าตน ไม่อาจหาค่าประมาณเทียบชั้นกัน
“ถึงได้กล้าลุกลานอิลานาได้ มิหนำซ้ำอีธาราก็ไม่ยินดีต้อนรับแกเลยด้วย”
มันยกมือสองข้างขึ้นกุมไว้ตรงหน้าอกตัวเอง เป็นเชิงขอโอกาสสักนิดสักหน่อย เพื่อจะบอกกล่าวทีหลังว่าตัวเองมาอย่างเป็นมิตร ไม่มีพิษภัยให้ต้องหวาดระแวง
“ท่านเฟนรีสผู้ยิ่งใหญ่”
มันกล่าวเยินยอ นอบน้อมถ่อมตนจริงใจ
เฟนรีสเกือบจะวางใจ แต่เรียกสติให้ตระหนักถึงภัยแห่งวาตานไว้ได้ทัน
“กระผมมาหาท่าน มิได้มุ่งร้าย หรือนำพิษภัยมาสู่อีธารา แม้แต่อิลานา โปรดรับฟังกระผม ให้เวลาอันมีค่าของท่านแก่กระผมสักเล็กน้อยจะได้ไหม เพื่อที่เฟนรีสผู้ยิ่งใหญ่กว่าเสียงลือเสียงเล่าอ้างไม่อาจเทียบชั้นจะได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ เพราะการมาเยือนครั้งนี้ของกระผม --- กระผมรู้ดีนักว่าสลักสำคัญกว่าคุณค่าชีวิตของกระผมเองซะอีก”
“งั้นเรอะ”
วาตานฉีกยิ้มเล็กน้อย พึงพอใจในวาทะของตัวเองเป็นอย่างมาก หาใครในมวลหมู่วาตานใกล้ชั้นมันไม่มีหรอก
“แล้วอะไรหอบให้แกมาหาฉัน มีธุระกงการอะไรของแกที่สำคัญหนักหนาเกี่ยวกับฉันกันล่ะ”
วาตานขยับสองขาปกคลุมด้วยขนน้ำตาลดินเสียดสีเข้าหา
“จงหยุดอยู่ตรงนั้นเลย เจ้าวาตาน”
เฟนรีสออกคำสั่งห้ามปรามทันใด
“อย่าเอาปีกและขนสกปรกของแกเข้ามาใกล้ฉัน กับปากของแกก็เหม็นอย่างดอกพาหับอย่างไรอย่างนั้น”
“กระผมวาตานผู้ต่ำต้อยต้องขออภัยท่านเฟนรีสผู้ยิ่งใหญ่ด้วย”
มันสำนึกผิด
“กระผมไม่คิดจะตัวเองไปทำให้เรือนขนสีน้ำเงินงดงามของท่านต้องแปดเปื้อนต้องมีมลทินมัวหมอง กระผมควรอยู่ในที่ที่สมควรอยู่อย่างบันกุ”
วาตานตระหนักว่าตัวมันเองไม่ได้มาเพื่อให้ใครดูแคลน มันจึงเริ่มเข้าประเด็นทันที
“กระผมสัมผัสความทุกข์ในจิตใจของท่านได้”
มันกล่าว
“ท่านเฟนรีส”
“ไม่ใช่เรื่องของแก”
เฟนรีสว่า
“ที่จะยื่นจมูกเข้ามายุ่งยากกับเรื่องของคนอื่น อันไม่ใช่กิจธุระของตน”
“ต้องใช่ ---”
มันยืนกราน ดวงตาแห่งความไม่แน่นอนของวาตานจ้องทะลุปรุโปร่ง
“ใช่ --- มันใช่แน่นอน --- ปัญหาของท่านเฟนรีส ถึงมันจะไม่ใช่ปัญหาของกระผม แน่หรือ --- ที่ท่านจะสามารถจัดการมันลำพัง โดยไม่รับการช่วยเหลือจากใครทั้งนั้น”
“ความช่วยเหลือจากแกงั้นเรอะ”
เฟนรีสหัวเราะลั่นเยาะหยันเหยียดหยามมันเต็มที่
“จากวาตานผู้กลอกกลับน่ะหรือ --- ไม่มีทาง --- ถ้าหากมีวันนั้น ฉันคงสมเพชตัวเองน่าดู”
มันยื่นหน้าวิงวอน ขอความเห็นใจจากเฟนรีสให้ได้มา และรู้ว่าไม่ใช่เรื่องยากนัก
“ใช่ขอรับ”
มันเติมความมั่นอกมั่นใจตัวเองอย่างไม่สั่นคลอน
“กระผมสามารถช่วยท่านเฟนรีสผู้ยิ่งใหญ่บรรเทาความทุกข์ที่ใหญ่ยิ่งกว่าตัวท่านได้แน่”
“ถ้างั้น”
เฟนรีสให้วาตานตนนี้อวดความรู้ดีที่มันจะแอบอ้างมา ไม่ฉลาดเลยสักนิด มันเคยขย้ำวาตานผู้ถือดีมาแล้วนักต่อนัก บันกุคือสถานที่อันโสมมซึ่งเหมาะสมกับพวกมันแท้นัก
“แกจงทายให้ถูกซิว่า ฉันกำลังเป็นทุกข์กับปัญหาในใจเรื่องอะไรอยู่”
วาตานพูดทันควัน
“ง่ายมาก”
วาตานบอก
“มันง่ายมากเหลือเกิน ท่านเฟนรีสผู้ยิ่งใหญ่ แค่มองดวงตาสีทองหม่นของท่านแวบเดียว กระผมก็สัมผัสได้ถึงปัญหาหนักใจได้ทันที”
“เอาอะไรมารับประกันล่ะ”
เฟนรีสกังขา
“ว่าฉันจะเชื่อแกได้”
“เอาอะไรมารับประกันงั้นเหรอ”
มันรำพึงกับตัวเองเสียงค่อย เดินวนไปมาทำเป็นครุ่นคิดหนัก
“การแก้ไข”
มันโพล่ง
คำพูดนี้แทงทะลุกลางใจอันถ่องแท้ของมัน
“การแก้ไข”
มันทวนคำ
“น่าสนใจดีนี่”
“ปัญหาของท่านที่ต้องได้รับการแก้ไข”
วาตานพูดเฉียบขาด
“กระผมรู้ดี --- รู้ดีเอามากๆ”
“ช่างสอดรู้สอดเห็นเรื่องคนอื่นดีนัก”
มันสังเกต
“ถือว่าเป็นคำชมจากท่านเฟนรีสผู้ยิ่งใหญ่”
วาตานดัดแปลงคำปรามาสในเชิงเข้าข้างตัวเองเพื่อน้อมรับส่งๆ
“ที่วาตานผู้ต่ำต้อยจะได้รับ ด้วยความสัตย์จริง”
เฟนรีสสมเพชมันยิ่งนัก
วาตานวกกลับเข้าประเด็กหลักจริงๆ จังๆ อีกครั้ง อย่างเหลืออดเหลือทน หลังถูกทำให้เถลไถลไปเรื่องอื่น ซึ่งไร้สาระจะใส่ความให้เปลืองเวลาเท่าที่มี
“กระผมรู้ว่าท่านเฟนรีสนั้น”
มันเกริ่น
“พยายามหาทางออกให้กับปัญหาอันใหญ่ยิ่งอยู่ --- และปัญหานั้นก็อยู่ใกล้ตัวเสียด้วย”
เฟนรีสเอี่ยวตัวครึ่งหนึ่งไปมองเฟนเนกที่นอนนิ่งไม่ไหวติงขดตัวรอบต้นอิลานา เศษประกายวิบวับยามต้องแสงเงินจันทร์ร่วงโรยลงพื้นและจางหายไป ส่งผลให้พืชพรรณใต้ตัวมันเหี่ยวเฉาอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
“ท่านเฟนเนก”
มันทำเสียงสลดใจ
เฟนรีสหันกลับมามองผู้มาเยือนลับๆ ล่อๆ ในยามวิกาลอีกครั้ง ทั้งไม่เคยปรารถนาจะเชื้อเชิญ
“คนรักของท่านเฟนรีส เขาช่างดูย่ำแย่อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนด้วย ทว่า สง่างามมิสร่าง”
“เฟนเนกก็สง่างามในใจฉัน”
มันเห็นพ้องต้องกันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว
“ไม่มีอะไรมากลบให้มัวหมองได้หรอกน่ะนะ”
“แต่ไม่ใช่กับเวลานี้”
วาตานกล่าว
“ท่านก็น่าจะรู้ดีกว่าใคร แม้แต่กับตัวกระผมเองด้วยซ้ำ”
“ฉันรู้”
“ใช่ --- ท่านรู้”
มันยอมรับ
“ท่านรู้ดีที่สุด ท่านเฟนรีส --- ท่านเฟนเนกมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ทว่า ในหนทางที่ไม่ดีนักแล และท่านเองก็รู้ด้วยตัวเองกำลังมืดบอดในการแปรเปลี่ยนให้กับท่านเฟนเนกกลับมาเป็นปกติเหมือนกับที่ท่านเคยคุ้นเคยมาตลอด”
เฟนรีสนิ่งเงียบ
มันไม่เคยรู้สึกพ่ายแพ้ได้เท่านี้มาก่อน กับทุกอุปสรรคหลากหลายทั้งหนักหนาและเบาบางที่ไปเผชิญมาอย่างท้าทายตน
“ท่านต้องการทวงคืนวันวานที่ถูกพรากไป เพราะมันคือของท่าน และใครก็ไม่สามารถขโมยเอามันไปเป็นเจ้าของได้ แม้แต่---เวลา”
มันพูดอะไรไม่ออก หรือรู้ก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกมาขัดแย้ง วาตานตนนี้พูดถูกต้องแทนใจครบถ้วนทุกประการแล้ว
“ท่านไม่มีทางรับรู้ถึงตัวตนของกระผมได้หรอก”
มันกล่าว
“กระผมนั้นคอยติดตามความเป็นไปของท่านเฟนเนกมาอย่างต่อเนื่อง กระผมจึงได้ถ่องแท้บางอย่าง ---”
“ถ่องแท้ถึงบางอย่างงั้นเรอะ”
เฟนรีสทวนประโยคนั้น
“เกี่ยวกับเฟนเนกของฉัน --- แกนี่นะ จะไปถ่องแท้อะไรเกี่ยวกับเขาได้ แม้แต่คนใกล้ตัวอย่างฉัน ไม่อาจถ่องแท้สิ่งที่เฟนเนกกำลังเผชิญวิบากกรรมของเขาได้เลย อย่าริอ่านมาถือดี เจ้าวาตานผู้ด้อยค่า”
“ถึงเวลานี้แล้ว”
วาตานกล่าว
“ท่านยังไม่เปิดหู เปิดตา เปิดใจอีกเหรอ หรือจะเฝ้าหากุญแจมาไขปัญหา ที่ไม่มีวันหาเจอ เพียงลำพัง จนกระทั่ง ทุกอย่างประดังประเดตรงหน้ามันสายไปเกินจะแก้ไข”
“ฉันรู้จักคำว่าสายไปของวาตานอย่างแกดีแท้”
เฟนรีสกล่าวเสียงฉุน
“เจ้ากลับกลอกปลิ้นปล้อนน่าขยะแขยง”
“งั้น”
มันกล่าวอย่างหมดปัญญาจะฝืนงัดไม้สุง แต่ก็ยังไม่ใช่เรื่องยากที่จะพิชิตชัยอยู่ดี
“ก็แล้วแต่ท่านเถิด ถ้าท่านคิดว่าตัวเองจะเอาความยิ่งใหญ่พิชิตทุกปัญหาให้ได้ชัยมาได้ล่ะก็ อย่าสนสิ่งมีชีวิตตัวเล็กกระจ้อยร่อยที่เข้าถึงแก่นใจกลางของปัญหาท่านดีเลย กระผมแหละเสียดายแทนท่านยิ่งนัก ที่โอกาสโบยบินมาหา แต่ท่านกลับเลือกจะหยิ่งผยองไม่ไขว่คว้าไว้ เพราะจิตใจอันคับแคบว่าไม่มีอะไรคู่ควรจะมาช่วยเหลือท่านได้”
“สามหาว”
เฟนรีสฉุนกึกที่ถูกว่าตรอกหน้า
“หากเป็นสิ่งมีชีวิตอื่น ที่มีภูมิปัญหาอันปราดเปรื่อง มิใช่ภูมิปัญญาเฉลียวฉลาดแต่เรื่องชั่าช้าสามานย์เช่นแก ฉันก็พร้อมรับฟัง และวางใจ”
“กระผมถ่อมาหาท่านถึงนี่”
วาตานน้อยเนื้อต่ำใจ
“ก็ไม่ได้ขอให้ท่านวางใจจนสนิทเสียหน่อย แค่ขอให้ท่านช่วยเปิดใจ วาตานอย่างกระผมไม่ได้เลวร้ายไปหมดทุกตน แค่ส่วนมากกลบส่วนน้อย”
“แกจะบอกว่าแกคือว่าวาตานที่ดีว่างั้น”
“แน่แท้”
มันรับประกัน
“ไม่มีปลอมเจือปน”
ยิ่งทำให้เฟนรีสหัวเราะหนักอย่างนึกตลกขบขันชอบใจ เพราะมันไม่เคยเห็นวาตานตนไหนจะดีสักตน ดีแต่จะสร้างความปั่นป่วนให้วิบัติ
“กระนั้น”
วาตานเอ่ยหลังจากนั้น
ชะเง้อชะแง้พอให้เห็นร่างอันสงบนิ่งของสุนัขจิ้งจอกหิมะ เด่นสง่านักยามราตรีกาล ไม่น้อยหน้าดวงจันทร์บนฟากฟ้าเลย
“อ่อนโรย”
มันกล่าว
“คืออะไร”
เห็นได้ชัดว่าเฟนรีสไม่เข้าใจได้ทันที และวาตานรู้ว่าคำพูดของมันนับจากนี้อาจทำให้เฟนรีสเริ่มคล้อยตามได้ง่าย เหมือนเถาหลิวถูกกระแสลมหอบพัดไปในทิศทางเดียวกัน
“แผ่วเบา”
มันไม่ได้สนใจตอบคำถามของเฟนรีสเลยสักนิด
“ท่านมิอาจรู้จักความตาย หรือการจากไปชั่วนิรันดร์”
และมันก็พูดต่อฉับพลัน ไม่เปิดช่องว่างของเวลาให้เฟนรีสได้ทำความเข้าใจเพื่อจะตกผนึกตามทันเลย
“หรือสองสิ่งนี้ริอ่านกล้ารู้จักท่านนั่นเอง”
มันขยายความ
“ท่านเฟนรีสผู้ยิ่งใหญ่”
“แกหมายความเช่นไร”
เฟนรีสพยายามคาดคั้น
หาวาตานตนนี้สนใจไม่ มันชอบมุ่งประเด็นที่จะเจาะจิตใจความรู้สึกของใครก็ได้
“ทว่า --- น่าสังเวชใจกับท่านเฟนเนกผู้น่าสงสารเสียนี่กระไร”
วาตานกล่าวอนิจจา
“แต่ไม่ใช่กับเขา ความตาย การจากไปชั่วนิรันดร์มิอาจหวนกลับรู้จักเขาดีทีเดียว”
“ไม่จริง!”
เฟนรีสตะคอกเดือดดาล
“ท่านต้องยอมรับกับสภาพที่ท่านเฟนเนกคนรักของท่านเป็นอยู่ได้แล้ว”
มันไม่อาจหลอกตัวเองได้อีกต่อไป กับข้อโต้แย้งของวาตานตนนี้ เพราะเห็นกันอยู่ทนโท่
“เขาจะหายดี”
“ท่านควรรออะไรลมๆ แล้งๆ แบบนั้นจริงหรือ”
มันปฏิเสธไม่ได้ ความเคลือบแคลงทำให้มันไม่สามารถปักใจ การที่ก้าวขาลงไป จะเป็นทรายดูดที่มันจะต้องจมลง โดยไม่มีสิ่งไว้คอยรั้งและฉุดกระชากตัวเองกลับขึ้นไปได้
“กระผมมีข้อชี้แนะที่ดี”
วาตาลชูนิ้วชี้ขึ้นมาหนึ่งนิ้วตรงหน้า
“สิ่งนั้นคือ”
“เพื่อเฟนเนกคนรักของท่าน”
“แกมีจุดประสงค์อะไร”
“ช่วยเหลือท่านอย่างไรล่ะ”
มันสรุป
“เป็นการช่วยเหลือที่ท่านเองก็คาดไม่ถึงมาก่อนแน่”
“แกรู้ได้อย่างไร”
“กระผมรู้วิธี”
มันกล่าว
“ความตายของท่านเฟนเนกจะอยู่ห่างจากเขาไปตลอดกาล เคียงคู่กับท่านไม่มีวันสิ้นสุด”
เฟนรีสชั่งน้ำหนักในใจ ว่าจะวางใจในวาตานตนนี้ได้มากน้อยเพียงไร กลิ่นปากของพวกมันมีแต่ความปลิ้นปลอกหอมหวานที่ไม่ประสงค์ได้ดม
“ใจกลางแห่งอิลานา”
ดวงตาแหลมคมฉายประกายความกระหายบ้าคลั่งเจิดจรัส เหมือนเห็นดวงดาวสุกสว่างมาจากข้างใต้ ไม่ใช่ด้านบนเกินหยั่งถึง
มีเพียงยอดต้นอิลานาค้ำจุนท้องฟ้าเอาไว้ ไม่อย่างนั้นเพดานโลกจะถล่มลงมาทับทุกสิ่งบนพสุธาไม่ให้เหลือรอด ยกเว้นข้างใต้แผ่นดินนั่นเอง
“ไอ้ตัวเจ้าเล่ห์เพทุบาย”
อารมณ์เฟนรีสขาดผึงด้วยไฟโทสะเผาไหม้ เสียงคำรามดั่งฟ้าลั่นกึกก้องไปทั่วผืนพงไพร เกิดประกายความมืดมนรอบตัว แปลงขนสีน้ำเงินกลายเป็นสีม่วงอมดำลุกชูชัน
“อย่าคิดจะปลดพลังแห่งจิตวิญญาณอิลานาเด็ดขาด มันคือความเจริญงอกงาม และความอุดมสมบูรณ์ให้กับอีธารา”
“กระผมไม่ได้ประสงค์มันเองด้วยซ้ำ”
“ฉันทำไมถึงคิดไม่ถึง”
เฟนรีสไม่รับฟังคำแก้ต่างใดๆ
“ที่แกมาที่นี่ก็เพื่อมันสินะ”
“ไม่ใช่ด้วยซ้ำ”
วาตานโบกมือปฏิเสธพัลวัล
“ท่านต้องลดระดับความโกรธาเพื่อรับฟังกระผมก่อน”
“ฉันไม่สดับฟังคำหว่านล้อมอะไรของแกอีกทั้งนั้น”
เฟนรีสเงยหน้าตั้งตรงขึ้นฟ้า พลางหอนสนั่นโลกาด้วยเสียงอันสยดสยอง
“ไอ้เจ้าตัวปลิ้นปล้อน --- แกพลาดแล้วที่เอ่ยถึงสิ่งที่ไม่คู่ควรแม้แต่น้อย หมดโอกาสจะแก้ต่าง หรือร้องขอชีวิตอันไร้ค่าของแกแล้ว ฉันจะขย้ำแกให้แหลกเหลว วาตาน”
ตอนที่มันจะตวัดปากอ้ากว้างงับวาตาน ฟันแหลมคมกระทบกันเพียงอากาศว่างเปล่า
เฟนรีสรู้อยู่แก่ใจว่าพวกวาตานสามารถหายตัวได้ภายในพริบตาเดียว เปรียบกับตัวมันไม่ได้มาที่นี่ด้วยตัวเอง ส่งมาเพียงเงาสะท้อน เหมือนโลกเป็นกระจก
เฟนเนกฟื้นกลับมามีสติตอนใกล้รุ่งสาง ช่วยให้มันค่อยสบายใจหายห่วงได้เปราะหนึ่ง แต่สภาพของอีกฝ่ายยังเหมือนเดิมไม่ดีขึ้นเลย มันสัมผัสได้ถึงความเลวร้ายที่กำลังจะมาเยือนแน่ๆ
เฟนเนกไม่รับรู้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนวานนี้ หากเป็นมันจะรับมือกับวาตานที่มีวาทศิลป์โน้มน้าวใจได้อย่างไร ถ้าเฟนเนกสามารถแยกแยะได้ดีกว่ามัน มันยากจินตนาการความพิโรธขับไล่ศัตรูให้เตลิดเปิดเปิง
ในความเงียบงัน โลกใบนี้มีเพียงมันโดดเดี่ยว เปิดพื้นที่ความคิดได้ขยายกว้างมากขึ้น
เริ่มมองอะไรเป็นอะไรได้ง่ายดาย เป็นการประตูเปิดต้อนรับความละโมบขับสู้
มันแหงนหน้ามองหยดน้ำคล้ายคริสตัลแวววาววูบไหวเป็นระลอกคลื่น จิตวิญญาณแห่งพฤกษายักษ์เขียว
“ไม่ดีขึ้นเลยแฮะ”
เสียงแหบพร่าของเฟนเนกฉุดมันหลุดจากภวังค์
มันไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรกลับไป จึงทำได้แค่แนบปลายจมูกกับข้างใบหน้าเฟนเนก หวังปลอบประโลมจิตใจอีกฝ่ายว่ายังมีมันอยู่เคียงข้างเสมอ
เฟนรีสตระหนักได้ว่า…ควรหลบหน้าให้พ้นจากแก้วหยดน้ำนั้นเสียจะดีกว่า
มันยังไม่ถ่องแท้ถึงผลกระทบแท้จริง หากดึงจิตวิญญาณอิลานาออกมาจากใจกลางจะเป็นอย่างไร อีธาราจะถึงกาลวิบัติด้วยไหม
พอมีห้วงเวลากับตัวเองมากขึ้น ทำให้มาครุ่นคิดทีหลัง แม้มันจะเกรี้ยวกราดจนขาดสติ ทุกคำพูดของวาตานตนนั้น มันยังจดจำขึ้นใจ ยังคงก้องสะท้อนในโสตประสาทปั่นป่วนจิตใจให้เกิดความสั่นคลอน
เพราะอะไรมันถึงต้องการให้เฟนรีสมุ่งความสนใจไปที่จิตวิญญาณพฤกษายักษ์เขียว
วาตานไม่ได้ต้องการเพื่อตัวมันเองจริงหรือ มันมีประสงค์ดีเพื่อคนอื่นไปทำไมกัน ไม่ใช่ความคิดที่เข้าท่าสำหรับพวกพ้องมันด้วยซ้ำ การมุ่งหมายทรยศพวกเดียวกันเอง พอข่าวลือการตายของเฟนเนกขจรลือลั่นไปถึงพวกมัน เหลือเฟนรีสแค่ตัวเดียวไม่ต้องยำเกรงมากนัก มันไม่เข้าใจเลยจริงๆ วาตานพิลึกพิลั่น พวกมันก็ล้วนเป็นแบบเดียวกันอยู่ ไม่น่าประหลาดใจเลย
แล้วการที่เฟนเนกได้รับหยดน้ำอิลานาเข้าสู่ร่างกายอ่อนแอลงทุกวัน จะสามารถช่วยฟื้นคืนพลังให้กลับมาเป็นปกติได้หรือไม่นะ
ยังคงเป็นปริศนาที่มันต้องการคำตอบ แต่ไม่มีคำตอบแท้จริงให้จากที่ไหน ได้ดีไปกว่าการหาคำตอบนั้นด้วยตัวเอง
วันแล้ววันเล่าที่เวลาโบยบินไป เศษประกายเฟนเนกก็ร่วงโรยน้อยลง ความเย็นยะเยือกและความเหี่ยวเฉาแผ่กว้างไกลออกไปเรื่อยๆ คงไม่สิ้นสุด
วาตานไม่สามารถปรากฏตัวในเวลากลางวันได้ ร่างกายจะถูกเผาไหม้เกรียม เหลือแค่เถ้าธุลีจมหายลงไปใต้พิภพ
พอดวงจันทร์ขึ้นสู่ฟ้าสีดำราตรีกาลนี้ มันไม่กลัวจะเปิดเผยตัวตนต่อหน้าเฟนรีสแม้แต่น้อย ก็ไม่ได้จะท้าทายอำนาจของมัน ที่กำลังแสงในตาเหือดหายต่อหนทางจะเยียวยาคนรักของมันได้เลย
“แกมาที่นี่อีกทำไม”
มันเอ่ยถาม ไม่เหลือกำลังต้องโกรธเคือง หรือต่อกรอีกแล้ว
“ท่านก็น่าจะรู้”
วาตานกล่าว
“กระผมมาที่นี่ก็เพื่อท่านทั้งสอง ท่านเฟนรีสผู้ยิ่งใหญ่”
“ฉันจะไม่ทดลองใดๆ ทั้งนั้น”
เฟนรีสยื่นคำขาด
“เกี่ยวกับจิตวิญญาณอิลานาเป็นแน่”
“หากท่านจะยืนกรานอยู่”
มันโน้มน้าวด้วยน้ำเสียงสลดหดหู่
“กระผมได้กลิ่นความตายจากท่านเฟนเนกตลบอบอวล หรือท่านคิดจะปล่อยให้เวลาตรงนี้สายไป ท่านจะย้อนเวลากลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้อีกเลยนะขอรับ”
มันเริ่มว้าวุ่นใจ
“วาตาน”
มันเรียก
“ขอรับ”
วาตานขานรับ ดวงตาเหลืองแกมเขียวลุกวาววิบวับสลับสับเปลี่ยนสีไปมา
“แกคิดไหม”
เฟนรีสเกริ่น
“ว่าจิตวิญญาณอิลานาจะคืนชีวิตชีวาให้กับเฟนเนกได้”
“หากจิตวิญญาณอิลานาให้ความอุดมสมบูรณ์นิรันดร์แก่อีธาราได้ ก็ไม่แน่นะขอรับ”
“แกรู้ไม่จริงซะหน่อย”
“แล้วท่านรู้ถึงอิทธิฤทธิ์แห่งอิลานาหรือ”
มันส่ายหน้าจำนน
“ก็ไม่เสียหายเพื่อให้ได้คนรักของท่านกลับมา อิลานาคงเข้าใจในความปรารถนาอันแรงกล้าของท่านดี อิลานาอาจให้อภัยท่านได้”
“อิลานาเป็นแค่ต้นไม้เองนะ”
เฟนรีสหัวเราะเยาะอ่อนล้าเบาๆ นึกตลกร้ายหากต้นไม้จะลงทัณฑ์ในความเห็นแก่ตัวอย่างสาสม
“สมแล้วที่เป็นท่าน”
มันรีบกล่าวคำเยินยอสรรเสริญ
“อิลานาไม่ควรค่าไปกว่าชีวิตของท่านเฟนเนกในการดำรงอยู่เคียงข้างท่าน ท่านเฟนรีสผู้ยิ่งใหญ่”
เฟนรีสค่อยๆ ชันตัวเองลุกขึ้นสี่ขาเหยียดตรง มองตรงไปยังใจกลางพฤกษายักษ์เขียวแน่วแน่ ไม่ละสายตาหนีไปตรงไหนอื่น
ยื่นปากเข้าแงะจิตวิญญาณอิลานาซึ่งคาปากออกมาอย่างง่ายดาย
ใบของต้นอิลานาไม่เคยร่วงโรยทั้งเขียวขจีทุกฤดูกาล กลับแห้งกรอบเป็นสีน้ำตาลขณะโปรยปรายหลุดร่วงจากกิ่งก้านสาขาทีละหย่อมเรื่อยๆ
ใบไม้แห้งใบหนึ่งร่วงลงบนจมูก มันมองขึ้นไปด้วยความตกใจสุดขีด เพิ่งมาตระหนักได้ตอนที่สายเกินจะยับยั้งแก้ไขในสิ่งที่ตัวมันเองทำลงไปอย่างขาดสติ กิเลสเข้าครอบงำจิตใจ ไม่ใช่เป็นเพราะคำพูดชักจูงของวาตานด้วยซ้ำ หากจิตใจของมันเอนเอียงมาก่อนแล้ว มันต้องการแค่การถูกปลุกเร้าให้สิ้นคิด
ลำต้นแห้งกรอบ เปลือกไม้แตกระแหงลงมาต่อเนื่อง
“นี่แกให้ฉันทำอะไร!”
มันตวาดด้วยความหวาดกลัวสุดขีด ทำตัวไม่ถูกไปไม่เป็น ชะงักงันราวกับถูกสาปเป็นศิลาทื่อๆ
วาตานหายตัวไปจากตรงนั้น ที่ปากของมันไม่มีจิตวิญญาณอิลานา จังหวะที่มันพลั้งเผลอไปชั่วขณะ สติเตลิดไม่เกิดปัญญา
มันปรากฏตัวอีกครั้งด้านหลังต้นคาริปส์ต้นนั้น เหมือนคืนแรกที่มันมาเยือนที่นี่ ในมือข้างหนึ่งถือจิตวิญญาณพฤกษายักษ์เขียวไว้ แสยะยิ้มเยาะหยัน
“จงภูมิใจในความยิ่งใหญ่ของท่านไปเถิด ท่านเฟนรีส”
มันกล่าวเสียงพึงพอใจในตนเองอย่างมาก
“แม้แต่ท่านก็โง่เขลาเบาปัญญาได้เฉกกัน หากขาดสติยับยั้งชั่งใจอะไรควรไม่ควร”
“ไอ้จอมกะล่อน”
มันไม่หัวเราะ เพียงยิ้มกว้างกว่าเดิมเท่านั้น
“ท่านก็รู้ว่าวาตานเป็นเช่นไร ท่านยังหลงผิดอยู่ร่ำไป แท้จริงแล้วจิตวิญญาณอิลานาไม่ได้ช่วยปลุกชีพใครทั้งนั้นหรอก ครั้นอีธาราขาดการหล่อเลี้ยงจากต้นไม้ที่กำลังจะตายซากในเร็วๆ นี้ ถึงคราวโลกาวินาศเพราะท่าน”
“ไม่!”
เฟนรีสคำรามกึกก้องเดือดดาล
“เป็นเพราะแกต่างหาก แกหลอกฉันให้หลงงมงาย”
“เหอะ”
มันส่งเสียงในลำคออย่างสมเพช
“กระผมงั้นเหรอ ไม่เลย --- เพราะท่านเองต่างหาก คำชี้แนะของวาตานตนหนึ่งไม่ได้เข้มแข็งพอ มันคือการตัดสินใจอันเด็ดขาดของท่านเองแท้ๆ ฉะนั้น จะกล่าวโทษใครว่าผิด ก็คงเป็นตัวท่านเองที่ตัดสินใจผิดมหันต์”
วาตานมองด้วยแววตาเวทนา
“กระผมคงต้องจากไปพร้อมกับอิลานาที่รักแล้วล่ะ จะไม่ให้ใครหามันเจอเพื่อฟื้นฟูอีธาราให้กลับมาเขียวชอุ่มได้อีกกาลนาน --- ลาก่อน ท่านเฟนรีสผู้ยิ่งใหญ่ ที่ใหญ่ยิ่งกว่าคือกิเลสบังตาจนมืดบอด”
ชั่วพริบตาเดียวที่เฟนรีสหมายจะกระโจนเข้าหามัน วาตานก็ได้หายตัวไปจากตรงนั้นเสียแล้ว
มันค่อยๆ คืบคลานหาร่างไม่รับรู้สิ่งใดกำลังเป็นไปของเฟนเนก
มันเพิ่งสังเกตเห็นว่าเรือนขนกลายเป็นสีเทาจางๆ
ความเสื่อมโทรมลุกลามไปทั่วอีธารารวดเร็ว ประหนึ่งคลื่นยักษ์แห่งความโสมมถาโถมดินแดนแห่งชีวิตให้กลายสภาพเป็นดินแดนแห่งความตายทั่วทุกหนระแหง
รังสีการระเบิดสีน้ำตาลอันมหาศาลจากต้นอิลานา สลายกายหยาบของเฟนรีสและเฟนเนก เหลือเพียงธุลีสีน้ำเงินและสีเทาปลิวว่อนกระจัดกระจาย ก่อนร่วงกราวแทรกซึมลงไปในพื้นดินสีดำสนิท
ทว่า ก้อนปุยสีขาวถูกแรงระเบิดหอบพัดไปตกที่ห่างไกลโพ้นจากต้นไม้ยักษ์บิดเกลียว ณ ดินแดนรกร้างว่างเปล่า
.·˚
⊱ สองแขนหญิงสาวโอบอุ้มด้วยความทะนุถนอม ประหนึ่งสิ่งเปราะบางสุดในโลก วางทารกชายแรกเกิดลงบนผืนผ้ากำมะหยี่สีแดงสดครึ่งหนึ่ง สีน้ำเงินครึ่งหนึ่ง ปักด้วยดิ้นเป็นลวดลายพระอาทิตย์ (กลางวัน) และพระจันทร์ (กลางคืน) รายล้อมด้วยดวงดาว ถูกเรียกว่าผืนผ้าพยากรณ์ สำหรับพิธีกรรมพยากรณ์บุตร
เด็กแรกเกิดทุกคนในหมู่บ้านเสียงสายลมใต้จะต้องได้รับการพยากรณ์ทั้งชื่อ รวมถึงการดำเนินชีวิตจะต้องเจริญเติบโตในวันข้างหน้า
แม่หมออาฟฟาทำพิธีเรียกขวัญมารวมที่จุดกลางกบาล มันคือต้นตอของเรื่องราวการดำเนินชีวิตตั้งแต่ปัจจุบันจวบจนอนาคตที่มองไม่เห็น
หากหญิงชรานั้นมืดบอด หล่อนไม่สามารถมองเห็นสิ่งใดได้นอกจากความดำมืด ที่ดวงตามอบให้ทั้งชีวิต
อยู่ๆ หล่อนก็โพล่งขึ้นมา หลังจากความเงียบและความกดดันปกคลุมทำให้พื้นที่ห้องนี้คับแคบนานสองนาน ไม่ได้ยินแม้แต่เสียงลมหายใจสักแอะ เพราะไม่มีใครจดจ่ออยู่กับมันเท่าลูกชายคนแรกของผู้นำหมู่บ้าน ที่ทุกคนในหมู่บ้านแห่งนี้ให้ความสนใจเป็นพิเศษ นิ้วชี้กดอยู่ตรงกลางศีรษะบอบบางทารก
“เอกา”
หล่อนมอบชื่อนั้นให้ทารกน้อย
“มันหมายความว่าอย่างไรคะ”
แม่สะใภ้เอ่ยถามอย่างร้อนใจกว่าใคร จะบอกได้ว่าการมีหนึ่งชีวิตถือกำเนิดใหม่เป็นเรื่องน่าตื่นเต้นสำหรับครอบครัว สำหรับคนทั้งหมู่บ้านด้วยกันเอง พวกเขาจะนำความหมายชื่อและคำพยากรณ์ไปตีความว่าดีหรือไม่อย่างไรนั่นเอง
“หลงทาง”
“หลงทางงั้นหรือ”
หญิงสาวผู้เป็นแม่เกิดความวิตกกังวลท่วมท้นหัวใจ แต่ก็ไม่มั่นใจไปในทิศทางไหนได้แม่นยำสุด
แม่หมออาฟฟาเริ่มเปล่งเสียงแข็งแรง ชัดถ้อยชัดคำ ถักทอคำพยากรณ์
ความเจ็บไข้
นำทิศทางสู่ดินแดนแห่งคนตาย
ความเจ็บปวด
จักทำให้ดวงตาของเขามืดบอดสนิท
การถูกล่อลวงข้างในจิตใจเป็นหนทางไปสู่การตัดสินใจผิดมหันต์
แม่หมออาฟฟาร่ายคำพยากรณ์ชีวิตจบลง ตอนที่ชักนิ้วออกจากศีรษะเอกา
.·˚
⊱ พื้นที่สีแดงฉานปกคลุมทั่ว
ร่างไร้สติในวัยสิบสองปีของเอกาลอยละลิ่ว แผ่นหลังกระแทกชนต้นไม้ ก่อนที่จะร่วงหน้าทิ่มพื้นดินสีดำ
﹌﹌﹌﹌﹌﹌
เสียงหญิงชราผู้มอบชื่อติดตัวยังคงก้องอยู่ในหัวของเขา
เอกา
˚·.
.·˚
˚·.
ผู้หลงทาง
˚·.
.·˚
˚·.
เขาสะดุ้งเฮือกฟื้นจากอาการหมดสติ บางอย่างที่หลงลืม มันขาดหายไปอย่างที่รู้สึกได้ แต่ก็ไม่รู้ว่าพวกมันคืออะไร
เขาค่อยๆ เปิดเปลือกตาหนักอึ้งราวกับถูกถ่วงด้วยตะกั่ว
แต่แล้วสติถูกปลุกให้ตื่นตัวฉับพลันทันด่วน เขาดีดตัวลุกขึ้นยืน แม้โซเซเล็กน้อย ราวกับพื้นใต้เท้าไม่มั่นคง แต่ก็ทรงตัวยืนตรงได้ในที่สุด พร้อมกับพ่นชื่อนั้นออกมาอย่างแผ่วเบา ซึ่งสิ้นหวังกลับสับสนในความรู้สึกนี้
มานิ
นิยายวาย
แฟนตาซี
ผจญภัย
บันทึก
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
Eka: Spirit of Green Giant Legend
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย