13 ธ.ค. 2022 เวลา 03:30 • นิยาย เรื่องสั้น
บางอย่างที่ขาดหาย
⊱ เอกาหันมองไปรอบๆ ตัว ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตรงนี้เป็นที่แรก เขารู้สึกพร่ามัวในหัว แถมยังปวดหนึบทั้งหนักอึ้งราวกับมีหินก้อนใหญ่อยู่ข้างในกะโหลกแทนที่ก้อนสมองอย่างไรอย่างนั้น เอกาจึงเงยหน้าขึ้นฟ้า พลางหลับตา หวังว่าจะช่วยทุเลาอาการนี้ไปได้บ้าง
พอเอกาลืมตาขึ้นอีกครั้ง เขาเห็นอะไรๆ ได้ชัดเจนมากกว่าเดิมเป็นไหนๆ
ท้องฟ้าสีคราม คล้ายฝนกำลังตั้งเค้าตลอดทั้งวัน ปลอดเมฆ เอกาไม่มั่นใจเท่าไรนัก ว่าเวลานี้เป็นยามไหนกันแน่ ปราศจากกลิ่นชื้นสัมผัสบรรยากาศก่อนฝนตก แม้แต่อุณหภูมิลดต่ำลง
เอการู้สึกถึงความไม่สมเหตุสมผล ความเป็นธรรมชาติไม่ปกติสิ่งอันพึงจะเป็น จนเกิดความกลัวอยู่ข้างในใจลึกๆ สับสนชวนมึนงงกับสิ่งผิดแผกนี้ มันเป็นอะไรไม่ชอบมาพากลเอาเสียเลย
โลกถูกย้อมด้วยสีตุ่นๆ จึงไม่สดใส แสงแดดจากดวงตะวันเหือดหาย ไม่มีลอดผ่านแมกไม้เปรียบดั่งหลังคาโลกสักลำเดียวข้างบนลงมาถึงเบื้องล่างนี้บ้างเลย ภายในป่ามืดทึบ ยังพอแยกแยะผ่านดวงตาใสแจ๋วว่าอะไรเป็นอะไรห่างออกไปเป็นเมตรๆ ได้ดีเกินความเป็นไปได้อย่างยิ่งยวด
มันไม่มีทางเป็นไปได้แน่ เขาไม่เชื่อขณะที่ประจักษ์ครั้งแรก อดรู้สึกอัศจรรย์ทั้งกังวลระคนกันเสียไม่ได้
การคาดเดาอะไรก็ตาม โดยไม่ได้รับคำตอบทันที อาการค้างคาใจ อารมณ์ของเขาไม่คงที่ รอบตัวปั่นป่วน ทว่า สงบนิ่งอยู่ตรงกลางลมพายุุบ้าคลั่งประมาณนั้นทีเดียว
เอกาลดหน้าต่ำลงมา การที่ต้องจับจุดสนใจเป็นอย่างๆ ส่งผลให้เขาพลาดรายละเอียดที่เป็นอยู่รอบตัว หาคำตอบอีกข้อหนึ่งบัดนี้ไม่ได้ถ่องแท้นัก ว่าทุกอย่างในระยะบริเวณใกล้ๆ ตัว มันเป็นแบบนี้มาตั้งนมนานแล้ว หรือมีภัยพิบัติบางอย่างเพิ่งเกิดขึ้นในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง เขาไม่เคยรับรู้ถึง ทำให้ต้องเกิดปรากฏการณ์คล้ายโรคระบาดแพร่กระจายลุกลามผืนพงไพรนี้
เด็กชายเริ่มหันมองรอบๆ ตัวอย่างพรั่นพรึง มันเป็นอะไรซึ่งเขาเองไม่เคยประสบพบเจอมาก่อนสักครั้งในชีวิต อาการหวาดกลัวถึงขั้วหัวใจ จนสั่นสะท้านทั้งร่างอย่างบอกไม่ถูก
ต้นไม้ทุกต้นในระยะมองสายตาเท่าที่มองเห็น ใบไม้งอกตามกิ่งก้านสาขารกครึมบนยอดต้นเป็นสีดำแห้งเหี่ยวอย่างเห็นได้ชัด ไม่ใช่เพราะความทะมึนภายในป่าบิดเบือนแต่อย่างใด
เปลือกหุ้มลำต้นแตกระแหงอย่างกับตอตะโก ลำต้นโอนเอนไร้น้ำหนักโน้มไขว้ทับซ้อนกันไปมา เหลือความแข็งแรงมั่นคงไว้กับรากยึดเกาะใต้พื้นดิน รูปร่างแปลกประหลาดชวนสยองขวัญไม่ชวนยลชม
เอกาเข้าไปดูใกล้ๆ เพื่อความแน่ใจเสริมความหนักแน่นไม่ได้หลอกหลอนไปเออเอง ว่าสิ่งที่เห็นเด่นชัดไม่ใช่รากไม้แทงทะลุหน้าดิน ทว่า เป็นเถาไม้เลื้อย ละอองสีดำแตกประทุออกมา ส่งกลิ่นเหม็นเน่าเสียยิ่งกว่าดอกพาหับเป็นไหนๆ เกือบคลื่นเหียน ไม่ต่างอะไรกับกลิ่นซากศพตายมาหลายวันเลยทีเดียว
เอกาผงะถอยหลังหนีแทบจะทันใด ทั้งที่ยังเข้าใกล้ไม่มากด้วยซ้ำ รุนแรงเกินทานทนเสียจริง หนามแหลมคมยาวงองุ้มคล้ายกรงเล็บอินทรีตกแต่งเถาข่มขวัญ ยิ่งกว่านั้นมันหลั่งของเหลวสีแดงก่ำโลหิตปะปนกับของเหลวสีเหลืองหนืด ออกดอกกลีบใหญ่โตบานสะพรั่งขับของเหลวแบบเดียวกันไหลหยดลงพื้นร้อนฉ่าส่งควันดำพวยพุ่ง ตรงกลางของดอกมีปล่องทรงกลมรัศมีความกว้างหนึ่งเมตร ม่านหมอกและสะเก็ดดำแดงเบาบางกว่าอากาศลอยฟุ้งไม่ขาดสาย
ต่อให้ใช้แขนเสื้อคลุมสีครามป้องจมูกก็แล้ว ยังได้กลิ่นทรมานทำลายโพรงจมูกอยู่เลย
เอกาค่อยๆ เขยิบเข้าใกล้ทีละนิดทีละหน่อย จนอยู่ใกล้กับปากปล่องอีกแค่เอื้อมมือ ยื่นหน้ายื่นตาลงไป เป็นการสำรวจความมืดมิดเกินหยั่งด้านใน ซึ่งไม่ได้ประโยชน์ตอบแทนกลับมาเสียเลย
อยู่ๆ ภายในปล่องอนธการก็ระเบิดเสียงกรีดร้องโหยหวนสยดสยองของคนมากมายผสมผสานพร้อมเพรียงกันจนแยกไม่ออก เอกาถึงกับหวาดผวาล้มก้นจ้ำเบ้า ขุมขนทุกอณูบนเรือนร่างลุกตั้งชูชันคราวเดียว ฝ่ามือยันพื้นไว้ด้านหลังเกยขอบหลุมอะไรสักอย่างหนึ่งสีกาฬสนิท ผิวหน้าวูบไหวเป็นระลอกคลื่นปุดๆ ของของเหลว ควันดำระเหยเหนือปากหลุม
เอการีบชักมือให้พ้น แม้จะไม่สามารถรับรู้ถึงอุณหภูมิว่าสูงเดือดหรือต่ำเยือกแข็ง หนำซ้ำเขามักไม่รู้สึกถึงอะไรสักอย่างเดียวจริงๆ จังๆ ชวนพิศวงใจยิ่งนัก
พรมหญ้าใต้ร่างเป็นหย่อมๆ มีเกล็ดน้ำค้างแข็งห่อหุ้มไม่บาดผิว
เขาตั้งใจจดจ่อกับพื้นเบื้องล่างทุกทิศทุกทางอีกสักครั้ง
ความเยือกแข็งปกคลุมผืนใบเหี่ยวเฉาเรียวยาว และหน้าดินทั่วทุกหนแห่งเป็นแน่
เอกาไม่รู้ว่าที่แห่งนี้คือที่ไหนกันแน่
เด็กชายเริ่มออกเดินจากจุดเริ่มต้นด้วยอาการมึนงง ตัวเขาไม่รู้จะต้องไปไหน ในใจลึกๆ ของเอกาคือแค่ต้องการไปให้พ้นจากสถานที่พิลึกพิลั่นทั้งไม่คุ้นเคยแห่งนี้ แล้วมีโอกาสเป็นไปได้บ้างไหม เขาจะบังเอิญเจอสถานที่คุ้นเคย อย่างหมู่บ้านเกิดของตัวเอง
ที่สำคัญ เอกาไม่รู้เหตุผลความน่าจะเป็นในการออกมาไกลจากหมู่บ้านด้วยตัวคนเดียวตามลำพังเช่นนี้เลย
เขาเคยเข้าป่ากับพ่อตอนอายุเก้าขวบห้าถึงหกครั้ง ช่วงสองถึงสามปีให้หลัง เขาเริ่มจับอาวุธอย่างธนูไม้และหอกตั้งแต่อายุหกขวบ กระทั่งคล่องมือเป็นที่น่าพึงพอใจในสายตาคนเป็นพ่อ เพื่อฝึกฝนความเป็นพรานนักล่ามืออาชีพ จะได้สมชื่อเสียงเรียงนามตนสะสมว่าเป็นพรานป่าผู้ช่ำชองมาก่อน แต่ไม่เคยเข้ามาลึกจนทำตัวหลงป่าอย่างตอนนี้ ถึงแอบลักลอบเข้าป่าด้วยตัวเองบางครั้งบางคราว ก็ไม่แม้แต่ถูกจับได้แล้วโดนให้โทษกักบริเวณสักครั้ง ที่ไม่อนุญาตให้เข้าป่า กว่าพ่อจะยกเลิกบทลงโทษไปเอง
เอกาจึงทำได้เพียงเดินคลำทางอย่างไร้ทิศทาง แสงตะวันบอดฟ้า ไม่รู้ทิศเหนือทิศใต้เลย
ซึ่งการที่ป่ากอปรแค่ต้นไม้ใบหญ้า ในความแตกต่างเพียงเล็กๆ น้อยๆ ก็ยังทำให้รู้สึกถึงความเหมือนๆ กันไปเสียหมด จนบางทีสับสน เหมือนกำลังถูกเล่นตลก ว่ากำลังเดินวนๆ อยู่ที่เดิมไปมาหรือไม่ จะประสาทเสียเอาได้น่ะนะ
เอการุดตรงไปข้างหน้าเรื่อยๆ พบเข้ากับดินถนนช่วยนำร่อง ตลอดสองข้างทางใบหญ้าแห้งเหี่ยวขึ้นรกหนา น้ำแข็งเกาะแน่น ไม่มีตรงไหนเขียวชอุ่มให้เห็นสบายตาสบายใจ ช่วยกลบความคิดในแง่ลบว่าไม่มีอะไรร้ายแรง เช่นมหาภัยพิบัติโรคระบาดซึ่งเกิดกับสิ่งหล่อเลี้ยงชีวิตคณานับเป็นพิษ ความเสื่อมโทรมนี้ส่งผลกระทบลูกโซ่ในแหล่งน้ำ พื้นพิภพ รวมถึงพืชนานาพรรณ
เขาเพิ่งคำนึงได้ว่าประสาทการรับรู้ภาพท่ามกลางความมืดสลัวราง ดวงตาคู่นี้สามารถใช้งานได้เป็นปกติดี มองสิ่งต่างๆ รอบตัวไม่ได้มีความรู้สึกต่างจากตอนมีแสงและเงาคอยช่วยจำแนกสีสัน ไม่พึ่งพาการเพ่งสายตาอย่างหนักให้ปวดล้ากล้ามเนื้อตา
ครั้งหนึ่งเอกาเผลอเพ่งมอง กลับเห็นสิ่งแตกต่างน่าเหลือเชื่อ เป็นไปไม่ได้แน่ เขาสรุปทันด่วนโดยที่ยังไม่เข้าใจอะไรเป็นอะไรลึกซึ้ง ถึงความสามารถเหนือธรรมดานี้ เขาไม่เคยมีติดตัวอยู่แล้วเป็นแน่ ไม่รู้ว่าจะสรรหาข้ออ้างอิงแน่ชัดสักอย่าง เพื่อพิสูจน์ถึงแก่น และได้ข้อสรุปอันจริงแท้แน่นอน ว่าเป็นไปได้อย่างไรนั่นเอง
กิ่งก้านสาขาใบไม้ยอดหญ้าเริงระบำท่วงท่าอ่อนแรงเสียดสีกัน อย่างกับเสียงกระซิบกระซาบความทุกข์ทรมานของพงไพรแว่วแผ่วเบามาตามกระแสลมเฉื่อยอ่อน
เอการู้สึกลึกๆ ว่าตนไม่ไว้วางใจป่าอีกต่อไปแล้ว กาลครั้งหนึ่งเปรียบดั่งสหายรัก ให้พื้นที่เล่นขนาดกว้างใหญ่ไม่สิ้นสุด สนุกสนานเพลิดเพลินอารมณ์กับมานิด้วย มิตรสหายคนสนิทที่สุดที่เขาคบหา และชวนกันออกเล่นสองคน มากกว่าเด็กวัยเดียวกันคนอื่นๆ ในหมู่บ้านของเขา
เด็กชายหมุนตัวไปทุกทิศ อารามตื่นตระหนกสุดขีด จากอาการหวาดระแวงทุกขณะจิตอยู่เดิมแล้ว นัยน์ตาสั่นหลุกหลิกลนลานกวาดหาแหล่งที่มาของเสียงปริศนาก้องสะท้อนภายในป่าเงียบวิเวกผิดแผกห้อมล้อมรอบตัว
ไกลจากตำแหน่งเขาหยุดชะงักจังงัง ขาทั้งสองข้างแข็งค้างยกขยับได้ยากเหลือเกินเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ เขาไม่ได้อยากอยู่ตรงนี้นานสักวินาทีเดียว แม้แต่เฝ้าคอยคำตอบว่าเป็นการเคลื่อนไหวของตัวอะไรก็ตามสักอย่าง แยกจำนวนแน่ชัดไม่ได้ง่ายกำลังมุ่งไป ไม่ก็ใกล้เข้ามา หรือไม่มีอะไรเลย เพียงแค่ลูกเล่นของป่ากำลังหลอกหลอนปั่นประสาทเขากันแน่
สวบสาบ
เงียบ
เข้ามาใกล้
สวบสาบ
เงียบ
เข้ามาใกล้ขึ้นอีกระยะ
สวบสาบ
เงียบ
เข้ามาใกล้จนได้ยินการเคลื่อนไหวเบื้องหลังพุ่มไม้สูงท่วมหัวชัดเจน
เอกา
เสียงเหยียบเย็นทั้งยานคางของบุรุษพลันดังขึ้นในหัว มันลามเลียมาตามสันหลัง จนรู้สึกสั่นสะท้านไปทั้งร่าง แทรกซึมลึกลงไปแช่แข็งหัวใจของเขา
บางอย่างนั่นได้เคลื่อนผ่านพุ่มไม้ทางฝั่งขวามือใกล้ๆ ไวๆ แวบเดียว
เขารุดวิ่งตามไปทันใด คอยสังเกตการสั่นไหวของใบไม้บนยอดพุ่ม ทางด้านหลังพุ่มไม้ไม่นิ่งอาจกำลังมีตัวอะไรก็ไม่รู้ไล่ตามสมทบมาอีกที
หากเอกาไม่ได้วิ่งหนีสิ่งที่เอาแต่หลบซ่อนอยู่เบื้องหลังพุ่มแต่อย่างใด เขากำลังไล่ตามพวกมันให้ทัน โดยสังเกตจากจุดสั่นไหวของใบไม้ ประสงค์ได้คำตอบที่สุด ไม่ตัวอะไรจะน่ากลัวจนทำให้ขวัญหนีดีฟ่อขนาดไหน เขาก็ต้องประชันกับมันซึ่งๆ หน้ารู้แล้วรู้รอดไป ที่มันรู้จักชื่อของเขา เอกากลับไม่รู้จักมันเลยสักนิด และมันต้องการอะไรจากเขาด้วยนั่นเอง
ฉับพลันพื้นใต้เท้าเอียงลาดชันลง สะดุดจังหวะก้าวล้มตัวกลิ้งหลุนๆ สูงเท่าไรไม่มีเวลาได้สังเกตกะประมาณ ห่างอีกไม่ไกลนัก มีโขดหินใหญ่กำลังรอคอยรับการกระแทกของร่างเอกา เขาเห็นเช่นนั้นแล้ว ไม่ปล่อยให้สติแตกกระเจิง ก็ใช้มือกุยหน้าดิน ทั้งเท้าเตะปัดป่ายเพื่อชะลอความเร็วขณะลื่นไถลไม่หยุด
ยันเท้าข้างหนึ่งแตะผิวเทาแข็งกระด้าง ส่งตัวดีดขึ้นสูง ร่วงลงอย่างอิสระ พอจะถึงพื้นข้างล่างความสูงห้าเมตร เขาตีลังกาม้วนหน้าหนึ่งตลบ นอนราบคว่ำหน้าแผ่หลา
ขณะเดียวกัน สิ่งมีชีวิตสีขาวโพลนร่างเล็กบอบบางกระโดดกางขาทั้งสี่ต้านอากาศ เท้าทั้งสี่เท้าข้างเหยียบพื้นได้งามสง่า เอกาผุดลุกขึ้นฉับไว มันก็พุ่งปราดเข้าซ่อนตัวอยู่ด้านหลังขาของเขา ก้มมองด้วยอารามใคร่ฉงน ว่ามันคือตัวอะไรกันแน่
สุนัขจิ้งจอกหิมะขนาดความสูงสามสิบเซนติเมตร ความยาวหนึ่งเมตร ท่าทีหวาดกลัวทั้งเหนื่อยหอบ ชำเลืองสายตาผ่านท่อนขาของเอกาไปยังจุดที่มันเพิ่งกระโจนออกมา เขามองตามสายตายังไม่พบตัวอะไรก็ตามที่มันหนีตายอุตลุด เพื่อรักษาชีวิตเล็กจ้อยท่ามกลางพงไพรอนันต์ ซึ่งบ้านของมันแปรเปลี่ยนไปในทิศทางเลวร้าย หาคำตอบแท้จริงตรงนี้ยังไม่คลายปริศนาลึกลับ
ปลดปล่อย
เพิ่งถึงบางอ้อแหล่งที่มาของเสียงเย็นยะเยือกและเนิบนาบ อย่างกับทุกคำมันส่งกระแสจิตมาถึงเขา ได้ผลาญพละกำลังของมันไปมาก
เอกาไม่เคยรู้มาก่อน สุนัขจิ้งจอกสามารถสื่อสารกับตนผ่านคลื่นสมองได้ด้วย กอปรกับเรือนขนขาวสกาว เป็นสิ่งย้ำเตือนความเป็นไปได้ จะพบตัวมันได้ยากมากโข อะไรที่แปลกประหลาดจากสายตาเห็นคุ้นเคย
คนในหมู่บ้านจะมองมันเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ สัตว์ของอีธาราและอิลานารังสรรค์มอบความพิเศษเหนือกว่าสัตว์ธรรมดาอื่นๆ ในโลกใบนี้ ดั่งเทพารักษ์พิทักษ์สิ่งของตนถือกำเนิดขึ้นมา การที่เหล่าผู้คนไม่เข้าใจถึงการสำรวจค้นหาลึกเข้าไปเกินหยั่ง ใช่ว่าสิ่งเหล่านี้จะไม่มีอยู่ดาษดื่น แต่สำหรับสุนัขจิ้งจอกขาวตนนี้ถือว่ามหัศจรรย์เกินไป เอกามั่นใจว่าตนไม่ได้จิตปรุงแต่งขึ้นมาเอง มันกำลังสนทนาระหว่างเขาผู้เดียว ผ่านเสียงก้องในหัว
แววตาวิงวอนขอให้เอกาสามารถเชื่อใจในตัวมันได้ โดยไม่ต้องมีข้อกังขาให้วุ่นวายก่ายกอง เพราะไม่ใช่กับสถานการณ์เป็นตายแบบนี้
นี่คือสิ่งสุดท้ายที่ฉันต้องการจะขอนาย---
เป็นที่แน่นอน เอกาต้องไม่เข้าใจข้อความนัยยะนี้ ถึงสิ่งที่มันต้องการสื่อกับเขาตรงๆ ขณะเดียวกัน เขาได้ใกล้ชิดความคุ้นเคยในน้ำเสียงแฝง
และไม่ได้มีเวลามากพอจะไถ่ถามให้ได้ถึงแก่นสารเข้าใจในความหมายนั้นของสุนัขจิ้งจอกตัวนี้มา มันรีบหลุบหน้าลงพื้นทันใด ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมามองสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมดาสามัญตรงๆ โครงร่างของพวกมันสามตนเป็นเถาไม้แก่ๆ ม้วนคดพันเกลียว ส่วนสูงทุกตนเทียบเท่าหน้าอกเขา ดวงตาบนแผ่นหน้าเปลือกไม้กลวงโบ๋จ้องเขม็งมาที่พวกเขามุ่งร้ายหมายอาฆาต
เหนือส่วนหัวมีเขาแตกหน่อสั้นๆ เหมือนกวางตัวผู้วัยละอ่อน ของเหลวสีแดงปนเหลืองไหลเวียนตามร่องเปลือกทุกอณูบนเรือนร่าง ในกำมือทั้งสองข้างแบกขวานไม้หนาหนัก ใบหินคมกริบไว้กระชับ การยืนหยั่งเชิงพร้อมตั้งท่าเข้าจู่โจมทุกขณะ หากเหยื่อทีเผลอเมื่อไรน่ะนะ
มันใช้ส่วนเท้ามีกรงเล็บแหลมคมงอกออกสะกิดขากางเกงยาวผ้าไหมสีกรมซีดๆ เขาเบาๆ ตรงข้างเท้าข้างซ้าย ด้ามไม้สีน้ำตาลความยาวหนึ่งร้อยห้าสิบเซนติเมตร ในขณะส่วนสูงของเอกาหนึ่งร้อยหกสิบเจ็ดเซนติเมตรวัยสิบสองปี ปลายด้ามฝั่งหนึ่งคือหัวหอกประดับด้วยหินสลักอันมีลวดลายเกลียวคลื่นประณีตเหล่านั้นเลื้อยไปตามด้าม ส่องแสงสีขาวบริสุทธิ์เรืองรองไสว ทำให้พื้นดินตรงนั้นไร้น้ำแข็งปกคลุมหย่อมหนึ่ง หน้าดินและใบหญ้ากลับมาชุ่มชื้นทั้งเขียวขจีอุดมสมบูรณ์อีกครั้ง
เอกาคว้าหอกติดมือขึ้นมา ถึงสุนัขจิ้งจอกสีหมอกตัวนี้ไม่ได้สื่อสารเข้ามาในหัวของเขาเป็นคำพูดอีกแล้ว ในเชิงสัญลักษณ์จากอากัปกิริยาของมันแน่ชัดนัก มันต้องการให้เขาใช้อาวุธชิ้นนี้ เพื่อทำการต่อกรกับอสุรกายเถาไม้พวกนั้นเป็นแน่ แม้เขาไม่เห็นเจ้าหอกนี่ ตั้งแต่ที่แรกว่าหอกเล่มนี้มีพลังแห่งความชุ่มชื้นสดชื่นยามจับ ราวกับนำมือแช่อยู่ในน้ำเย็นๆ เขาสัมผัสและได้กลิ่นอายสายธารใสสะอาดไหลเวียนทั่วทั้งตัว
ชั่ววูบเดียว เอกาเหวี่ยงหอกปรับเปลี่ยนท่ายึด ไว้ในมือทั้งสองข้างให้ทะมัดทะแมงมากกว่าเดิม เงาสะท้อนดวงหน้าวงรีสีอัลมอนด์ สันจมูกโด่ง ใต้เส้นคิ้วดกหนานัยน์ตาน้ำตาลบลอนด์ เหนือเรือนผมหยิกหยักศกน้ำเงิน เขาไม่รู้ว่าตัวเองตาฟาดไปหรือไม่ เห็นใบหูสามเหลี่ยมขาวด้านในน้ำเงินตัดขอบตั้งตรงคล้ายหมาป่า แทนที่ความรู้สึกใบหูมนุษย์ ไม่ได้มีอยู่ด้านข้างศีรษะเขาอีกต่อไป
เอกาที่กำลังถูกเข้าจู่โจมโดยไม่ทันได้ตั้งตัว จึงไม่มีเวลามากไปกว่าวินาทีเดียวให้ต้องตกตะลึงงันกับสิ่งแปลกปลอมบนร่างกาย ซึ่งยังคลุมเครือค้างคาในใจ ทว่า ถูกทลายลงในชั่วพริบตาเดียวรวดเร็วพอกัน เขารวบรวมสติมุ่งเน้นอยู่ที่การต่อสู้กับปิศาจเถาไม้สามตนดาหน้าเข้าหาพร้อมๆ กันทีเดียว
เขาเบี่ยงตัวหลบใบหินลับคม กะจะฟาดผ่ากลางได้หวุดหวิด สวนด้วยการฟาดปลายหอกเข้ากลางแผ่นหลังอสุรกายตนนี้ แสงสีขาวเปล่งประกายสว่างวาบ ดอกฟันสิงโตปรุโปร่งดั่งแก้วใสฟุ้งกระจัดกระจายรอบตัว ก่อนค่อยๆ ร่วงกราวสู่พื้น ไม้ดอกนานาชนิดต่างเจริญงอกงามเป็นวงก้นหอย ผืนหญ้าเหนือดินดำกลับมาเป็นเขียวสดเหมือนได้ความมีชีวิตชีวาอีกครั้ง
ร่างอสุรกายเถาไม้ตนนั้นลุกวาบด้วยแสงสว่างสกาวบริสุทธิ์ กระแสธารพลังงานชั่วร้ายไหลเวียน กำลังถูกทำลายลงในตัวมันนั่นเอง
สุนัขจิ้งจอกกระโจนใส่ปิศาจเถาไม้อีกตน ง้างคมขวานเตรียมจามเขาจากด้านข้าง มันช่วยขัดจังหวะเฉียดตายได้ดีทีเดียวเชียว
มันกระโดดหนีห่างให้พ้นวงรัศมี ตอนที่เอกาเหวี่ยงหอกกระแทกไปยังด้านหน้าส่วนอกของมัน อสุรกายตนนั้นกระเด็นถลาถอยหลังก้าวสองก้าว
เด็กชายได้ที กระหน่ำหวดทั้งฟาดอีกสองทีติดต่อกัน เถาไม้ตนนั้นแหลกสลายจมหายใต้พสุธา
เอกาหันขวับ ขว้างหอกปล่อยจากมือ พุ่งเสียบคากลางอก ร่างอสุรกายล้มลงหน้าคว่ำพื้น ก่อนจะแหลกละเอียดเป็นผุยผง ดอกฟันสิงโตโปรยปราย ทำให้ลายวงคดก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างชัดเจนมากขึ้น
หอกเวทมนตร์นอนแอ้งแม้งตรงนั้น มันเลือนหายอย่างรวดเร็ว แต่ไม่มีเวลาสำหรับการให้รู้สึกใจหายใจคว่ำเลย ทีแรกคิดว่าทำผิดพลาด ไม่ก็ใช้การแบบนี้ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น มันมาปรากฏอยู่ในมือข้างเดิมของเขาอีกครั้ง อย่างกับเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งร่างกาย ต่อให้จะปล่อยหลุดจากมืออีกสักกี่ครั้ง ก็จะกลับมาหามือข้างที่เคยถือมันไว้ในสภาพสมบูรณ์แบบเดิมทุกประการ
เอกาจึงไม่ต้องเสียเวลาวิ่งไปหยิบคืน ขยับเข้าประชิดศัตรู ไม่หยั่งถึงเหตุจูงใจ ในการหมายชีวิตพวกเขาเอาเป็นเอาตายขนาดนี้
หอกถูกหวดสะพายแล่ง กระโดดถลาหลบหลีกคมหินสวนกลับมา พุ่งตัวไปข้างหน้า ใช้หอกเหวี่ยงเข้าสีข้าง จากนั้นวาดขาไปด้านหลังทีละข้างคล่องแคล้วว่องไว เพื่อเพิ่มระยะในการเสือกหัวหอกเข้าตรงกลางอกของอสูรเถาไม้ตัวสุดท้าย ร่างของมันมลายกลายเป็นเศษละอองกระจิดริดไปพร้อมๆ กับดอกฟันสิงโตคริสตัลลอยคว้างอ้อยอิ่งกลางอากาศช่วงเวลาแสนสั้น เอกาเพิ่งได้มีช่วงเวลาปลอดภัย เพื่อยลความสวยงามรายล้อมรอบตัว จนลืมที่จะหายใจหายคอ เขายื่นนิ้วชี้ไปแตะ สัมผัสอันว่างเปล่าทะลุผ่านไป
“สวยงามจัง”
เอการำพึง ภายในพนาอับแสง พวกมันจึงสว่างโดดเด่นสะกดสายตาหยุดนิ่ง สะท้อนเงาบนกระจกตาไว้ตลอดกาล
สุนัขจิ้งจอกใช้ด้านข้างหน้าของมัน คลอเคลียขาของเขา ฉุดเขาหลุดพ้นจากภวังค์ตราตรึงใจ กลับสู่โลกมืดมนแห่งความเป็นจริง
เด็กชายนั่งคุกเข่าข้างหนึ่งกับพื้น พลางวางหอกกายสิทธิ์ เมื่อมันไม่ได้อยู่ในกำมือ ไม่ดื้อรั้นกลับเข้ามือยามที่ไม่ประสงค์ หรือมีผลแค่ตอนที่กระแสความคิดเดียวเจาะจงถึงมันอย่างแน่วแน่ มันจึงกลับคืนสู่เขาได้ทันความต้องการ
เขายอมปล่อยให้เป็นปริศนาเสียก่อน และค่อยๆ ไขข้อข้องใจทีละนิดละหน่อย เผื่อจะได้เข้าใจมันถ่องแท้มากขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่ต้องรู้สึกซับซ้อน หากกระหายหาให้ได้คำอธิบายในทีเดียว ทั้งที่จริงเท็จไม่อาจเอนเอียงฝั่งไหนมากกว่ากัน
มันยื่นหน้าขึ้นหาใบหน้าของเขา เรือนขนนิ่มนวลระผิวหน้า เอการู้สึกจั๊กจี้ชวนให้เส้นตื้น ก็หัวเราะคิกคักชอบใจ เขาไม่รู้จริงๆ ว่ามันกำลังรู้สึกขอบคุณ หลังได้ช่วยชีวิตจากการถูกเข่นฆ่า ทว่า เอกากลับสัมผัสได้ถึงพลังแห่งความรู้สึกขั้นกว่าที่คิดไปเออเอง มันคือความผูกพันอันลึกซึ้ง ทำให้หัวใจเขาหวั่นไหว แล้วเต้นแรงกระแทกซี่โครงกระดูกแต่อ่อนโยน
เขาทั้งลูบไล้ และเกาหัวของมัน หยอกเย้าใคร่เอ็นดู ดูท่ามันชื่นชอบ ตอนที่ใช้นิ้วมือเกาคางให้มันเป็นพิเศษ และต้องการให้เขาเล่นขนมันต่อไปเรื่อยๆ ระหว่างช่วงเวลาปราศจากซึ่งแสงใดจะมอบให้อีธาราได้ ทว่า ความอบอุ่นทั้งความสุขถูกนำพามาในหลากหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับการแสวงหาของเราเอง
“ขี้อ่อนจังนะ”
เขากล่าวกับมัน
“เจ้าหางก้อน”
มันหยุดนิ่ง ฉงนปนตะลึงงันระคน ไม่ก็สนใจในชื่อที่เอกาใช้เรียกมัน หากข้องใจอย่างมาก มันฟังภาษาคนรู้เรื่องด้วยหรือนี่ เมื่อตระหนักได้ถึงความสามารถมหัศจรรย์ในการสื่อสารกับเขาในหัวด้วยภาษาพูดมนุษย์แล้วนั้น เหตุการณ์ตรงนี้คงไม่มีอะไรให้ต้องประหลาดใจด้วยซ้ำ ความลื่นไหลแวววาวในเบ้าตา มีแววของความกำลังครุ่นคิด หรือคะนึงถึงบางอย่างในใจเพียงลำพัง เขาไม่มีวันได้รู้ เพราะมันไม่ได้เฉลย
“ตอนนี้แกก็ปลอดภัยแล้วนะ”
เด็กชายยืนกรานไม่ได้เต็มเสียงนัก เวลานี้ก็ไม่ได้มีอสุรกายเถาไม้ปรากฏตัวมาเพิ่มเติม ไม่อาจทำใจให้รู้สึกย่ามใจไปก่อนได้
“มีฉันอยู่ใกล้ๆ แกแล้ว ก็ไม่ต้องกลัวอะไรจะมาทำร้ายแกแล้วนะ”
คางเกยอยู่บนหน้าขาข้างที่เขานั่งชันเข่า เงาสะท้อนในดวงตาของกันและกันสักพักหนึ่ง
เขาทอดมองไปยังหนทางข้างหน้ามืดมิด ไม่รู้ว่าจะมีอะไรเลวร้ายกว่านี้รอคอยอยู่อีกไหมนะ ควรหวังสิ่งใดกับการเดินทางอย่างไร้จุดหมายปลายทางในครั้งนี้ เพียงแค่ได้เจอถิ่นฐานที่อยู่ตั้งแต่กำเนิดของตัวเองก็เป็นพอ หลังจากนั้นก็คงจะจบลงเท่านั้นกระมัง
“แต่ก็ไม่รู้หรอกนะ ว่าจะมีอะไรเฝ้ารอให้พวกเราไปถึงอยู่บ้าง”
เอกาขยี้หัวมันเบาๆ ไปพลาง ขณะถอดถอนหายใจเฮือกใหญ่ กลัดกลุ้มในห้วงจิตใจไม่สู้ดีนัก หากเพราะป่าไม่ชอบมาพากล ครั้นเขาฟื้นคืนสติกลับมา พบว่าทุกอย่างเป็นอย่างที่เห็นไม่ปกติไปหมดแล้ว อยากจะเชื่อว่ามันไม่ได้เป็นความจริงซึ่งอุบัติขึ้น เพียงฝันร้ายที่หลอกหลอน ทำให้เห็นเป็นภาพลวงตาจากสำนึก กำลังหวั่นวิตกไปเออเอง
“ถ้าแกยังต้องการจะร่วมเดินทางไปกับฉันอยู่น่ะนะ เจ้าหางก้อน”
มันพยักหน้าขึ้นลง ตอบรับขานคำขะมักเขม่น
“ที่สำคัญ”
เด็กชายเอ่ย
“ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้ เราอยู่ที่ไหน”
เขาคอตก ก้มหน้าข่มตาหลับ ต้องการอะไรสักอย่างเพื่อมาเสริมสร้างกำลังใจให้ชื้นใจมากยิ่งขึ้น ต่อการฝ่าฟันทุกอุปสรรค นั่นคืออาการกังวลอัดแน่นอยู่เต็มอกของเขา ยากจะสลัดมันทิ้งไปให้หมด และสามารถเอาความสบายใจเข้ามาอยู่แทนได้อย่างมั่นอกมั่นใจที่สุด
“ไม่รู้ด้วยว่าตัวเองเข้ามาอยู่ในป่าลึกขนาดนี้ตอนไหน”
เอกาพึมพำเหนื่อยหน่ายใจ
“หลงทาง --- ใช่ --- หลงทางแน่อยู่แล้ว หรือเปล่าก็ไม่รู้ เฮ้อ~”
เขายิ้มเจื่อนๆ เวลามองหน้าสุนัขจิ้งจอกตรงหน้า ก็ไม่รู้ทำไม เอการับรู้ถึงกระแสความสุขอิ่มเอมส่งมา เหมือนมันได้เลือนหายจากเขาไปหมดสิ้น นานมามากแล้ว
“อยู่ๆ ฉันก็ตื่นขึ้นมากลางป่า”
เด็กชายเล่าถึงเหตุการณ์ทีแรก
“ไม่รู้อะไรเป็นอะไร จำจดเหตุการณ์ก่อนหน้าไม่ได้เลยสักอย่าง ฉันควรอยู่ที่บ้าน ไม่ก็เที่ยวเล่นไปทั่วหมู่บ้าน ป่าละแวกหมู่บ้านกับมานิน่ะ เพราะเราสองคนชอบแอบไปเล่นสนุกด้วยกันในนั้นบ่อยๆ มันกว้างมากเลยนะ ไม่วุ่นวาย คนพลุกพล่านอย่างในหมู่บ้านด้วย
แต่พ่อแม่ฉันยังไม่อนุญาตและวางใจว่าฉันจะช่วยเหลือตัวเองได้ในนั้นถ้าปราศจากท่าน พ่อแม่ของเขาก็เหมือนกัน ฉันก็ยังงงๆ อยู่นะ อะไรที่ทำให้ฉันถึงไปหมดสติในป่าได้ก็ไม่รู้ หรือถูกอะไรทำให้สลบเหมือดด้วยซ้ำ จึงมาลงเอยในป่าที่ไม่รู้จักแบบนี้ แล้วป่าพวกนี้กลายเป็นอะไรที่ไม่คุ้นเคยมาก่อนในชีวิต น่ากลัวเหลือเกิน
ฉันอยากออกจากป่านี่เต็มทนแล้ว อยากจะกลับไปที่หมู่บ้าน กลับไปหาพ่อกับแม่ และมานิ พวกเขาทั้งหมู่บ้านคงเป็นห่วงเด็กหายอย่างฉันกันแย่แน่ พ่อแม่ทั้งมานิ พวกเขาสามคนจะเป็นอย่างไรบ้างล่ะ เขาคงไม่หายตัวไปอีกคนใช่ไหม ฉันภาวนาจิตไม่ให้เกิดเรื่องแบบเดียวกันกับเขาแน่นอน เขาคงเป็นห่วงฉันมากแน่ๆ ซึ่งฉันทำอะไรเพื่อยืนยันให้กับพวกเขารู้ไม่ได้ด้วย ว่าฉันยังคงปลอดภัยจนกระทั่งตอนนี้
ซ้ำร้ายที่สุดแล้ว…ฉันไม่รู้ว่าหนทางกลับหมู่บ้านต้องไปทางไหนถึงจะถูกต้องที่สุด ไม่ต้องหลงทางซ้ำซ้อน จนไม่มีวันหาทางกลับบ้านเจอได้ นั่นแหละ ทำให้ฉันสิ้นหวัง เพราะกลัวว่าไม่เหลืออะไรจะให้หวังอีกต่อไป ไหนจะพวกอสุรกายประหลาดเพ่นพ่านอยู่ในป่านี้ คอยซ้ำเติมชะตากรรมชีวิตพวกเราอีก ไม่รู้ว่าจะมีอีกเยอะขนาดไหน บังเอิญไปเจอพวกมัน พวกมันมาเจอเราอีกครั้งตอนไหน พวกมันกระหายชีวิตสัตว์อื่นอย่างโหดร้ายป่าเถื่อน ไร้ปรานีมาก ฉันจะรับมือกับความเป็นจริง เหมือนกับฝันร้ายได้อย่างไรกัน เจ้าหางก้อน”
มันนิ่งงัน แววตาเหมือนต้องการพูดอะไรสักอย่างกับเขาให้จงได้ ทว่า การใช้การสื่อสารเข้ามาในหัวของเอกา จะส่งผลให้ร่างกายมันอ่อนแอลงทุกครั้งหากใช้พลังนั้น เจ้าหางก้อนจึงล้มเลิกความตั้งใจนั้นไป ด้วยการเบนสายตาเสมองทางอื่นแทน เป็นเชิงว่ามันก็รู้สึกเจ็บปวดยิ่งนัก ให้คำตอบแม้แต่อย่างเดียวจากความตั้งใจไม่ได้ นอกจากความเงียบไร้ประโยชน์
เอกายิ้มกระตุก ครั้นนึกถึงมันขึ้นมา
“ดีที่มีแก”
เขากล่าวด้วยสำนึกขอบคุณมันสุดซึ้ง
มันหันขวับมองเขาอีกครั้ง
“ไม่มีแกคอยช่วยเหลืออีกแรงล่ะก็นะ ไม่มีหอกที่ไม่รู้ว่าแกไปเอามันมาจากไหน หรือมันมาได้อย่างไร ขอบใจแกมากจริงๆ นะ ที่อยู่ช่วยให้ฉันผ่านพ้นพวกมันมาได้ โดยที่ไม่ได้รับบาดเจ็บถึงชีวิตสักแผลเดียว --- หลายอย่างน่าเหลือเชื่อ จนยากจะอธิบายทีเดียว”
เอกาผุดลุกขึ้นยืนตัวตรงแน่ว ยังคงก้มหน้ามองสุนัขจิ้งจอกขนสีขาวบริสุทธิ์ ยืดขาทั้งสี่ตั้งตรงแข็งขัน พร้อมจะไปไหนไปด้วยกับเอกาทุกๆ ที่ ไม่ละทิ้งใครไว้กลางทาง นับจากตรงนี้เป็นต้นไป
สาเหตุที่เขาผูกพันกับมัน ยิ่งกว่าคนสนิทชิดเชื้อ ความรู้สึกนี้จะตกค้างอยู่ในใจของเขาไปตลอด มันเรียกได้ว่าตื้นเขิน ไม่อาจเข้าถึง
ลึกๆ แล้วก็เป็นหนึ่งในสิ่งยากยิ่งจะอธิบายได้ ที่เขาไม่ต้องการสูญเสียมันไปเป็นอันขาด และมันคงไม่ทอดทิ้งเขาเฉกกัน ประหนึ่งคำมั่นสัญญานิรันดร์ เคยทำพันธนาการร่วมกันมา
เอกาบอกกับตัวเองอย่างมั่นอกมั่นใจเกินร้อยไม่ได้จริงๆ ว่าพวกเขามีกันและกันจวบจนอะไรๆ จะลงเอยด้วยดี ในรูปแบบของแต่ละคน ซึ่งแตกต่างกันสิ้นเชิง ระหว่างมนุษย์กับสัตว์ แล้วต่อจากนั้นล่ะ --- มันช่างคลุมเครือ ยากเกินจินตนาการต่อไป สำหรับตอนนี้นั้น เขาแค่รู้สึกดีมากๆ อย่างบอกไม่ถูก อารมณ์ชัดเจนอยู่อย่างหนึ่ง เหมือนกับการได้อยู่ใกล้ๆ กับคนที่รักสุดหัวใจอีกครั้งนั่นแน่ ปรารถนาให้เป็นไปมาเสมอ
เจ้าหางก้อนเดินวนรอบมันตัวเองสองสามรอบ แล้วหยุดยืนนิ่งหันหลังให้เขา ก่อนเดินตรงไปหยุดยืนห่างจากเอกาไม่กี่สิบก้าว
ปลายจมูกดำด้านโน้มลงระใบยอดหญ้าเขียวสด ซึ่งจุดที่มันยืนตรงนั้น ไม่ยอมขยับไปไหนอื่น จุดศูนย์กลางของวงคดก้นหอย ดอกฟันสิงโต และพรรณพืชไม้ดอกอื่นๆ มีหลากหลายสีสันบานสะพรั่งตลอดกาล
เอกาสืบเท้าเข้าไปใกล้มัน พลางตั้งคำถาม
“อะไรกันเหรอ”
บัดนี้เขากำลังยืนอยู่เหนือใจกลางแห่งความอุดมสมบูรณ์หย่อมเดียวของพงไพรทั้งผืน
เจ้าหางก้อนชี้เท้าหน้าของมันข้างหนึ่งมายังหัวหอกแท่งแก้วใส แล้วหันกลับไปจับจ้องจุดตรงกลางวงคดอีกรอบหนึ่ง
เอกาค่อยๆ พยายามทำความเข้าใจเกี่ยวกับสายตาของมัน ต้องการจะสื่อให้เขาไขปริศนาเงียบ จนกว่าจะกระจ่างด้วยตัวของเขาเองให้แล้วได้
เขาครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้ในการเดาของตน
“แกกำลังต้องการให้ฉันใช้หัวของหอกอยู่ใช่ไหม”
มันพยักหน้าทันใด
เป็นการว่าเขาทายถูกต้องแล้ว
“ฉันควรต้องปักปลายหินแก้วนี่ลงไปตรงกลางตรงนี้ใช่ไหม”
เจ้าหางก้อนพยักหน้ายืนยันอีกครั้ง
เอกาไม่เวิ่นเว้อใคร่ครวญ การที่ปักหัวหอกหินใสแหลมคมสีขาว จะส่งผลกระทบอย่างไรบ้าง เขาเชื่อใจมัน อาจไม่เกิดอะไรย่ำแย่ไปกว่านี้หรอกกระมัง ไม่ก็ทำให้รุกขชาติกลับมามีชีวิตชีวาอย่างไรก็อย่างนั้นเสมอไป
สองมือกำด้ามท้ายหอกไว้แน่น ยกมันสูงขึ้นเหนือศีรษะ ส่งแรงทั้งหมดลงไป หินแก้วของหอกจมมิดหน้าดินภายในครั้งเดียว
กระแสลมมหาศาลกระโชกกระหน่ำ ทุกอย่างในโลกโหมกระพือโบกสะบัดรุนแรง แสงสว่างวาบสีขาวเจิดจ้าจากใต้พิภพสีดำ ดอกฟันสิงโตหลังการระเบิดลอยฟุ้งกระจัดกระจายคว้างอยู่บนอากาศ เปล่งประกายดุจดั่งพัชรดาราประดับบนท้องนภาราตรีกาลมืดสนิทที่สุด และปลอดโปร่งที่สุด มันจะเด่นสง่างดงามล้ำค่าเกินไขว่คว้ามาครอบครองไว้
อนธการเสื่อมทรามถูกเนรเทศจากดินแดนแห่งนี้ชั่วนิจนิรันดร์ ด้วยความเขียวขจีและแต่งเติมสีสันอื่นๆ บนไม้ดอกนานาพรรณอีกครั้ง แสงแดดส่องให้โลกสว่างสดใสมาเยือนแทนที่บรรยากาศอึมครึมหดหู่ เอกามองไปรอบๆ อย่างนึกประหลาดทั้งอัศจรรย์ใจระคนกัน
เถาไม้หนามสีคล้ายถูกเผาไหม้เหล่านั้น ผุดจากความเสื่อมโทรมสลายหายไป รัศมีสีเหลืองสุกงอมแห่งความอบอุ่นละลายแผ่นน้ำแข็งปกคลุม ซึมลงผืนดินให้ความชุ่มชื้น พรมหญ้าเขียวชอุ่ม หน้าดินมีสีน้ำตาลอ่อน เข้ม และดำสลับไปมาเป็นแห่งๆ
เอกาเผยอยิ้มมุมปากสองข้างเสียกว้าง เหนือกว่าเหตุผลหาข้อพิสูจน์ คือการได้ความรู้สึกคุ้นเคยกับพงไพรหวนคืนสู่จิตใจเบิกบานอีกครั้งนี่แหละนะ
เขากระชุ่มกระชวยหัวใจเหลือหลาย เติมเต็มเชื้อเพลิงให้กองไฟในจิตใจกำลังจะมอดม้วย โหมกระหน่ำกว่าที่เคย
ทั้งนี้ทั้งนั้น เอกาได้พบแสงสว่างนำร่องความกล้าหาญ จะก้าวไปข้างหน้าต่ออย่างมีความหวังเต็มเปี่ยม
ดึงหอกปักคาพื้นกลับมาถือไว้ ก้มหน้ามองเจ้าหางก้อน ร่างของมันแพรวพราวเปร่งประกายสีมรกตแห่งอิลานามอบให้
ดวงตาสีเทาและน้ำตาลทองของพวกเขาทั้งคู่พลันสบกัน
“มันทำแบบนี้ได้ด้วยล่ะ”
เอกาตะลึงพรึงเพริด
ซึ่งเจ้าหางก้อนมีคำตอบกระจ่างให้กับตัวมันเองได้ แต่มันยังให้เขาได้รู้ไม่ได้ตอนนี้เป็นแน่ --- ช่างปะไรไปก่อน เอกาไม่ได้สนใจมันมากนัก เขายอมแลกทุกๆ สิ่งอย่าง เพื่อให้ได้เห็นสิ่งที่เป็นธรรมชาติของมันตลอดทั้งชีวิตนี้เลยทีเดียว
“เราไปกันต่อเลยไหม เจ้าหางก้อน”

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา