Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
iAmtasmanian
•
ติดตาม
14 ธ.ค. 2022 เวลา 03:30 • นิยาย เรื่องสั้น
บางอย่างที่ขาดหาย (2)
มันรุดนำหน้าไปก่อน คือคำตอบชัดเจนดีแล้ว
“เฮ้! แกรอฉันด้วยสิ”
เอกาสาวเท้าฉับๆ ตามหลังให้ทันมัน เพิ่งได้รู้แจ้งเห็นประจักษ์ สุนัขจิ้งจอกขาวตัวนั้นว่องไวบนสี่ขาสั้นเหล่านั้นเพียงไร มันจะหยุดยืนคอย หากรู้ตัวแล้วว่ามันอยู่ห่างไกลจากเขามากเกินไปแล้ว
ทั้งเขาและมันไม่อยากพลัดหลงกันในป่า เกรงจะหากันมาเจออีกเลย
เอกาเดินอยู่ข้างหลังของเจ้าหางก้อนตัวนี้ ตระหนักได้ถึงข้อสงสัย เอื่อนเอ่ยคำถาม หวังว่ามันจะให้คำตอบเขาน่ะนะ
“แกมาจากไหนเหรอ”
มันหยุดชะงัก หันหัวมามองเด็กชายครู่เดียว มันคอตกด้วยอาการสิ้นหวัง ปลายจมูกสีดำด้านของมันดมกลิ่นอายดินฟุดฟิด
“ไม่รู้เหรอ”
มันไม่ตอบสนองอะไรกลับมาอีกเลย เขาชักสงสัยว่าบางทีมันฟังภาษามนุษย์รู้เรื่องจริงหรือเปล่านะ มันเอาแต่มุ่งเดินไปข้างหน้าต่อ
เขายกเท้าก้าวตามติดกระชั้น มีเพียงมันจะช่วยให้เขารู้สึกสบายใจได้ ไม่โดดเดี่ยวลำพังแม้จะหลงทางวกวนในป่ากว้างใหญ่ไพศาลนี้หรือไม่ แต่เขามีความเชื่อมากว่าจะไม่หลงทางแน่นอน ประหนึ่งมันคือแผนที่อันแม่นยำ ในการชี้นำไปยังทิศทางที่ถูกต้องที่สุด อย่างที่เขาคาดหวังข้างในใจตลอดเวลา ขอแค่ไปที่แห่งไหนก็ยังมีมันทุกหนทุกแห่ง เป็นเพื่อนผู้ซื่อสัตย์ ร่วมเดินทางโดยไม่ต้องรู้สึกกลัวเกรงมากนักเลย ระหว่างมันคิดแบบเดียวกันกับเขาเฉกเช่นกัน
“ทำไมตัวประหลาดอันตรายพวกนั้นถึงไล่ล่าหมายชีวิตแกมาเล่า”
เอากายังคงหวังได้คำตอบอย่างลมๆ แล้งๆ
เขารอนานหลายนาที จนต้องยอมพ่ายแพ้ เอ่ยคำถามทำลายความเงียบอีกครั้ง
“ไม่รู้อีกสิท่า”
ดวงตาจับจ้องตามแนวสันหลังของมัน เรือนขนนับไม่ถ้วนบนเรือนร่างขนาดยาว ทั้งเล็กบางพลิ้วไหวอย่างกับกระแสน้ำเงียบสงบ
“แกเหมือนไม่ใช่สัตว์ทั่วๆ ไป เห็นในป่าที่ฉันรู้จักเลยน่ะนะ”
เขาทำให้มันหยุดเดินได้อีกครั้ง ก่อนก้าวไปต่อ ปล่อยให้เด็กชายพูดคนเดียวตามลำพังอยู่ร่ำไป
“แกอาจเป็นสัตว์วิเศษก็ได้นะ แกมีอะไรๆ ที่แตกต่างอันน่าทึ่งมากๆ”
เอกาอัศจรรย์
“ทักษะการต่อสู้บ้างเอย”
เขาแจกแจง
“และการเคลื่อนที่จากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งด้วยความรวดเร็วว่องไวภายในพริบตาเดียวแน่ะ ฉันทำแบบนั้นไม่ได้ด้วยซ้ำ”
ปากยื่นยาวยกยิ้มตรงมุมโอ้อวดพรสวรรค์ตัวมันมี สุนัขจิ้งจอกตัวนี้จึงแสดงความมหัศจรรย์ให้แก่เอกาได้เห็นเต็มๆ ตาตัวเองอีกสักหน
สองเท้าหลังถีบพื้น ส่งร่างนุ่มลื่นกระโดดพุ่งหลาวขึ้นสูง ก่อนที่ร่างกายแต่ละส่วนของมันค่อยๆ หายไปท่ามกลางอากาศ และโผเห็นตัวอีกครั้ง ห่างออกไปห้าก้าว เขารุดเดินกึ่งวิ่งไปยังจุดที่มันยืนรออยู่ ดวงตามันพริ้มพราวแสดงความภาคภูมิใจ เอกาชื่นชมสิ่งที่เหนือธรรมดาอย่างยิ่ง
เอการ้องเสียงประทับใจ
“เจ๋งมากเลยแหะ”
เขาเอ่ยปากจากใจจริง
“ทักษะการช่วยฉันต่อสู้ ก็เก่งกาจไม่น้อย ฉันไม่จำเป็นต้องกลัวแล้ววิ่งหนีหาที่หลบซ่อน กล้าเผชิญหน้ากับพวกมันซึ่งๆ หน้า”
มันเอาหน้าถูไถขากางเกงสัมผัสบางเบา เปี่ยมด้วยสำนึกขอบคุณสุดซึ้ง จรรโลงความรู้สึกบางอย่างหนักแน่นมั่นคง พวกเขาจะช่วยเหลือซึ่งกันและกันเช่นนี้ ไม่ทอดทิ้งกันกระทั่งตลอดรอดฝั่ง เขานั่งคุกเข่าข้างหนึ่ง มือลูบไล้เส้นขนเย็นสบาย ดั่งสายน้ำบนหัวของมัน นึกเพลินมือเหลือเกิน ยากผละมือให้หลุดพ้นออกมา เขาชอบเวลาได้แตะต้องตัวมันที่สุดแล้ว
“แกคงเข้าใจในทุกๆ สิ่งที่ฉันสื่อสารกับแกจริงๆ ใช่ไหม”
มันโยกหัวขึ้นลง ในเชิงพยักหน้าตอบรับ
“ค่อยยังชั่วหน่อย”
เขายิ้มกริ่ม ฉงนข้างในส่วนลึกของจิตใจตัวเอง กำลังถูกความคลับคล้ายคลับคลาบางอย่างรุมเร้า ไม่ง่ายดายจะหากุญแจมาไขกระจ่างสู่ความแน่ชัด เป็นคำตอบถ่องแท้เกี่ยวกับสุนัขจิ้งจอกขาวตัวนี้
“แกอาจเป็นสัตว์มหัศจรรย์แห่งป่าอิลานาที่เก่งกล้าจริงๆ นะ ฉันชื่นชมแกมาก เจ้าหางก้อนของฉัน”
มันมองเขาด้วยแววตาอ่อนหวานหยาดเยิ้ม เขาใคร่รักใคร่เอ็นดู ทั้งเกินต้านทานสุดจะห้ามใจไหว ในพลังความน่ารักสะกดหัวใจให้มองอะไรๆ ก็เป็นสิ่งงดงามเหนือการบรรยาย
“อีกอย่างหนึ่งน่ะนะ”
เอกาใคร่ครวญ
“ฉันมองๆ แกไปๆ มาๆ แล้ว”
มันมีนัยน์ตาใสแพรวพราว ขณะใจจดใจจ่อว่าเขาจะพอเดาทางในตัวมันได้บ้างไหม มันเป็นอะไรมากกว่ามาก่อนการตื่นจากข้างในจิตวิญญาณ พบว่าตัวเองเป็นสิ่งมีชีวิตสุดมหัศจรรย์เสียแล้ว ซึ่งมีจุดประสงค์ ทั้งจุดมุ่งหมาย ในการมาพบเจอ เพื่อร่วมผจญภัยด้วยกันกับเอกาครั้งนี้ด้วย
“ทำให้ฉันรู้สึกคุ้นเคยถึงบางสิ่งบางอย่างคล้ายๆ กันแบบแกเลยน่ะนะ แต่นึกเท่าไรก็นึกไม่ออกแหะ ฉันคงคิดมากไปเองแหละ ไม่สลักสำคัญอะไรนักหรอก”
เขาตัดบทสรุปตัวเองอย่างค้างคา
“เราไปข้างหน้ากันต่ออีกดีกว่า”
เจ้าหางก้อนกระโดดสืบหน้าประมาณสามก้าว เอกาไม่รู้ว่ามันจะนำเขาไปที่ไหน หมู่บ้านเกิดของเขาไหมนะ ถามไปมันก็คงตอบไม่ได้ เส้นเสียงของมันมีเพียงไว้เห่าหอนและคู่ขู่คำราม แต่อยู่ๆ มันเกิดส่งเสียงเข้ามาในหัวเขาไม่ได้เสียเฉยๆ ทั้งที่ก่อนหน้ามันสามารถทำได้ --- กระนั้น ไม่เคยเข้าใจถึงสาเหตุของมัน ทำไมพลังส่วนนั้นหายไป และเมื่อมีมันอีกตัวเข้ามา เอกาก็ไม่ต้องรู้สึกเงียบเหงาว้าเหว่
“แกคงรู้จักป่าดีกว่าฉันสินะ”
มันยกหัวขึ้นลงตอบกลับรับคำ
“แกพอจะบังเอิญรู้จักหมู่บ้านเสียงสายลมใต้ไหม”
มันรีบยักหัวหงกๆ ให้เขา จากนั้นกลายเป็นส่ายหน้าเนือยๆ แทน แล้วจึงก้มหน้าพลางหลับตาลง เขาสัมผัสได้ถึงความหดหู่แผ่ออกจากตัวมัน ปกคลุมบรรยากาศรอบๆ ตัว
สายตาของเอกาพลันเห็นสิ่งที่ไม่น่าใช่สิ่งมีชีวิตจริงๆ เขาไม่เคยเห็นแมลงปอ ขนาดตัวความยาวและกว้างกว่าปกติสองเท่า โปร่งแสงอย่างกับคริสตัลสีเทอร์ควอยซ์งดงามเสียนี่กระไร
เขาชี้ให้มันดู
เจ้าหางก้อนเห็นเช่นนั้น จึงรุดตามแมลงปีกสี่แฉกให้ทัน เอกาหยุดชะงักทันใด ครั้นหนทางข้างหน้ามืดมิดอีกครั้ง สายตาสุดวิเศษชวนพิศวงคราวเดียว เริ่มปรับจำแนกสิ่งต่างๆ ภายในป่าทมิฬเบื้องหน้า ห่างออกไปหลายสิบเมตรได้
“ถ้ามันจะพาฉันไปตรงนั้น”
เอกาเสียงสั่นเทา ด้วยอาการหวาดกลัวแหล่งความมืดทะมึน
“ฉันคงไม่ไปตรงนั้นอีกแน่”
ท่าทีรีบร้อนของมันเร่งเร้า
“มันต้องมีทางอื่นสิ”
เขามองไปรอบๆ ตัวอับจนหนทาง
“เจ้าหางก้อน”
มันส่ายหน้ายืนกราน
“แกคิดว่าไม่มีทางอื่นอีกแล้วงั้นเหรอ”
มันพยักหน้ายืนกราน ต่อคำถามของเขา เสริมความหนักแน่น ปราศจากทางเลือกอื่นมาเสนอแล้ว ให้ได้รู้สึกชื่นใจเลยสักนิด กระนั้น ความกลัวข้างในจิตใจ ไม่มีทางปราบเขาต้องล่าถอย หรือต้องหลบซ่อนตัวอยู่แต่ในเงาของแสงสว่างตลอดไป
เขากระชับหอกในมือจนรู้สึกเจ็บ ที่บีบมันแรงเกินไป ฝ่ามือขาวซีดเผือด
เด็กชายออกย่ำเท้าระมัดระวังรอบทิศทาง จิตใต้สำนึกย้ำเตือนห้ามวางใจป่าทั้งผืนนี้ได้ตลอดรอดฝั่ง อันตรายทุกรูปแบบสุดคาดฝัน มาจากทุกทิศทุกทางได้เสมอ ไม่สามารถแจ้งเตือนล่วงหน้าได้เลย
ตอนย่างกรายเข้าสู่เขตแดนอนธการอีกครา เขาตัวสะท้านทั้งร่าง ไม่ใช่เพราะความหนาวเหน็บเป็นเจ้าของอาณาบริเวณป่าสีดำ เอกาใจคอไม่ค่อยจะดี หวาดหวั่นอยู่ลึกๆ ข้างใน
แมลงปอตัวนั้นยังอยู่ข้างหน้าเขาไปสิบก้าวตลอดทาง มันแลดูไว้วางใจได้ปลิดทิ้ง
เขาขยับเข้าใกล้แมลงสีเขียวขุ่น เหลือพื้นที่ว่างระหว่างกันเพียงแค่เอื้อมมือ
ยอดหอกประดับคริสตัลบริสุทธิ์ แบกด้วยกำมือสองข้างของเขา แตะถูกส่วนท้ายลำตัวมัน อยู่ๆ มันก็แหลกละเอียดต่อหน้าต่อตาเขา สะเก็ดมรกตเล็กจิ๋วเปล่งแสงระยิบระยับ เอกาสัมผัสได้ถึงพลังอันลึกลับบางเกินหยั่ง เพิ่มพูนแก่หอกเล่มนี้ ซึ่งหล่อเลี้ยงมายังตัวเขารู้สึกได้ ไร้คำอธิบาย
“มันหายไปแล้ว”
เอการ้องเสียงดัง ตกใจสุดขีด
“ฉันไม่ได้ทำร้ายมันใช่ไหม”
เจ้าหางก้อนสะบัดหน้าปฏิเสธ
เศษผงสีเขียวอมฟ้า พวกมันไม่ได้จางหายไปในอากาศเสียทั้งหมด ยังคงเหลืออีกหนึ่งเม็ดเล็กกระจิดริด ทว่า โดดเด่นท่ามกลางดินแดนบอดแสง อย่างกับดวงดาวค้างนภาสีดำของราตรีกาลโดดเดี่ยว
เขาใช้แท่งหินแก้วแตะเจ้าดวงไฟดวงสุดท้าย ก่อนกลับกลายมาเป็นแมลงปอโปร่งใสเหมือนเดิมทุกกระเบียดนิ้ว ปีกทั้งสองคู่หน้าหลัง ขยับขึ้นลงถี่กระชั้น จนจับความเร็วตาเปล่าไม่ทัน ลอยตัวขึ้นสูงเหนือถนนหลักของป่าอีกครั้ง
เจ้าหางก้อนยกขาหน้าก้าวเดิน เขารุดตามหลังท้ายสุดพวกมันทั้งสองตัวอีกที
ระหว่างการนำไปสู่อะไรก็ไม่รู้ได้ อยู่ๆ เอกาพลันได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักชอบใจของเด็กชายสองคน เขาเริ่มมองหาที่มาของต้นเสียงไปรอบๆ นึกคุ้นอยู่ในที เพื่อคลายปริศนาให้เด่นชัด
เด็กชายสองคนซึ่งตัวสูงไล่เลี่ยกัน ปรากฏกายพร้อมเพรียงออกมาจากข้างทางของป่ามืดมิดฝั่งหนึ่ง ซึ่งไม่น่าเป็นไปได้แน่นอน เพราะวัชพืชรกชัฎ ต้นไม้หักล้มระเนระนาด หินโสโครกก้อนเขื่อง แท่งเสาและก้อนหินตัดรูปพังพาบ ร่องรอยอารยธรรมพินาศลงมาขวางกั้น บางแห่งมีเงาหน้าผาสูงตระหง่านทาบทับ เอกาสังเกตเห็นว่าอีกหนึ่งคนจะตัวสูงและโครงร่างหนาผายผึ่ง เขาไม่แน่ใจนักว่าใช่คนพี่คนน้องกันหรือไม่
เอกาออกกึ่งวิ่งทันใด โดยไม่ได้สนอาการฉงนงงงวย ขณะไล่ตามองตามเขาของเจ้าหางก้อน รั้งท้ายแถวแทนเขาเสียแล้ว
เขาไม่มีทางเข้าใกล้ได้เลย พอมองเห็นเค้าโครงรูปหน้าของทั้งสองคนพอคร่าวๆ จากระยะห้าก้าว
ถึงกับจังงังชั่วอึดใจหนึ่ง ก่อนร่างกายหยาบที่มีเนื้อมีหนัง ราวกับมนุษย์ปกติ จะเลือนรางกลายเป็นร่างโปร่งแสง เงาสีเทอร์ควอยซ์เรืองสว่างวูบไหวขณะเคลื่อนไหว คล้ายกระแสไหลเอื่อย ตอนที่เอกาเห็นใบหน้าเด็กชายคนที่ตัวใหญ่กว่านั่นเอง
สุนัขจิ้งจอกขาวหยุดยืนอยู่ข้างเท้าเขา สองเงานั้นไม่ได้กำลังวิ่งไล่แมลงปอตัวนั้นอยู่จริงๆ หรอก แต่เหมือนจะรีบร้อนวิ่งไปที่ไหนสักแห่งข้างหน้า ทางเดียวกันกับที่พวกเขาทั้งสามมุ่งหน้าไปพอดี
“เอกา”
เด็กชายสูงเทียบระดับคางของเด็กชายอีกคน กระโดดโหยงเหยงเร่งเร้า ความตื่นเต้นทั้งภูมิใจอัดแน่นระคนกันแทนเจ้าตัว
“นายทำมันได้น่ะ”
“ใช่”
เอการ่างโปร่งใสเร่งฝีเท้า กำมือข้างขวาของเขามีคันธนู แผ่นหลังห้อยกระบอกศรกับหอกไม้สะพายคาดติดตัวทุกครั้งเข้าป่า ได้ใช้บ้างไม่ได้ใช้บ้างแล้วแต่โอกาสเอื้ออำนวย ศรมักบรรจุอยู่ในนั้นเต็มกระบอกเสมอ
“เราไปดูผลงานจากฝีมือนักแม่นธนูของฉันกันเถอะ มานิ”
“ไปกัน”
มานิร้อนใจอย่างมาก พลางวิ่งกระโดดเริงร่า ไม่มองข้างหน้าไปด้วย
“เรารีบไปกันเถอะ เอกา”
“นี่”
แขนข้างถือคันธนูโอบคว้าหลังอีกฝ่ายไว้ได้ แต่เหมือนไม่ทันท่วงทีเสียแล้ว เขากลับไม่เห็นว่าที่พื้นด้านล่างตรงนั้น มีอะไรสักอย่างทำให้มานิสะดุดล้มหงายหลังได้เลย
พวกเขาสองคนพาล้มทับกัน แขนอีกข้างของเอกาปกป้องศีรษะ ขณะร่วงกระแทกพื้น
มานิหน้าเหวอประเดี๋ยวเดียว จากนั้นส่งเสียงหัวเราะลั่นออกมานึกสนุก ทั้งที่ไม่สนุกเลย ถ้าพลาดท่าต้องบาดเจ็บสาหัส เอกากลับคลี่ยิ้มน้อยๆ ตาม ยันตัวเองลุกขึ้นก่อน ยื่นมือส่งให้อีกฝ่ายคว้าจับไว้ ช่วยทุ่นแรงดึงมานิลุกขึ้นยืนกับพื้นอีกครั้ง
“โทษทีนะ เอกา”
อีกฝ่ายสำนึกผิดอยู่บ้าง
“ไว้ทีหลังฉันจะระมัดระวังตัวให้มากกว่านี้นะ”
“อือ”
เอกาสีเขียวครามเรืองรองรับคำ พากันจูงมือเดินต่อด้วยกันอีกครั้ง
เขาจึงรีบตามต่อติดๆ ให้หลังเหตุการณ์ตรงนี้จบลง เอกาจดจำช่วงเวลานั้นได้เป็นอย่างดีทีเดียว มันเกิดขึ้นระหว่างพ่อของเขาพาท่องป่า เพื่อใช้ทักษะพรานป่าอย่างต่อเนื่อง
มานิติดสอยห้อยตามเขา ประหนึ่งเงาตามตัวมาด้วย ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นที่นี่จริงๆ หรอก ตอนนั้นพวกเขาสองคนขอแยกย้ายห่างสายตาความเป็นห่วงของพ่อบ้าง ไม่ไกลนัก ยืนยันว่าเขาสามารถดูแลตัวเองทั้งมานิได้เป็นที่แน่นอน หากเกิดเหตุฉุกเฉิน เขาสามารถส่งสัญญาณลับถึงกันได้ ด้วยการเลียนเสียงนกฟอล์ก จากการผิวปาก พวกมันในระยะจะส่งเสียงร้องสามจังหวะต่อเนื่องกัน คล้ายหมาป่าหอนคืนเดือนเต็ม
“แกเห็นนั่นไหม”
เอกาเอ่ยถาม ราวกับเขาเป็นคนเดียวเท่านั้นมองเห็น มันส่ายหัวไปมาหลังจากนั้น เมื่อชัดเจนว่าเขาชี้มือใส่ความว่างเปล่า
“เจ้าหางก้อน”
เขาแอบผิดหวังหน่อยๆ
“ไม่งั้นเหรอ --- ฉันคงเป็นคนเดียวสินะ ฉันเห็นมานิกับตัวฉันเอง ความทรงจำเพิ่งเกิดขึ้น ที่เราสองคนมีร่วมกัน ก็ไม่รู้พวกเขามาทำอะไรตรงนี้”
มันคงใคร่รู้ด้วยเหมือนกัน แต่สื่อสารผ่านเสียงเข้ามาในหัวเขาไม่ได้
เอกาเกือบเข้าใกล้อีกไม่กี่ก้าว ปลายเท้าเสมอกัน ยืนตัวตรงแน่ว ตอนเห็นพวกเขาสองคน นั่งคุกเข่าข้างหนึ่งสุมหัวกัน
เงาเขียวดั่งสีเรือนขนนกแก้ว มันเลื่อมระยิบระยับของเอกา ค่อยๆ จางหายไปพร้อมกับมานิ นั่งจับจ้องซากศพนกจะงอยปากเหลืองล่องหน ครั้งหนึ่งสังหารได้ด้วยศรธนูเสียบคาร่าง ท่าใบ้จากฝ่ามือเล็กอีกฝ่ายกำลังถอนศรโลหะออก
เด็กชายคืบเท้าตรงตำแหน่งเดียวกันนี้ เท้าข้างขวาเขี่ยหน้าดินจับน้ำแข็ง แมลงปอลอยตัวขึ้นสูงไปหลายเมตร เอกามองหาทางขึ้นเพื่อไปหามัน
มีชะง่อนหินเบี่ยงซ้ายนิด หน้าราบกว้างพื้นที่พอให้ยืนเหลือๆ สูงเกือบสองเมตร ต้องปีนป่ายขึ้นถึงสามชั้น เอกาโยนหอกก่อน จากนั้นกระโดดคว้าขอบหินไว้ได้แน่นเหนียว ยันเท้ากับขอบหิน ดีดตัวส่งแล้งม้วนตัวขึ้นมานั่งอยู่ข้างบนชั้นที่สอง
ใช้เวลาสองสามนาที กว่าจะไต่ขอบชะง่อนอีกชั้น จนขึ้นมายืนอยู่บนสุดของหน้าผาสูงกว่าเจ็ดเมตรอย่างต่ำ
เจ้าหางก้อนเคลื่อนที่พริบตา ขึ้นมายืนคอยข้างบนนี้ ก่อนเขานานแล้ว แมลงปอห่างออกไปอีกห้าก้าวเช่นทุกครั้ง
“แน่จริงนายก็หาฉันให้เจอก่อนสิ”
เอกากวาดสายตาร้อนรน ควานหาตัวตนเจ้าของเสียงตามคำท้าทายจากมานิ ที่ไม่ปรากฏตัวให้เห็นตรงไหนสักแห่ง เอกาอีกคนร่างกายมีเนื้อหนัง ผิวเข้มกับเสื้อผ้าสีทึบ แทบกลมกลืนกับความมืดมิดของลำเนาไพรเสื่อมโทรม ยืนนิ่งอยู่ข้างใต้แมลงปอ รอยยิ้มกระหยิ่มประทับบนดวงหน้าทรงรีไม่จาง มันคือเกมซ่อนหา พวกเขากำลังเล่นด้วยกันในป่า ไม่ใช่พื้นที่ตรงนี้แน่นอน มันห่างไกลจากหมู่บ้านเกินไป
“เอกา”
“ฉันหานายเจออยู่แล้วล่ะ”
เขานิ่งมองสถานการณ์ตรงหน้า ด้วยความใคร่ฉงนระคนสับสน ทำไมถึงมีภาพเหตุการณ์ ครั้งวันวานของพวกเขาสองปรากฏที่แห่งนี้กันนะ
ชวนให้เขาคิดถึงทั้งโหยหามันมากเหลือเกิน แม้จะเพิ่งผ่านมาไม่นาน ทว่า มันให้ความรู้สึกเหมือนเรื่องราวเก่าก่อน ขณะกำลังดำเนินให้เขาได้รับชมอยู่นี้ อย่างกับมันผ่านหลายสิบปีดีดัก
“มานิ”
ร่างกายเอกาอีกคนพลันแปรเปลี่ยนสภาพ กลายมาเป็นความโปร่งใส เรืองแสงสีเขียวย้อมพื้นที่บริเวณรอบๆ อีกครั้ง
จิตวิญญาณแห่งความทรงจำครั้งอดีตจึงค่อยๆ ย่องเท้าให้เบาสุดเสียงถึงที่สุด สืบไปข้างหน้าทีละย่างอย่างช้าๆ ที อันมีจุดมุ่งหมายปลายทางแน่ชัด ราวกับรู้ดีว่ามานินั้นชอบแอบซ่อนอยู่ตรงไหน ซึ่งคิดว่าปลอดภัยจากความคะเนของเอกา
“แน่จริงก็จับฉันให้ได้สิ”
อีกฝ่ายท้าลองประชันความเร็วของใครเหนือกว่ากัน
“เอกา”
แต่แล้วมานิหุนหันกระโจนตัว ฝีเท้าเร่งรีบสาวหนีออกจากหลังต้นไม้ใกล้ๆ ฉับพลัน โดยมีเอกากายจิตสีเขียวสดใส วิ่งไล่ตามหลังออกมาทีหลัง
“นายโกงนี่น่า”
เอการ้องบอก แม้จะไม่ได้ขุ่นเคืองในอารมณ์ เพราะถูกสับเปลี่ยนเกมขณะเล่นกะทันหัน เขารื่นเริงกับการได้เล่นสนุกสนาน ไม่สนใจว่ามันจะยุติธรรมสำหรับตนเสมอไปหรือไม่
“ฉันหาเจอนายแล้วนะ มานิ”
“เราเปลี่ยนมาเล่นวิ่งไล่จับกันแล้วน่ะนะ”
“ตอนไหนก่อน”
“ตอนนี้ไง”
“ฉันไม่เห็นจะรู้ก่อนเลย”
“ก็รู้แล้วนี่ไง”
มานิหันมาแลบลิ้นทำให้ยั๊วะ
“ฉันก็เพิ่งบอกนายก่อนหน้านี้ไง เอกา”
“อย่านี้ก็ได้เหรอ”
เอกาที่ก้าวขาได้ยาวกว่า เกือบคว้าชายเสื้อด้านหลังมานิได้ตั้งหลายหน เอกาตัวจริงไล่ตามดูความเป็นไปกำลังดำเนินอยู่นี้ ความสุขสมก่อตัวขึ้นในใจพองโต เอกาตรงนั้นก็หาเลิกละยอมจำนนไม่ พวกเขาทั้งคู่ต่างสลัดความเหนื่อยปลิดทิ้ง เพียงเพราะไม่มีใครยอมใครจะพ่ายแพ้ ยกธงขาวก่อนกัน ทั้งที่เกมยังไม่จบจนกว่าจะได้ตัวผู้ชนะคว้าชัยครั้งนี้ --- แมลงปอแก้วตามติดไม่ทิ้งระยะห่างพวกเขาสองคน ไปได้ทันในทุกๆ จุด
“ถามจริง?”
“ได้สิ!”
มานิตะโกนแข่งกับเสียงหอบแฮ่กของตัวเอง
“ก็ตอบจริงอยู่นะ”
เอกาปฏิญาณกับตนเองไว้ลั่น
“ฉันจะจับตัวนายให้ได้เลย”
สิ้นเสียงเอกา ไม่ยั้งคิดแม้ชั่ววินาทีเดียว โถมสุดตัวเข้าใส่อีกฝ่าย หันกลับระวังหลังก่อนหน้าแล้วเรียบร้อย ทว่า ร่างโปร่งแสงกลับคว้าได้เพียงอากาศธาตุว่างเปล่าเฉยเลย
มานิแอบเป็นห่วง แต่ก็ระแวดระวัง หากมีลูกไม้ ชะเง้อหน้าก้มมองเอกาคู้ตัว อีกฝ่ายนั่งยองลง พลางใช้นิ้วชี้จิ้มสะกิดเขา เห็นว่านิ่งไม่ไหวติงนานสองนาน จนมีอาการน่าหวั่นใจ
“เอ---”
ยังเรียกไม่ทันเต็มๆ ชื่อเลยด้วยซ้ำ “เหงอ~” เอกาคว้าตัวมานิมาโอบรัดไว้แนบแน่น นึกสะใจทั้งมันเขี้ยว ต่างก็เกลือกกลิ้งชวนกันหัวเราะตลกขบขันชอบใจทั้งคู่
“ฉันจับตัวนายไว้ได้แล้วนะ มานิ”
เอกาประกาศกร้าว อย่างผู้ได้รับชัยชนะสักที เหนือกลโกงของอีกฝ่ายเสียด้วยนี่สิ
“นายโกงนี่ เอกา”
เอกาผละตัวเองออกก่อน ทิ้งแผ่นหลังนอนราบกับพื้นดิน
“ทีนายยังโกงฉันก่อนเลย”
มานิหัวเราะจั๊กจี้ หลังถูกย้อนบ้าง
“ก็จริงเนอะ”
อีกฝ่ายว่า
“ถือว่าเราหายกันแล้วกัน”
“อื้อ”
เอกาตอบเสียงสูงพึงพอใจ
ช่วงเวลาที่ผ่านพ้นมา แปรเปลี่ยนเป็นอดีตอันน่าจดจำมิลืมเลือนของพวกเขาสองคน สลายไปในอากาศ กลิ่นอายยังคงสดใหม่ตราตรึง เหลือทิ้งไว้เพียงแมลงปอตัวนั้นลำพัง กับความรู้สึกโหวงเหวงข้างในจิตใจ ที่มีความถวิลหารุนแรง เป็นบ่อเกิดแสนเจ็บปวดทรมาน ประหนึ่งกำลังจะสูญเสียสิ่งสลักสำคัญ คือส่วนหนึ่งของชีวิตไปตลอดกาล
ตอนเอกาขึ้นหน้ามายังตำแหน่ง ก่อนหน้าที่ร่างโปร่งแสงสีมรกตเคยอยู่ แมลงปอตัวนั้นเคลื่อนย้ายเปลี่ยนที่ ไปอยู่เหนือกลีบดอกสีเลือดเท่าใบลาน ปล่องตรงกลางดอกไม้ปล่อยควันสีดำ อันมีกลิ่นเหม็นเน่าของซากศพตายทับถมโชยออกมา ดอกชนิดเดียวกันกับที่เขาเจอมาตั้งแต่ตอนต้น มันคล้ายจะมีนัยยะต่างกันออกไปจากเดิม สัญชาตญาณของเขาร้องบอกข้างใน มันสามารถรับรู้ได้ ไม่มีผิดเพี้ยนเป็นอื่นแน่
กลุ่มหมอกหนึ่งก้อนสีดำทะยานออกมาจากปากปล่องกลม
หมอกอีกสองกลุ่มก้อน พวกมันพวยพุ่งจากปากปล่องดอกไม้เสื่อมโทรมคนละฟากฝั่งกัน เบ่งบานบนเถาไม้เลื้อยสูงจากพื้นไม้มากนัก
เอกากระชับด้ามไม้ ภายใต้แรงบีบไว้มั่น เตรียมรับมือต่ออะไรก็ตาม จะมาพร้อมก้อนควันทั้งสาม กำลังทิ้งดิ่งลงมาบนพื้นดินเบื้องล่างตรงหน้า
พอหมอกหนาสีดำมลายหายไปสิ้น ในระยะเวลาอันสั้น อสุรกายเถาไม้พร้อมขวานหินคมติดมือ ปรากฏกายวินาทีเดียวกันนั้นเอง ซึ่งเคยเผชิญหน้ามาก่อนแล้ว
เจ้าหางก้อนกระโดดขึ้นมาอยู่ด้านหน้า สี่เท้าของมันยืนจังก้า ส่งเสียงขู่คำรามเกรี้ยวกราด ผ่านซี่ฟันแหลมคมขบเข้าหากันแน่น เพื่อข่มขวัญให้ศัตรูเกรงกลัวหาไม่เลย มันไม่หวั่นกลัวภัยอันตรายหน้าไหนอีกต่อไป เมื่อมีเอกายืนตั้งเตรียมรับการเข้าจู่โจมเคียงข้าง ที่จะร่วมใจฝ่าฟันอุปสรรคไม่ว่าเล็กจิ๋วจวบจนใหญ่โต อันตรายร้ายแรงขนาดไหนก็ตาม
พวกมันทีละตนย่างสามขุมก้าวสั้นๆ หยั่งเชิงห่างๆ ก่อน หาจังหวะเหมาะๆ ก่อนเข้าปะทะ
เอกาสะบัดหอกสวนเริ่ม กระทบแขนข้างแบกรับน้ำหนักขวานมากที่สุด ขณะเงื้อขึ้นสูงเหนือส่วนหัวของมัน วิ่งอุ้ยอ้ายหมายจามขวานใส่ตน
ทว่า ดอกฟันสิงโตขาวบริสุทธิ์มากมายลอยคว้างอยู่บนอากาศ หลังการแตกตัวกระจัดกระจายออกจากแท่งหินแก้ว ลุกวาบพรึ่บเดียว สาดลำแสงประกายแวววาวที่ยอดหัวหอก พวกมันไม่ยอมร่วงจมลงพื้นดิน ให้กำเนิดพืชพรรณนานาชนิดเจริญงอกงาม เปลี่ยนผืนดินเสียเป็นดินดีในแนวก้นหอย
อสุรกายเถาไม้ตนที่ถูกเขาตอบโต้ ถอยกรูดหนีให้พ้นระยะ เอกาต้องหันเหไปโจมตี โดยการแทงหัวหอกเข้าที่ใต้แผ่นอก ชักกลับ ก่อนจ้วงตีอีกสองหน ร่างอสุรกายตนนี้แหลกสลายพริบตา ดอกฟันสิงโตนับสิบเพิ่มเติมกลางอากาศ
เจ้าหางก้อนโถมสุดตัวเข้าชนปิศาจเถาไม้จากด้านหลัง
เขาฟาดหอกสุดวงแขนของตัวเอง กระโดดหวดปลายหอกลงกลางกบาลของสิ่งมีชีวิตประหลาด ภายในร่างกายของอสูรเรืองแสงสว่างวาบชั่วครู่เดียว ดอกฟันสิงโตจำนวนหนึ่งอยู่รอบๆ ตัวเขา
เอกาหันขวับ จัดการอสุรกายเถาไม้เหลือท้าตายตนเดียว จ้วงที แทงที และฟาดทีสุดท้ายเข้าที่แขนข้างกำขวาน
ยอดแหลมคมของคริสตัล นำแตะดอกฟันสิงโตดอกหนึ่งท่ามกลางคณานับ ราวกับดวงดาวขาวสุกสกาว ทว่า โปร่งใสประดับท้องฟ้าราตรี
แมลงปอตัวนั้น กระพือปีกอันโปร่งแสงสองคู่ บินเข้ามารวบรวมดอกฟันสิงโตกลุ่มก้อนหนึ่ง พวกมันเรียงรายลอยตามหลังเป็นแถวยาว ลงหายเข้าไปในปล่องตรงกลางของดอกไม้เน่าเหม็น รัศมีสีขาวสว่างวาบเจิดจ้าภายในพริบตา เช่นเดียวกันกับที่เหลืออีกสองดอกระเบิดตัวตามหลัง เอการู้สึกผิดคาดอย่างมหันต์ ตรงที่ป่าไม่ได้กลับมาสว่างไสว และเขียวชอุ่มอุดมสมบูรณ์อีกครา
มันเพียงเปิดเส้นทาง ทางโค้งข้างหน้าเส้นทางเดินใหม่ ให้พวกเขาได้ไปต่อ
แมลงปอมรกตนำทางพวกเขามาถึงลานโล่งของป่า มองทางไหน ไม่เจอซึ่งเส้นทางให้ไปต่อได้ เบื้องหน้าคือเนินเขาสูง โขดหินผิวขรุขระก้อนใหญ่ซ้อนทับหลายชั้นห้อมล้อม ไม่เหมาะแก่การไต่ชั้นหินขึ้นไปได้ยากลำบากเอาการ ซึ่งจะเป็นไปไม่ได้เลย อีกประการสำคัญเหนือกว่าสิ่งใด มีเถาไม้หนามประหนึ่งกำแพงขวางกั้นรอบทิศทางนั่นเอง
อยู่ๆ แสงในตัวแมลงปอเจือจาง ก่อนจะบินตรงทะลุผ่านเถาไม้หนามตรงหน้าอย่างง่ายดาย
เอการู้ได้ทันที ข้างหน้าอาจคือเส้นทางไปต่อของพวกเขาก็เป็นได้
แท่งคริสตัลเรืองแสงวูบวาบบอกใบ้เป็นนัยๆ เอกาตวัดหอกเสยขึ้น พลังงานคล้ายคลื่นน้ำสูงท่วมหัวรุนแรง ซัดสาดราวกับขวานจาม ตัดเถาไม้ซึ่งมีความหนาขาดฉับรวดเดียว พวกมันละลาย ของเหลวสีดำหนืดไหลย้อย ร่วงหยดแหมะลงพื้นต่อเนื่อง แล้วซึมหายลงดิน ไม่ทิ้งร่องรอยเปียกแฉะบนหน้าดินทิ้งไว้ต่างหน้า แต่น้ำแข็งบริเวณนี้ถูกความร้อนของของเหลวสีดำระเหยเป็นไอฉ่า แผ่ออกเป็นวงกว้างเรื่อยๆ เลยใต้พื้นรองเท้าเขาไปอีกประมาณหนึ่ง ก็หยุดลง
เผยให้เห็นโพรงหินขนาดยักษ์ รัศมีความสูงห้าเมตร และกว้างสองคนเดินสวนกันได้สบายๆ มันมืดมาก เอกาต้องกระแทกด้านท้ายหอกพื้นหินเรียบเนียน เกิดแสงพอให้ความสว่างจากแท่งหินใสนี้ได้บ้าง ลวดลายเกลียวคลื่นเลื้อยทั่วด้ามไม้ฉายไฟสีขาว แม้ดวงตาวิเศษสามารถมองเห็นได้ในความมืดสนิท มองในระยะประชิดเหมือนคนตาบอดก็ตาม ยังต้องพึ่งพาแสงอยู่บ้าง เพื่อช่วยจำแนกสิ่งต่างๆ ให้แน่ใจมากขึ้นได้ ว่าไม่ใช่การปรุงแต่งสภาพแวดล้อมผิดเพี้ยนไปจากเดิม
เอกายื่นหัวของหอกไปข้างหน้าเล็กน้อย ประหนึ่งคบเพลิง คราวนี้เจ้าหางก้อนเดินอยู่ใกล้ๆ เท้าข้างซ้ายของเขา ดวงตาคู่นั้นอย่างกับเรืองแสงได้ในที่มืดมากๆ ของมัน บ่งบอกตำแหน่งจะพบมันได้ ทั้งพยายามควบคุมให้มองตรงอย่างเดียว ไม่กวาดล่อกแล่ก เพราะไม่มีมันอะไรเลยน่ะนะ
นิยายวาย
แฟนตาซี
ผจญภัย
บันทึก
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
Eka: Spirit of Green Giant Legend
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย