18 ธ.ค. 2022 เวลา 05:25 • ไลฟ์สไตล์
๏ ปริเฉทที่ ๑๕
อุรุเวลคมนปริวรรต
โปรดชฎิล 3 พี่น้อง
**********
ครั้งนั้น
พระผู้มีพระภาคเสด็จจาริกโดยลำดับ ถึงตำบลอุรุเวลาแล้ว.
ก็โดยสมัยนั้นแล ชฎิล ๓ คน
คือ อุรุเวลกัสสป ๑ นทีกัสสป ๑ คยากัสสป ๑
อาศัยอยู่ในตำบลอุรุเวลา.
บรรดาชฎิล ๓ คนนั้น ชฎิลชื่ออุรุเวลกัสสป เป็นผู้นำ
เป็นผู้ฝึกสอน เป็นผู้เลิศ เป็นหัวหน้า เป็นประธาน ของชฎิล ๕๐๐ คน.
ชฎิลชื่อนทีกัสสป เป็นผู้นำ เป็นผู้ฝึกสอน เป็นผู้เลิศ เป็นหัวหน้า
เป็นประธาน ของชฎิล ๓๐๐ คน.
ชฎิลชื่อคยากัสสป เป็นผู้นำ เป็นผู้ฝึกสอน เป็นผู้เลิศ
เป็นหัวหน้า เป็นประธาน ของชฎิล ๒๐๐ คน.
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคได้เสด็จเข้าไปสู่อาศรม
ของชฎิลชื่ออุรุเวลกัสสป
แล้วได้ตรัสกะชฎิลชื่ออุรุเวลกัสสป ว่า
พระพุทธเจ้า : "ดูกรกัสสป ถ้าท่านไม่หนักใจ
เราขออาศัยอยู่ในโรงบูชาเพลิงสักคืนหนึ่ง"
อุรุเวลกัสสป : "ข้าแต่มหาสมณะ ข้าพเจ้าไม่หนักใจเลย
แต่ในโรงบูชาเพลิงนั้นมีพญานาคดุร้ายมีฤทธิ์
เป็นอสรพิษ มีพิษร้ายแรง อย่าเลย มันจะทำให้ท่านลำบาก"
พระพุทธเจ้า : "ลางที พญานาคจะไม่ทำให้เราลำบาก
ดูกรกัสสป เอาเถิด ขอท่านจงอนุญาตโรงบูชาเพลิง"
อุรุเวลกัสสป : "ข้าแต่มหาสมณะ เชิญท่านอยู่ตามสบายเถิด"
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเสด็จเข้าไปสู่โรงบูชาเพลิง
แล้วทรงปูหญ้า เครื่องลาด ประทับนั่งคู้บัลลังก์
ตั้งพระกายตรง ดำรงพระสติมั่น.
**********
~ ปาฏิหาริย์ที่ ๑ ~
ครั้งนั้น พญานาคนั้นได้เห็นพระผู้มีพระภาคเสด็จเข้าไปดังนั้น
มีความขึ้งเคียดไม่พอใจ จึงบังหวนควันขึ้น.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคได้ทรงดำริว่า
"ไฉนหนอเราพึงครอบงำเดชของพญานาคนี้ด้วยเดชของตน
ไม่กระทบกระทั่งผิวหนัง เนื้อ เอ็น กระดูกและเยื่อในกระดูก"
ดังนี้ แล้วทรงบันดาลอิทธาภิสังขารเช่นนั้น ทรงบังหวนควันแล้ว.
พญานาคนั้นทนความลบหลู่ไม่ได้ จึงพ่นไฟสู้ในทันที.
แม้พระผู้มีพระภาคก็ทรงเข้ากสิณสมาบัติมีเตโชธาตุเป็นอารมณ์
บันดาลไฟต้านทานไว้.
เมื่อทั้งสองฝ่ายโพลงไฟขึ้น
โรงบูชาเพลิงรุ่งโรจน์เป็นเปลวเพลิงดุจไฟลุกไหม้ทั่วไป.
จึงชฎิลพวกนั้นพากันล้อมโรงบูชาเพลิง แล้วกล่าวอย่างนี้ว่า
ชาวเราพระมหาสมณะรูปงามคงถูกพญานาคเบียดเบียนแน่.
ต่อมา พระผู้มีพระภาคได้ทรงครอบงำเดชของพญานาคนั้น
ด้วยเดชของพระองค์ ไม่กระทบกระทั่งผิวหนัง เนื้อ เอ็น กระดูก และเยื่อใน
กระดูก ทรงขดพญานาคไว้ในบาตร โดยผ่านราตรีนั้น
แล้วทรงแสดงแก่ชฎิลอุรุเวลกัสสปด้วยพระพุทธดำรัสว่า
"ดูกรกัสสป นี่พญานาคของท่าน เราครอบงำเดชของมันด้วยเดชของเราแล้ว"
ชฎิลอุรุเวลกัสสปได้ดำริว่า
"พระมหาสมณะมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากแท้
จึงครอบงำเดชของพญานาคที่ดุร้าย มีฤทธิ์
เป็นอสรพิษ มีพิษร้ายแรง ด้วยเดชของตนได้"
"แต่พระมหาสมณะนี้
ก็ไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนเราแน่"
ที่แม่น้ำเนรัญชรา พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะชฎิลอุรุเวลกัสสป ว่าดังนี้:-
"ดูกรกัสสป ถ้าท่านไม่หนักใจ เราขออาศัยอยู่ในโรงบูชาเพลิงสักวันหนึ่ง"
อุรุเวลกัสสป : ข้าแต่มหาสมณะ ข้าพเจ้าไม่หนักใจเลย
แต่ข้าพเจ้าหวังความสำราญจึงห้ามท่านว่าในโรงบูชาเพลิงนั้น
มีพญานาคดุร้าย มีฤทธิ์ เป็นอสรพิษ มีพิษร้ายแรง
อย่าเลย มันจะทำให้ท่านลำบาก.
พระพุทธเจ้า : "ลางที พญานาคนั้นจะไม่ทำให้เราลำบาก
ดูกรกัสสป เอาเถิด ท่านจงอนุญาตโรงบูชาเพลิง"
พระผู้มีพระภาคทรงทราบอุรุเวลกัสสปนั้นว่า อนุญาตให้แล้ว
ไม่ทรงครั่นคร้าม ปราศจากความกลัว เสด็จเข้าไป.
พญานาคเห็นพระผู้มีพระภาคผู้แสวงคุณความดี เสด็จเข้าไปแล้ว
ไม่พอใจ จึงบังหวนควันขึ้น.
ส่วนพระพุทธเจ้าผู้เป็นมนุษย์ประเสริฐ มีพระทัยดี
มีพระทัยไม่ขัดเคือง ทรงบังหวนควันขึ้นในที่นั้น.
แต่พญานาคทนความลบหลู่ไม่ได้ จึงพ่นไฟสู้.
ส่วนพระพุทธเจ้าผู้เป็นมนุษย์ประเสริฐ
ทรงฉลาดในกสิณสมาบัติมีเตโชธาตุเป็นอารมณ์
ได้ทรงบันดาลไฟต้านทานไว้ในที่นั้น.
เมื่อทั้งสองฝ่ายโพลงไฟขึ้นแล้ว โรงบูชาเพลิงรุ่งโรจน์เป็นเปลวเพลิง.
พวกชฎิลกล่าวกันว่า ชาวเรา พระสมณะรูปงามคงถูกพญานาคเบียดเบียนแน่.
ครั้นราตรีผ่านไป เปลวไฟของพญานาคไม่ปรากฏ.
แต่เปลวไฟสีต่างๆ ของพระผู้มีพระภาคผู้ทรงฤทธิ์ยังสถิตอยู่.
พระรัศมีสีต่างๆ คือสีเขียว สีแดง สีหงสบาท สีเหลือง สีแก้วผลึก
ปรากฏที่พระกายพระอังคีรส.
พระพุทธองค์ทรงขดพญานาคไว้ในบาตรแล้ว ทรงแสดงแก่พราหมณ์ว่า
ดูกรกัสสปนี่พญานาคของท่าน เราครอบงำเดชของมันด้วยเดชของเราแล้ว.
ครั้งนั้น ชฎิลอุรุเวลกัสสป เลื่อมใสยิ่งนัก
เพราะอิทธิปาฏิหารย์นี้ของพระผู้มีพระภาค
ได้ทูลคำนี้ต่อพระผู้มีพระภาคว่า
"ข้าแต่มหาสมณะ นิมนต์อยู่ในที่นี้แหละ
ข้าพเจ้าจักบำรุงท่านด้วยภัตตาหารประจำ"
**********
~ ปาฏิหาริย์ที่ ๒ ~
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ไพรสณฑ์แห่งหนึ่ง
ไม่ไกลจากอาศรมของชฎิลอุรุเวลกัสสป.
ท้าวมหาราชทั้ง ๔ เมื่อราตรีปฐมยามผ่านไปแล้ว
เปล่งรัศมีงามยังไพรสณฑ์ทั้งสิ้นให้สว่างไสว
แล้วเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค แล้วจึงถวายบังคมพระผู้มีพระภาค
ได้ยืนเฝ้าอยู่ทั้ง ๔ ทิศ ดุจกองไฟใหญ่ฉะนั้น.
ต่อมาชฎิลอุรุเวลกัสสป
เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคโดยผ่านราตรีนั้น
ได้ทูลคำนี้ต่อพระผู้มีพระภาคว่า
"ถึงเวลาแล้วมหาสมณะ ภัตตาหารเสร็จแล้ว
พวกนั้นคือใครกันหนอ เมื่อราตรีปฐมยามผ่านไปแล้ว มีรัศมีงาม
ยังไพรสณฑ์ทั้งสิ้นให้สว่างไสว เข้าไปหาท่าน
ครั้นถึงแล้วอภิวาทท่าน ได้ยืนอยู่ทั้ง ๔ ทิศดุจกองไฟใหญ่ฉะนั้น?"
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
"ดูกรกัสสป พวกนั้นคือท้าวมหาราชทั้ง ๔ เข้ามาหาเราเพื่อฟังธรรม"
ครั้งนั้น ชฎิลอุรุเวลกัสสปได้มีความดำริว่า
พระมหาสมณะมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากแท้
ถึงกับท้าวมหาราชทั้ง ๔ เข้ามาหาเพื่อฟังธรรม
แต่ก็ไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนเราแน่.
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเสวยภัตตาหารของชฎิลอุรุเวลกัสสป
แล้วประทับอยู่ในไพรสณฑ์ตำบลนั้นแล.
**********
~ ปาฏิหาริย์ที่ ๓ ~
ครั้งนั้น ท้าวสักกะจอมทวยเทพ เมื่อราตรีปฐมยามล่วงไปแล้ว
เปล่งรัศมีงาม ยังไพรสณฑ์ทั้งสิ้นให้สว่างไสว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค
ครั้นถึงแล้วจึงถวายบังคมพระผู้มีพระภาค
ได้ประทับยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ดุจกองไฟใหญ่
งามและประณีตกว่ารัศมีแต่ก่อน.
ต่อมาชฎิลอุรุเวลกัสสปเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคโดยผ่านราตรีนั้น
ครั้นถึงแล้วได้ทูลคำนี้ต่อพระผู้มีพระภาคว่า
"ถึงเวลาแล้ว มหาสมณะ ภัตตาหารเสร็จแล้ว
ผู้นั้นคือใครกันหนอ เมื่อราตรีปฐมยามผ่านไปแล้ว
เปล่งรัศมีงาม ยังไพรสณฑ์ทั้งสิ้นให้สว่างไสว เข้ามาหาท่าน
ครั้นถึงแล้วอภิวาทท่าน ได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ดุจกองไฟใหญ่ งามและประณีตกว่ารัศมีแต่ก่อน?"
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
"ดูกรกัสสป ผู้นั้น คือ ท้าวสักกะจอมทวยเทพเข้ามาหาเราเพื่อฟังธรรม"
ครั้งนั้น ชฎิลอุรุกัสสปได้มีความดำริว่า
"พระมหาสมณะมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากแท้
ถึงกับท้าวสักกะจอมทวยเทพเข้ามาหาเพื่อฟังธรรม
แต่ก็ไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนเราแน่"
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเสวยภัตตาหารของชฎิลอุรุเวลกัสสป
แล้วประทับอยู่ในไพรสณฑ์ตำบลนั้นแล.
**********
~ ปาฏิหาริย์ที่ ๔ ~
ครั้งนั้น ท้าวสหัมบดีพรหม เมื่อราตรีปฐมยามล่วงไปแล้ว
เปล่งรัศมีงาม ยังไพรสณฑ์ทั้งสิ้นให้สว่างไสว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค
ครั้นถึงแล้วจึงถวายบังคมพระผู้มีพระภาคได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ดุจกองไฟใหญ่ งามและประณีตกว่ารัศมีแต่ก่อน.
ครั้นล่วงราตรีนั้น ชฎิลอุรุเวลกัสสป ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค
ครั้นถึงแล้วได้ทูลคำนี้ต่อพระผู้มีพระภาคว่า
"ถึงเวลาแล้ว มหาสมณะ ภัตตาหารเสร็จแล้ว
ผู้นั้นคือใครกันหนอ เมื่อราตรีปฐมยามผ่านไปแล้ว เปล่งรัศมีงาม
ยังไพรสนฑ์ทั้งสิ้นให้สว่างไสว เข้ามาหาท่าน
ครั้นถึงแล้วอภิวาทท่าน ได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ดุจกองไฟใหญ่ งามและประณีตกว่ารัศมีแต่ก่อน?"
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
"ดูกรกัสสป ผู้นั้น คือ ท้าวสหัมบดีพรหมเข้ามาหาเราเพื่อฟังธรรม"
ครั้งนั้น ชฎิลอุรุเวลกัสสปได้ดำริว่า
"พระมหาสมณะมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากแท้
ถึงกับท้าวสหัมบดีพรหมเข้ามาหาเพื่อฟังธรรม
แต่ก็ไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนเราแน่"
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเสวยภัตตาหารของชฎิลอุรุเวลกัสสป
แล้วประทับอยู่ในไพรสณฑ์ตำบลนั้นแล.
**********
~ ปาฏิหาริย์ที่ ๕ ~
ก็โดยสมัยนั้นแล ชฎิลอุรุเวลกัสสปได้เตรียมการบูชายัญเป็นการใหญ่.
และประชาชนชาวอังคะและมคธทั้งสิ้น
ถือของเคี้ยวของบริโภคเป็นอันมาก บ่ายหน้ามุ่งไปหา.
จึงชฎิลอุรุเวลกัสสปได้ดำริว่า บัดนี้
เราได้เตรียมการบูชายัญเป็นการใหญ่ และประชาชนชาวอังคะและมคธทั้งสิ้น
ได้นำของเคี้ยวของบริโภคเป็นอันมากบ่ายหน้ามุ่งมาหา
ถ้าพระมหาสมณะจักทำอิทธิปาฏิหาริย์ในหมู่มหาชน
ลาภสักการะจักเจริญยิ่งแก่พระมหาสมณะ ลาภสักการะของเราจักเสื่อม
"โอ ทำไฉน วันพรุ่งนี้ พระมหาสมณะจึงจะไม่มาฉัน"
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาค
ทรงทราบความปริวิตกแห่งจิตของชฎิลอุรุเวลกัสสปด้วยพระทัยแล้ว
เสด็จไปอุตตรกุรุทวีป ทรงนำบิณฑบาตมาจากอุตตรกุรุทวีปนั้น
แล้วเสวยที่ริมสระอโนดาต ประทับกลางวันอยู่ ณ ที่นั้นแหละ.
ครั้นล่วงไปอีกวัน หลังการบูชายัญเสร็จสิ้นแล้ว
ชฎิลอุรุเวลกัสสปได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค
ครั้นถึงแล้วได้ทูลคำนี้ต่อพระผู้มีพระภาคว่า
"ถึงเวลาแล้ว มหาสมณะ ภัตตาหารเสร็จแล้ว
เพราะเหตุไรหนอ วานนี้ท่านจึงไม่มา เป็นความจริง
พวกข้าพเจ้าระลึกถึงท่านว่า เพราะเหตุไรหนอ พระมหาสมณะจึงไม่มา
แต่ส่วนแห่งขาทนียาหาร ข้าพเจ้าได้จัดไว้เพื่อท่าน"
พระผู้มีพระภาคตรัสย้อนถามว่า
"ดูกรกัสสป ท่านได้ดำริอย่างนี้มิใช่หรือว่า
บัดนี้เราได้เตรียมการบูชายัญเป็นการใหญ่
และประชาชนชาวอังคะและมคธทั้งสิ้นได้นำของเคี้ยวและ
ของบริโภคเป็นอันมากบ่ายหน้ามุ่งมาหา
ถ้าพระมหาสมณะจักทำอิทธิปาฏิหาริย์ ในหมู่มหาชน
ลาภสักการะจักเจริญยิ่งแก่พระมหาสมณะ
ลาภสักการะของเราจักเสื่อม
โอ ทำไฉน วันพรุ่งนี้พระมหาสมณะจึงจะไม่มาฉัน"
"ดูกรกัสสป เรานั้นแลทราบความปริวิตกแห่งจิตของท่านด้วยใจของเรา
จึงไปอุตตรกุรุทวีป นำบิณฑบาตมาจากอุตตรกุรุทวีปนั้น
มาฉันที่ริมสระอโนดาตแล้วได้พักกลางวันอยู่ ณ ที่นั้นแหละ"
ทีนั้น ชฎิลอุรุเวลกัสสปได้ดำริว่า
"พระมหาสมณะมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากแท้
จึงได้ทราบความคิดนึกแม้ด้วยใจได้
แต่ก็ไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนเราแน่"
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเสวยภัตตาหารของชฎิลอุรุเวลกัสสป
แล้วประทับอยู่ ณ ไพรสณฑ์ตำบลนั้นแล.
**********
~ ปาฏิหาริย์ผ้าบังสุกุล ~
ก็โดยสมัยนั้น ผ้าบังสุกุลบังเกิดแก่พระผู้มีพระภาค.
จึงพระองค์ได้ทรงพระดำริว่าเราจะพึงซักผ้าบังสุกุล ณ ที่ไหนหนอ.
ลำดับนั้น ท้าวสักกะจอมทวยเทพ
ทรงทราบพระดำริในพระทัยของพระผู้มีพระภาค
จึงขุดสระโบกขรณีด้วยพระหัตถ์
แล้วได้ทูลพระผู้มีพระภาคว่า
"พระพุทธเจ้าข้า ขอพระผู้มีพระภาคโปรดซักผ้าบังสุกุลในสระนี้"
ที่นั้นพระผู้มีพระภาคได้ทรงพระดำริว่า
เราจะพึงขยำผ้าบังสุกุล ณ ที่ไหนหนอ.
ลำดับนั้น ท้าวสักกะจอมทวยเทพ
ทรงทราบพระดำริในพระทัยของพระผู้มีพระภาค
ได้ยกศิลาแผ่นใหญ่มาวางพลางทูลว่า
"พระพุทธเจ้าข้า ขอพระผู้มีพระภาคโปรดทรงขยำผ้าบังสุกุลบนศิลาแผ่นนี้"
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคได้ทรงพระดำริว่า
เราจะพึงพาดผ้าบังสุกุลไว้ ณ ที่ไหนหนอ.
ครั้งนั้น เทพยดาที่สิงสถิตอยู่ที่ต้นกุ่มบก
ทราบพระดำริในพระหทัยของพระผู้มีพระภาคด้วยใจของตน
จึงน้อมกิ่งกุ่มลงมา พลางกราบทูลว่า
"พระพุทธเจ้าข้า ขอพระผู้มีพระภาคโปรดทรงพาดผ้าบังสุกุลไว้ที่กิ่งกุ่มนี้"
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคได้ทรงพระดำริว่า
เราจะผึ่งผ้าบังสุกุล ณ ที่ไหนหนอ.
ครั้งนั้น ท้าวสักกะจอมทวยเทพ
ทรงทราบพระดำริในพระหทัยของพระผู้มีพระภาค
ได้ยกแผ่นศิลาใหญ่มาวางไว้ พลางกราบทูลว่า
"พระพุทธเจ้าข้า ขอพระผู้มีพระภาคโปรดทรงผึ่งผ้าบังสุกุลบนศิลาแผ่นนี้"
หลังจากนั้น ชฎิลอุรุเวลกัสสปเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคโดยล่วงราตรีนั้น
ครั้นถึงแล้วได้ทูลคำนี้ต่อพระผู้มีพระภาคว่า
"ถึงเวลาแล้ว มหาสมณะ ภัตตาหารเสร็จแล้ว
เพราะเหตุไรหนอมหาสมณะ
เมื่อก่อนสระนี้ไม่มีที่นี้ เดี๋ยวนี้มีสระอยู่ที่นี้
เมื่อก่อนศิลาเหล่านี้ไม่มีวางอยู่ ใครยกศิลาเหล่านี้มาวางไว้
เมื่อก่อนกิ่งกุ่มบกต้นนี้ไม่น้อมลง เดี๋ยวนี้กิ่งนั้นน้อมลง?"
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
"ดูกรกัสสป ผ้าบังสุกุลบังเกิดแก่เรา ณ ที่นี้
เรานั้นได้ดำริว่า จะพึงซักผ้าบังสุกุล ณ ที่ไหนหนอ
ครั้งนั้น ท้าวสักกะจึงขุดสระโบกขรณีด้วยพระหัตถ์
สระนี้อันผู้มิใช่มนุษย์ได้ขุดแล้วด้วยมือ
ดูกรกัสสป เรานั้นได้ดำริว่า จะพึงขยำผ้าบังสุกุล ณ ที่ไหนหนอ
ครั้งนั้นท้าวสักกะ ได้ทรงยกศิลาแผ่นใหญ่มาวางไว้
ศิลาแผ่นนี้อันผู้มิใช่มนุษย์ได้ยกมาวางไว้
ดูกรกัสสป เรานั้นได้ดำริว่า จะพึงพาดผ้าบังสุกุล ณ ที่ไหนหนอ
ครั้งนั้น เทพดาที่สิงสถิตอยู่ที่ต้นกุ่มบก จึงน้อมกิ่งกุ่มลงมา
ดูกรกัสสป เรานั้นได้ดำริว่า จะพึงผึ่งผ้าบังสุกุล ณ ที่ไหนหนอ
ครั้งนั้น ท้าวสักกะได้ยกศิลาแผ่นใหญ่มาวางไว้
ศิลาแผ่นนี้อันผู้มิใช่มนุษย์ได้ยกมาวางไว้.
ครั้งนั้น ชฎิลอุรุเวลกัสสปได้ดำริว่า
"พระมหาสมณะมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากแท้
ถึงกับท้าวสักกะจอมทวยเทพได้ทำการช่วยเหลือ
แต่ก็ไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนเราแน่"
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเสวยภัตตาหารของชฎิลอุรุเวลกัสสป
แล้วประทับอยู่ในไพรสณฑ์ตำบลนั้นแล.
**********
~ปาฏิหาริย์เก็บผลหว้า ~
ครั้นล่วงราตรีนั้นไป ชฎิลอุรุเวลกัสสปเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค
ครั้นแล้วจึงกราบทูลภัตตกาลแด่พระผู้มีพระภาคว่า
"ถึงเวลาแล้ว มหาสมณะ ภัตตาหารเสร็จแล้ว"
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า "ดูกรกัสสป ท่านไปเถิด เราจะตามไป"
พระผู้มีพระภาคทรงส่งชฎิลอุรุเวลกัสสปไปแล้ว
ทรงเก็บผลหว้าจากต้นหว้าประจำชมพูทวีป
แล้วเสด็จมาประทับนั่งในโรงบูชาเพลิงก่อน.
ชฎิลอุรุเวลกัสสปได้เห็นพระผู้มีพระภาคประทับนั่งในโรงบูชาเพลิงแล้ว
ได้ทูลคำนี้ต่อพระผู้มีพระภาคว่า
"ข้าแต่มหาสมณะ ท่านมาทางไหน ข้าพเจ้ากลับมาก่อนท่าน
แต่ท่านยังมานั่งในโรงบูชาเพลิงก่อน?"
พระผู้มีพระภาค: "ดูกรกัสสป เราส่งท่านไปแล้ว
ได้เก็บผลหว้าจากต้นหว้าประจำชมพูทวีป
แล้วมานั่งในโรงบูชาเพลิงนี้ก่อน"
"ดูกรกัสสป ผลหว้านี้แล สมบูรณ์ด้วยสี กลิ่น รส
ถ้าท่านต้องการเชิญบริโภคเถิด"
อุรุเวลกัสสป : "อย่าเลย มหาสมณะ ท่านนั่นแหละเก็บผลไม้นี้มา
ท่านนั่นแหละ จงฉันผลไม้นี้เถิด"
ลำดับนั้น ชฎิลอุรุเวลกัสสปได้มีความดำริว่า
"พระมหาสมณะมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากแท้
เพราะส่งเรามาก่อนแล้ว ยังเก็บผลหว้าจากต้นหว้าประจำชมพูทวีป
แล้วมานั่งในโรงบูชาเพลิงก่อน
แต่ก็ไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนเราแน่"
**********
~ ปาฏิหาริย์เก็บดอกปาริฉัตตกะ ~
ครั้นล่วงไปอีกวันหนึ่ง ชฎิลอุรุเวลกัสสปไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค
จึงทูลว่า "ถึงเวลาแล้ว มหาสมณะ ภัตตาหารเสร็จแล้ว"
พระผู้มีพระภาคทรงส่งชฎิลอุรุเวลกัสสปไปด้วยพระดำรัสว่า
"ดูกรกัสสป ท่านไปเถิดเราจักตามไป"
แล้วทรงเก็บผลมะม่วง ... ผลมะขามป้อม ... ผลสมอ
ในที่ไม่ไกลต้นหว้าประจำชมพูทวีปนั้น ...
เสด็จไปสู่ภพดาวดึงส์ ทรงเก็บดอกปาริฉัตตกะ
แล้วมาประทับนั่งในโรงบูชาเพลิงก่อน.
ชฎิลอุรุเวลกัสสปได้เห็นพระผู้มีพระภาคประทับนั่งในโรงบูชาเพลิง
ครั้นแล้วได้ทูลคำนี้ต่อพระผู้มีพระภาคว่า
"ข้าแต่มหาสมณะ ท่านมาทางไหน ข้าพเจ้ากลับมาก่อนท่าน
แต่ท่านกลับมานั่งในโรงบูชาเพลิงก่อน?"
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า "ดูกรกัสสป เราส่งท่านแล้ว
ได้ไปสู่ภพดาวดึงส์ เก็บดอกปาริฉัตตกะแล้ว
มานั่งในโรงบูชาเพลิงก่อน"
"ดูกรกัสสป ดอกปาริฉัตตกะนี้แล สมบูรณ์ด้วยสีและกลิ่น"
ครั้งนั้น ชฎิลอุรุเวลกัสสปได้มีความดำริว่า
พระมหาสมณะมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากแท้
เพราะส่งเรามาก่อนแล้วยังไปสู่ภพดาวดึงส์ เก็บดอกปาริฉัตตกะแล้ว
มานั่งในโรงบูชาเพลิงก่อน แต่ก็ไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนเราแน่.
**********
~ ปาฏิหาริย์ผ่าฟืน ~
ก็โดยสมัยนั้นแล ชฎิลเหล่านั้นปรารถนาจะบำเรอไฟ
แต่ไม่อาจจะฝ่าฟืนได้
ชฎิลเหล่านั้นได้มีความดำริต้องกันว่า
ข้อที่พวกเราไม่อาจผ่าฟืนได้นั้น
คงเป็นอิทธานุภาพของพระมหาสมณะ ไม่ต้องสงสัยเลย.
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะชฎิลอุรุเวลกัสสปว่า
"ดูกรกัสสป พวกชฎิลจงผ่าฟืนเถิด"
ชฎิลอุรุเวลกัสสป รับพระพุทธดำรัสว่า
"ข้าแต่มหาสมณะ พวกชฎิลจงผ่าฟืนกัน"
ชฎิลทั้งหลายได้ผ่าฟืน ๕๐๐ ท่อนคราวเดียวเท่านั้น.
ครั้งนั้นแล ชฎิลอุรุเวลกัสสปได้มีความดำริว่า
"พระมหาสมณะมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากแท้
ถึงกับให้พวกชฎิลผ่าฟืนได้ แต่ก็ไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนเราแน่"
**********
~ ปาฏิหาริย์ก่อไฟ ~
ก็โดยสมัยนั้นแล ชฎิลเหล่านั้นปรารถนาจะบำเรอไฟ
แต่ไม่อาจจะก่อไฟให้ลุกได้.
ชฎิลเหล่านั้นได้มีความดำริต้องกันว่า
ข้อที่พวกเราไม่อาจจะก่อไฟให้ลุกขึ้นได้นั้น
คงเป็นอิทธานุภาพของพระมหาสมณะ ไม่ต้องสงสัยเลย.
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะชฎิลอุรุเวลกัสสปว่า
"ดูกรกัสสป พวกชฎิลจงก่อไฟให้ลุกเถิด"
ชฎิลอุรุเวลกัสสป รับพระพุทธดำรัสว่า
"ข้าแต่มหาสมณะ พวกชฎิลจงก่อไฟให้ลุก"
ไฟทั้ง ๕๐๐ กอง ได้ลุกขึ้นคราวเดียวกันเทียว.
ลำดับนั้น ชฎิลอุรุเวลกัสสป ได้มีความดำริว่า
"พระมหาสมณะมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากแท้
ถึงกับให้ไฟลุกขึ้นได้ แต่ก็ไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนเราแน่"
**********
~ ปาฏิหาริย์ดับไฟ ~
ก็โดยสมัยนั้นแล ชฎิลเหล่านั้นบำเรอไฟกันแล้วไม่อาจดับไฟได้.
จึงได้คิดต้องกันว่า ข้อที่พวกเราไม่อาจดับไฟได้นั้น
คงเป็นอิทธานุภาพของพระสมณะ ไม่ต้องสงสัยเลย.
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะชฎิลอุรุเวลกัสสปว่า
"ดูกรกัสสป พวกชฎิลจงดับไฟเถิด"
ชฎิลอุรุเวลกัสสป รับพระพุทธดำรัสว่า
"ข้าแต่มหาสมณะ พวกชฎิลจงดับไฟกัน"
ไฟทั้ง ๕๐๐ กอง ได้ดับคราวเดียวกันเทียว.
ครั้งนั้นแล ชฎิลอุรุเวลกัสสปได้มีความดำริว่า
"พระมหาสมณะมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากแท้
ถึงกับให้พวกชฏิลดับไฟได้ แต่ก็ไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนเราแน่"
**********
~ ปาฏิหาริย์กองไฟ ~
ก็โดยสมัยนั้นแล ชฎิลเหล่านั้น
พากันดำลงบ้าง ผุดขึ้นบ้าง ทั้งดำทั้งผุดบ้างในแม่น้ำเนรัญชรา
ในราตรีหนาวเหมันตฤดู ระหว่างท้ายเดือน ๓ ต้นเดือน ๔
ในสมัยน้ำค้างตก.
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคได้ทรงนิรมิตกองไฟไว้ ๕๐๐ กอง
สำหรับให้ชฎิลเหล่านั้นขึ้นจากน้ำแล้วจะได้ผิง.
ชฎิลเหล่านั้นได้มีความดำริต้องกันว่า
ข้อที่กองไฟเหล่านี้ถูกนิรมิตไว้นั้น
คงต้องเป็นอิทธานุภาพของพระมหาสมณะ ไม่ต้องสงสัยเลย.
ครั้งนั้น ชฎิลอุรุเวลกัสสปได้มีความ
ดำริว่า พระมหาสมณะมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากแท้
ถึงกับนิรมิตกองไฟได้มากมายถึงเพียงนั้น
แต่ก็ไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนเราแน่.
**********
~ ปาฏิหาริย์น้ำท่วม ~
ก็โดยสมัยนั้นแล เมฆใหญ่ในสมัยที่มิใช่ฤดูกาลยังฝนให้ตกแล้ว
ห้วงน้ำใหญ่ได้ไหลนองไป.
ประเทศที่พระผู้มีพระภาคประทับอยู่นั้นถูกน้ำท่วม.
ขณะนั้น พระผู้มีพระภาคได้ทรงพระดำริว่า
"ไฉนหนอ เราพึงบันดาลให้น้ำห่างออกไปโดยรอบ"
แล้วจงกรมอยู่บนภาคพื้นอันมีฝุ่นฟุ้งขึ้นตอนกลาง.
ครั้นแล้วจึงทรงบันดาลให้น้ำห่างออกไปโดยรอบแล้วเสด็จจงกรมอยู่บนภาคพื้น
อันมีฝุ่นฟุ้งขึ้นตอนกลาง.
ต่อมา ชฎิลอุรุเวลกัสสปกล่าวว่า
"พระมหาสมณะอย่าได้ถูกน้ำพัดไปเสียเลย"
ดังนี้ แล้วพร้อมด้วยชฎิลมากด้วยกัน
ได้เอาเรือไปสู่ประเทศที่พระผู้มีพระภาคประทับอยู่.
ได้เห็นพระผู้มีพระภาคผู้ทรงบันดาลให้น้ำห่างออกไปโดยรอบแล้ว
เสด็จจงกรมอยู่บนภาคพื้นอันมีฝุ่นฟุ้งขึ้นตอนกลาง
แล้วได้ทูลพระผู้มีพระภาคว่า
"ข้าแต่มหาสมณะท่านยังอยู่ที่นี่ดอกหรือ?"
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
"ถูกละ กัสสป เรายังอยู่ที่นี่"
ดังนี้แล้วเสด็จขึ้นสู่เวหาสปรากฏอยู่ที่เรือ.
จึงชฎิลอุรุเวลกัสสปได้มีความดำริว่า
"พระมหาสมณะมีฤทธิ์มากมีอานุภาพมากแท้
ถึงกับบันดาลไม่ให้น้ำไหลไปได้
แต่ก็ไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนเราแน่"
**********
~ อุรุเวลกัสสป ทูลขอบรรพชาและอุปสมบท ~
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคได้ทรงพระดำริว่า
"โมฆบุรุษนี้ ได้มีความคิดอย่างนี้มานานแล้วว่า
พระมหาสมณะมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากแท้
แต่ก็ไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนเราแน่
ถ้ากระไร เราพึงให้ชฎิลนี้สลดใจ..."
แล้วจึงตรัสกะชฎิลอุรุเวลกัสสปว่า
"ดูกรกัสสป ท่านไม่ใช่พระอรหันต์แน่
ทั้งยังไม่พบทางแห่งความเป็นพระอรหันต์
แม้ปฏิปทาของท่านที่จะเป็นเหตุให้เป็นพระอรหันต์
หรือพบทางแห่งความเป็นพระอรหันต์ ก็ไม่มี"
เมื่อได้ฟังดังนั้น
อุรุเวลกัสสปได้ซบเศียรลงที่พระบาทของพระผู้มีพระภาค
แล้วทูลขอบรรพชาอุปสมบทต่อพระผู้มีพระภาคว่า
"ขอข้าพระพุทธเจ้าพึงได้บรรพชา
พึงได้อุปสมบทในสำนักพระผู้มีพระภาค พระพุทธเจ้าข้า"
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
"ดูกรกัสสป ท่านเป็นผู้นำ เป็นผู้ฝึกสอน เป็นผู้เลิศ
เป็นหัวหน้าเป็นประธานของชฎิล ๕๐๐ คน
ท่านจงบอกกล่าวพวกนั้นก่อน พวกนั้นจักทำตามที่เข้าใจ"
ลำดับนั้น ชฎิลอุรุเวลกัสสปเข้าไปหาชฎิลเหล่านั้น
ครั้นแล้วได้แจ้งความประสงค์ต่อชฎิลเหล่านั้นว่า
"ผู้เจริญทั้งหลาย เราปรารถนาจะประพฤติพรหมจรรย์ในพระมหาสมณะ
ท่านผู้เจริญทั้งหลาย จงทำตามที่เข้าใจ"
ชฎิลพวกนั้นกราบเรียนว่า
"พวกข้าพเจ้าเลื่อมใสยิ่งในพระมหาสมณะมานานแล้ว ขอรับ
ถ้าท่านอาจารย์จักประพฤติพรหมจรรย์ในพระมหาสมณะ
พวกข้าพเจ้าทั้งหมดก็จักประพฤติพรหมจรรย์ในพระมหาสมณะเหมือนกัน"
ต่อมา ชฎิลเหล่านั้นได้ลอยผม ชฎา เครื่องบริขาร และเครื่องบูชาเพลิงในน้ำ
แล้วพากันเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค ซบเศียรลงแทบพระบาทของพระผู้มีพระภาค
แล้วได้ทูลขอบรรพชาอุปสมบทต่อพระผู้มีพระภาคว่า
"ขอพวกข้าพระองค์พึงได้บรรพชา
พึงได้อุปสมบทในสำนักพระผู้มีพระภาค พระพุทธเจ้าข้า"
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
"พวกเธอจงเป็นภิกษุมาเถิด"
ดังนี้แล้ว ได้ตรัสต่อไปว่า
"ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว พวกเธอจงประพฤติพรหมจรรย์
เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบเถิด"
พระวาจานั้นแล ได้เป็นอุปสมบทของชฎิลเหล่านั้น.
**********
~ นทีกัสสป ทูลขอบรรพชาและอุปสมบท ~
ชฎิลนทีกัสสปได้เห็นผม ชฎา เครื่องบริขาร
และเครื่องบูชาเพลิงลอยน้ำมา
ครั้นแล้วได้มีความดำริว่า
"อุปสรรคอย่าได้มีแก่พี่ชายเราเลย"
จึงส่งชฎิลไปด้วยคำสั่งว่า
"พวกเธอจงไป หาพี่ชายของเรา"
ดังนี้แล้ว ทั้งตนเองกับชฎิล ๓๐๐
ได้เข้าไปหาท่านพระอุรุเวลกัสสปแล้วเรียนถามว่า
"ข้าแต่พี่กัสสป พรหมจรรย์นี้ประเสริฐแน่หรือ?"
พระอุรุเวลกัสสปตอบว่า
"แน่ละเธอ พรหมจรรย์นี้ประเสริฐ"
หลังจากนั้น ชฎิลเหล่านั้นลอยผม ชฎา เครื่องบริขารและเครื่องบูชาเพลิงในน้ำ แล้ว
พากันเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค ซบเศียรลงแทบพระบาทของพระผู้มีพระภาค
แล้วได้ทูลขอบรรพชาอุปสมบทต่อพระผู้มีพระภาค
**********
~ คยากัสสป ทูลขอบรรพชาและอุปสมบท ~
ชฎิลคยากัสสปได้เห็นผม ชฎา เครื่องบริขาร และเครื่องบูชาเพลิง ลอยน้ำมา.
ครั้นแล้ว ได้มีความดำริว่า
"อุปสรรคอย่าได้มีแก่พี่ชายทั้งสองของเราเลย"
ดังนี้แล้ว ทั้งตนเองกับชฎิล ๒๐๐ คน
ได้เข้าไปหาท่านพระอุรุเวลกัสสป แล้วเรียนถามว่า
"ข้าแต่พี่กัสสป พรหมจรรย์นี้ประเสริฐแน่หรือ?"
พระอุรุเวลกัสสปตอบว่า "แน่ละเธอ พรหมจรรย์นี้ประเสริฐ"
หลังจากนั้น ชฎิลเหล่านั้นลอยผม ชฎา เครื่องบริขาร และเครื่องบูชาเพลิงในน้ำ
แล้วพากันเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค ซบเศียรลงแทบพระบาทของพระผู้มีพระภาคแล้ว
ได้ทูลขอบรรพชาอุปสมบทต่อพระผู้มีพระภาค
**********
พวกชฎิลนั้น ผ่าฟืน ๕๐๐ ท่อนไม่ได้ แล้วผ่าได้ ก่อไฟไม่ติด
แล้วก่อไฟติดขึ้นได้ ดับไฟไม่ดับ แล้วดับได้
ด้วยการเพ่งอธิษฐานของพระผู้มีพระภาค
พระผู้มีพระภาคทรงนิรมิตกองไฟไว้ ๕๐๐ กอง.
ปาฏิหาริย์ ๓๕๐๐ วิธี ย่อมมีโดยนัยนี้.
**********

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา