Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
เบื่อเมือง
•
ติดตาม
17 ธ.ค. 2022 เวลา 03:51 • ไลฟ์สไตล์
¤ ปริเฉทที่ ๑๔
ยสบรรพชาปริวรรต
เรื่องยสกุลบุตร
**********
~ เรื่องยสกุลบุตร ~
ก็โดยสมัยนั้นแล
ในพระนครพาราณสี
มีกุลบุตร ชื่อ ยสะ เป็นบุตรเศรษฐีสุขุมาลชาติ.
ยสกุลบุตรนั้นมีปราสาท ๓ หลัง
คือ หลังหนึ่งเป็นที่อยู่ในฤดูหนาว
หลังหนึ่งเป็นที่อยู่ในฤดูร้อน หลังหนึ่งเป็นที่อยู่ในฤดูฝน.
ยสกุลบุตรนั้นรับบำเรอด้วยพวกดนตรี ไม่มีบุรุษเจือปน
ในปราสาทฤดูฝนตลอด ๔ เดือน ไม่ลงมาเบื้องล่างปราสาท.
ค่ำวันหนึ่ง เมื่อยสกุลบุตรอิ่มเอิบพร้อมพรั่งบำเรออยู่ด้วยกามคุณ ๕
ได้นอนหลับก่อน ส่วนพวกบริวารชนนอนหลับภายหลัง.
ประทีปน้ำมันตามสว่างอยู่ตลอดคืน.
คืนนั้นยสกุลบุตรตื่นขึ้นก่อน ได้เห็นบริวารชนของตนกำลังนอนหลับ
บางนางมีพิณตกอยู่ที่รักแร้ บางนางมีตะโพนวางอยู่ข้างคอ
บางนางมีเปิงมางตกอยู่ที่อก บางนางสยายผม บางนางมีน้ำลายไหล
บางนางบ่นละเมอต่างๆ
ปรากฏแก่ยสกุลบุตรดุจป่าช้าผีดิบ.
ครั้นแล้วความเห็นเป็นโทษได้ปรากฏแก่ยสกุลบุตร
จิตตั้งอยู่ในความเบื่อหน่าย
ยสกุลบุตร จึงเปล่งอุทานว่า
"ที่นี่วุ่นวายหนอ ที่นี่ขัดข้องหนอ"
แล้วสวมรองเท้าทองเดินตรงไปยังประตูนิเวศน์
พวกอมนุษย์เปิดประตูให้ด้วยหวังใจว่า
ใครๆ อย่าได้ทำอันตรายแก่การออกจากเรือน
บวชเป็นบรรพชิตของยสกุลบุตรเลย.
จากนั้น
ยสกุลบุตรได้เดินตรงไปทางป่าอิสิปตนมฤคทายวัน.
**********
ครั้นปัจจุสสมัยแห่งราตรี
พระผู้มีพระภาคตื่นบรรทมแล้วเสด็จจงกรมอยู่ ณ ที่แจ้ง
ได้ทอดพระเนตรเห็นยสกุลบุตรเดินมาแต่ไกล
ครั้นแล้วเสด็จลงจากที่จงกรมประทับนั่งบนอาสนะที่ปูลาดไว้.
**********
~ ทรงแสดงอนุปุพพิกถา ~
ขณะนั้น
ยสกุลบุตรเปล่งอุทานในที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาคว่า
"ที่นี่วุ่นวายหนอ ที่นี่ขัดข้องหนอ"
ทันทีนั้น
พระผู้มีพระภาคตรัสกะยสกุลบุตรว่า
"ดูกร ยส ที่นี่ไม่วุ่นวาย ที่นี่ไม่ขัดข้อง
มาเถิดยส นั่งลง เราจักแสดงธรรมแก่เธอ"
ที่นั้น ยสกุลบุตรร่าเริงบันเทิงใจว่า
ได้ยินว่า ที่นี่ไม่วุ่นวาย ที่นี่ไม่ขัดข้อง ดังนี้
แล้วถอดรองเท้าทอง เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค
ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
เมื่อยสกุลบุตรนั่งเรียบร้อยแล้ว
พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดง "อนุปุพพิกถา" คือ
๑) ทานกถา (เรื่องทาน กล่าวถึง การให้ การเสียสละ)
๒) สีลกถา (เรื่องศีล, กล่าวถึง ความประพฤติที่ถูกต้องดีงาม)
๓) สัคคกถา (เรื่องสวรรค์, กล่าวถึงความสุข ในสวรรค์)
๔) กามาทีนวกถา (เรื่องโทษแห่งกาม ผลร้ายที่สืบเนื่องมาแต่กาม)
๕) เนกขัมมานิสังสกถา (เรื่องอานิสงส์แห่งความออกจากกาม ความสุขอันสงบ)
เมื่อพระองค์ทรงทราบว่า
ยสกุลบุตรมีจิตสงบ มีจิตอ่อน มีจิตปลอดจากนิวรณ์
มีจิตเบิกบาน มีจิตผ่องใสแล้ว
จึงทรงประกาศพระธรรมเทศนา (อริยสัจ ๔)
ที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงยกขึ้นแสดงด้วยพระองค์เอง
คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค.
ดวงตาเห็นธรรม ปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน ว่า
"สิ่งใดสิ่งหนึ่ง มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
สิ่งนั้นทั้งมวลมีความดับเป็นธรรมดา"
ได้เกิดแก่ยสกุลบุตร ณ ที่นั่งนั้นแล
ดุจผ้าที่สะอาดปราศจากมลทิน
ควรได้รับน้ำย้อมเป็นอย่างดี ฉะนั้น.
**********
~ บิดาของยสกุลบุตรตามหา ~
ครั้นรุ่งเช้า
มารดาของยสกุลบุตรขึ้นไปยังปราสาท ไม่เห็นยสกุลบุตร
จึงเข้าไปหาเศรษฐีผู้คหบดี แล้วได้ถามว่า
"ท่านคหบดีเจ้าข้า พ่อยสกุลบุตรของท่านหายไปไหน?"
ฝ่ายเศรษฐีผู้คหบดีส่งทูตขี่ม้าไปตามหาทั้ง ๔ ทิศแล้ว
ส่วนตัวเองไปหาทางป่าอิสิปตนมฤคทายวัน.
ได้พบรองเท้าทองวางอยู่ ครั้นแล้วจึงตามไปสู่ที่นั้น.
พระผู้มีพระภาคได้ทอดพระเนตรเห็น
เศรษฐีผู้คหบดีมาแต่ไกล.
ครั้นแล้วทรงพระดำริว่า
"เราพึงบันดาลอิทธาภิสังขารให้
เศรษฐีคหบดีนั่งอยู่ ณ ที่นี้ ไม่เห็นยสกุลบุตรผู้นั่งอยู่ ณ ที่นี้"
แล้วทรงบันดาลอิทธาภิสังขารดังพระพุทธดำริ.
**********
ครั้งนั้น
เศรษฐีผู้คหบดีได้เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคแล้วทูลถามว่า
"พระผู้มีพระภาคทรงเห็นยสกุลบุตรบ้างไหม พระพุทธเจ้าข้า?"
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
"ดูกรคหบดี ถ้าอย่างนั้น เชิญนั่ง บางทีท่านนั่งอยู่ ณ ที่นี้
จะพึงได้เห็นยสกุลบุตรผู้นั่งอยู่ ณ ที่นี้"
ครั้งนั้น เศรษฐีผู้คหบดีร่าเริงบันเทิงใจ เมื่อได้ยินดังนี้
จึงคิดว่า
"เรานั่งอยู่ ณ ที่นี้แหละ
จักเห็นยสกุลบุตร"
จึงถวายบังคมพระผู้มีพระภาค แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.
เมื่อเศรษฐีผู้คหบดีนั่งเรียบร้อยแล้ว
พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดง "อนุปุพพิกถา"
เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า
เศรษฐีผู้คหบดี มีจิตสงบ มีจิตอ่อน
มีจิตปลอดจากนิวรณ์ มีจิตเบิกบาน มีจิตผ่องใสแล้ว
จึงทรงประกาศพระธรรมเทศนา
ที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงยกขึ้นแสดงด้วยพระองค์เอง
คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค.
ดวงตาเห็นธรรม ปราศจากธุลี ปราศจากมลทินว่า
"สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
สิ่งนั้นทั้งปวงล้วนมีความดับเป็นธรรมดา"
ได้เกิดแก่เศรษฐีผู้คหบดี ณ ที่นั่งนั้นแล
**********
ครั้นเศรษฐีผู้คหบดี
ได้เห็นธรรมแล้ว ได้บรรลุธรรมแล้ว ได้รู้ธรรมแจ่มแจ้งแล้ว
มีธรรมอันหยั่งลงแล้ว ข้ามความสงสัยได้แล้ว
ปราศจากถ้อยคำแสดงความสงสัย ถึงความเป็นผู้แกล้วกล้า
ไม่ต้องเชื่อผู้อื่นในคำสอนของพระศาสดา
ได้ทูลคำนี้แด่พระผู้มีพระภาคว่า
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก
ภาษิตของพระองค์ไพเราะนัก พระพุทธเจ้าข้า"
"พระองค์ทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยายอย่างนี้
เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำ
เปิดของที่ปิด
บอกทางแก่คนหลงทาง
หรือ ส่องประทีปในที่มืดด้วยตั้งใจว่า คนมีจักษุจักเห็นรูปดังนี้"
"ข้าพระพุทธเจ้านี้ ขอถึงพระผู้มีพระภาค
พระธรรม และพระสงฆ์ ว่าเป็นสรณะ"
"ขอพระองค์จงทรงจำข้าพระพุทธเจ้าว่า
เป็นอุบาสกผู้มอบชีวิตถึงสรณะจำเดิมแต่วันนี้เป็นต้นไป"
ก็เศรษฐีผู้คหบดีนั้น
ได้เป็น อุบาสกกล่าวอ้างพระรัตนตรัย เป็นคนแรกในโลก.
(อุบาสกคนแรกในโลก)
**********
~ ยสกุลบุตรสำเร็จพระอรหัตต์ ~
คราวเมื่อพระผู้มีพระภาค
ทรงแสดงธรรมแก่บิดาของยสกุลบุตร
จิตของยสกุลบุตรผู้พิจารณาภูมิธรรมตามที่ตนได้เห็นแล้ว
ได้รู้แจ้งแล้ว ก็พ้นจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น.
ครั้งนั้น
พระผู้มีพระภาคได้ทรงพระดำริว่า
เมื่อเราแสดงธรรมแก่บิดาของยสกุลบุตรอยู่
จิตของยสกุลบุตร ผู้พิจารณาเห็นภูมิธรรมตามที่ตนได้เห็นแล้ว
ได้รู้แจ้งแล้ว พ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น.
ยสกุลบุตรไม่ควรจะกลับเป็นคฤหัสถ์บริโภคกาม
เหมือนเป็นคฤหัสถ์ครั้งก่อน
ถ้ากระไร เราพึงคลายอิทธาภิสังขารนั้นได้แล้ว.
พระองค์ก็ได้ทรงคลายอิทธาภิสังขารนั้น.
เศรษฐีผู้คหบดีได้เห็นยสกุลบุตรนั่งอยู่
ครั้นแล้วได้พูดกะยสกุลบุตรว่า
"พ่อยสะ มารดาของเจ้าโศกเศร้าคร่ำครวญถึง
เจ้าจงให้ชีวิตแก่มารดาของเจ้าเถิด"
ครั้งนั้น ยสกุลบุตรได้ชำเลืองดู พระผู้มีพระภาค
พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสแก่เศรษฐีผู้คหบดีว่า
"ดูกรคหบดี ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน?
ยสกุลบุตรได้เห็นธรรมด้วยญาณทัสสนะเพียงเสขภูมิเหมือนท่าน
เมื่อเธอพิจารณาภูมิธรรมตามที่ตนได้เห็นแล้ว
ได้รู้แจ้งแล้ว จิตพ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น"
"ดูกรคหบดี ยสกุลบุตรควรหรือเพื่อจะกลับเป็นคฤหัสถ์บริโภคกาม
เหมือนเป็นคฤหัสถ์ครั้งก่อน?"
เศรษฐีผู้คหบดีกราบทูลว่า
"ข้อนั้นไม่ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า"
พระผู้มีพระภาคตรัสรับรองว่า
"ดูกรคหบดี ยสกุลบุตรได้รู้แจ้งแล้ว จิตพ้นแล้ว
จากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น
"ดูกรคหบดี ยสกุลบุตรไม่ควรจะกลับเป็นคฤหัสถ์บริโภคกาม
เหมือนเป็นคฤหัสถ์ครั้งก่อน"
เศรษฐีผู้คหบดีกราบทูลว่า
"การที่จิตของยสกุลบุตรพ้นจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่นนั้น
เป็นลาภของยสกุลบุตร ยสกุลบุตรได้ดีแล้ว พระพุทธเจ้าข้า"
"ขอพระผู้มีพระภาคมียสกุลบุตรเป็นปัจฉาสมณะ
จงทรงรับภัตตาหารของข้าพระพุทธเจ้า
เพื่อเสวยในวันนี้เถิด พระพุทธเจ้าข้า"
พระผู้มีพระภาคทรงรับโดยดุษณีภาพ.
ครั้นเศรษฐีผู้คหบดีทราบการรับนิมนต์ของพระผู้มีพระภาคแล้ว
ได้ลุกจากที่นั่ง ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค ทำประทักษิณแล้วกลับไป.
**********
กาลเมื่อเศรษฐีผู้คหบดีกลับไปแล้วไม่นาน
ยสกุลบุตรได้ทูลคำนี้ต่อพระผู้มีพระภาคว่า
"พระพุทธเจ้าข้า ขอข้าพระองค์พึงได้บรรพชา
พึงได้อุปสมบทในสำนักพระผู้มีพระภาค"
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
"เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด"
แล้วได้ตรัสต่อไปว่า
"ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว เธอจงประพฤติพรหมจรรย์เถิด"
พระวาจานั้นแล ได้เป็นอุปสมบทของพระยสะ
สมัยนั้น มีพระอรหันต์เกิดขึ้นในโลก ๗ องค์.
**********
~ มารดาและภรรยาเก่าของพระยสได้ธรรมจักษุ ~
ขณะนั้นเป็นเวลาเช้า
พระผู้มีพระภาคทรงอันตรวาสกแล้ว
ถือบาตรจีวรมีท่านพระยสเป็นปัจฉาสมณะ
เสด็จพระพุทธดำเนินไปสู่นิเวศน์ของเศรษฐีผู้คหบดี
ครั้นถึงแล้วประทับนั่งเหนือพุทธอาสน์ที่เขาปูลาดถวาย.
ลำดับนั้น
มารดาและภรรยาเก่าของท่านพระยสพากันเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค
ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.
พระผู้มีพระภาคตรัสอนุปุพพิกถาแก่นางทั้งสอง
เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า
นางทั้งสองมีจิตสงบ มีจิตอ่อน มีจิตปลอดจากนิวรณ์
มีจิตเบิกบาน มีจิตผ่องใสแล้ว
จึงทรงประกาศพระธรรมเทศนา
ที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงยกขึ้นแสดงด้วยพระองค์เอง
คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค.
ดวงตาเห็นธรรม ได้เกิดแก่นางทั้งสอง ณ ที่นั่งนั้นแล
มารดาและภรรยาเก่าของท่านพระยส ได้บรรลุธรรมแล้ว
ได้ทูลคำนี้ต่อพระผู้มีพระภาคว่า
"หม่อมฉันทั้งสองนี้ขอถึงพระผู้มีพระภาค พระธรรม
และพระภิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะ"
"ขอพระองค์จงทรงจำหม่อมฉันทั้งสองว่า
เป็นอุบาสิกาผู้มอบชีวิตถึงสรณะ จำเดิมแต่วันนี้เป็นต้นไป"
ก็มารดาและภรรยาเก่าของท่านพระยส
ได้เป็น อุบาสิกา กล่าวอ้างพระรัตนตรัยเป็นชุดแรกในโลก.
(อุบาสิกา ชุดแรกในโลก)
**********
ครั้งนั้น
มารดาบิดาและภรรยาเก่าของท่านพระยส
ได้อังคาสพระผู้มีพระภาคและท่านพระยส
ด้วยขาทนียโภชนียาหารอันประณีตด้วยมือของตนๆ จนให้ห้ามภัต
ทรงนำพระหัตถ์ออกจากบาตรแล้ว
จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.
ขณะนั้น
พระผู้มีพระภาคทรงชี้แจงให้มารดาบิดา
และภรรยาเก่าของท่านพระยส
เห็นแจ้ง สมาทาน อาจหาญ ร่าเริง
ด้วยธรรมีกถาแล้วเสด็จลุกจากอาสนะกลับไป.
**********
~ สหายคฤหัสถ์ ๔ คนของพระยสออกบรรพชา ~
สหายคฤหัสถ์ ๔ คนของท่านพระยส
คือ วิมล ๑ สุพาหุ ๑ ปุณณชิ ๑ ควัมปติ ๑
เป็นบุตรของสกุลเศรษฐีสืบๆ มา ในพระนครพาราณสี
ได้ทราบข่าวว่า ยสกุลบุตร
ปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสายะ ออกจากเรือน
บวชเป็นบรรพชิตแล้ว.
ครั้นทราบดังนั้นแล้วได้ดำริว่า
ธรรมวินัยและบรรพชาที่ยสกุลบุตร
ปลงผมและหนวดนุ่งห่มผ้ากาสายะออกจากเรือน
บวชเป็นบรรพชิตแล้วนั้น คงไม่ต่ำทรามแน่นอน ดังนี้
จึงพากันเข้าไปหาท่านพระยส
อภิวาทแล้วได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ท่านพระยสพาสหายคฤหัสถ์ทั้ง ๔ นั้น
เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคถวายบังคม
แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ได้กราบทูลว่า
"พระพุทธเจ้าข้า สหายคฤหัสถ์ของข้าพระองค์ ๔ คนนี้
ชื่อ วิมล ๑ สุพาหุ ๑ ปุณณชิ ๑ ควัมปติ ๑
เป็นบุตรของสกุลเศรษฐีสืบๆ มาในพระนครพาราณสี
ขอพระผู้มีพระภาคโปรดประทานโอวาท
สั่งสอนสหายของข้าพระองค์เหล่านี้"
พระผู้มีพระภาคทรงแสดงอนุปุพพิกถาแก่พวกเขา
แล้วทรงประกาศพระธรรมเทศนาที่พระพุทธเจ้า
ทั้งหลายทรงยกขึ้นแสดงด้วยพระองค์เอง คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค.
ดวงตาเห็นธรรมได้เกิดแก่พวกเขา ณ ที่นั่งนั้นแล
พวกเขาได้บรรลุธรรมแล้ว
ได้ทูลคำนี้ต่อพระผู้มีพระภาคว่า
"พระพุทธเจ้าข้า ขอพวกข้าพระองค์พึงได้บรรพชา
พึงได้อุปสมบทในสำนักพระผู้มีพระภาค"
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
"พวกเธอจงเป็นภิกษุมาเถิด"
ดังนี้ แล้วได้ตรัสต่อไปว่า
"ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว พวกเธอจงประพฤติพรหมจรรย์
เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบเถิด"
พระวาจานั้นแล ได้เป็นอุปสมบทของท่านเหล่านั้น.
**********
~ พระอรหันต์เกิดขึ้นในโลก ๑๑ องค์ ~
ต่อมา
พระผู้มีพระภาค
ทรงประทานโอวาทสั่งสอนภิกษุเหล่านั้นด้วยธรรมีกถา.
เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงประทานโอวาท
สั่งสอนภิกษุเหล่านั้นด้วยธรรมีกถา
จิตของภิกษุเหล่านั้น พ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย
เพราะไม่ถือมั่น.
สมัยนั้น มีพระอรหันต์เกิดขึ้นในโลก ๑๑ องค์.
**********
~ สหายคฤหัสถ์ ๕๐ คน ของพระยสออกบรรพชา ~
สหายคฤหัสถ์ของท่านพระยส
เป็นชาวชนบทจำนวน ๕๐ คน
เป็นบุตรของสกุลเก่าสืบๆ กันมา
ได้ทราบข่าวว่า ยสกุลบุตร
ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตแล้ว.
ครั้นทราบดังนั้นแล้วดังนี้
จึงพากันเข้าไปหาท่านพระยส
ท่านพระยสพาสหายคฤหัสถ์จำนวน ๕๐ คนนั้น
เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ได้กราบทูลว่า "พระพุทธเจ้าข้า สหายคฤหัสถ์ของข้าพระองค์เหล่านี้
เป็นชาวชนบท เป็นบุตรของสกุลเก่าสืบๆ กันมา
ขอพระผู้มีพระภาคโปรดประทานโอวาทสั่งสอนสหายของข้าพระองค์เหล่านี้"
พระผู้มีพระภาคทรงแสดงอนุปุพพิกถาแก่พวกเขา
แล้วทรงประกาศพระธรรมเทศนา ที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงยก
ขึ้นแสดงด้วยพระองค์เอง คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค.
ดวงตาเห็นธรรมได้บังเกิดกับพวกเขา
แล้วได้ทูลขออุปสมบทต่อพระผู้มีพระภาค
**********
~ พระอรหันต์เกิดขึ้นในโลก ๖๑ องค์ ~
ต่อมา
พระผู้มีพระภาคทรงประทานโอวาทสั่งสอนภิกษุเหล่านั้น
ด้วยธรรมีกถา.
เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงประทานโอวาท
สั่งสอนภิกษุเหล่านั้นด้วยธรรมีกถา
จิตของภิกษุเหล่านั้นพ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย
เพราะไม่ถือมั่น.
สมัยนั้น มีพระอรหันต์เกิดขึ้นในโลก ๖๑ องค์.
**********
ตรัสสั่งให้พระสาวกเที่ยวประกาศพระศาสนา
ก็เมื่อพระอรหันต์ ๖๑ องค์
เกิดขึ้นในโลกด้วยประการอย่างนี้แล้ว
พระศาสดาทรงออกพรรษา
ปวารณาแล้ว
พระองค์จึงตรัสเรียก
พระภิกษุขีณาสพ ๖๐ นั้นว่า
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราผู้ศาสดาได้พ้นแล้วจากบ่วงทั้งปวง
ที่เป็นของทิพย์และของมนุษย์"
"แม้ถึงท่านทั้งหลายผู้สาวกเล่า ก็พ้นแล้วจากบ่วง
ที่เป็นของทิพย์และเป็นของมนุษย์ทั้งปวง"
"ท่านทั้งหลายจงเที่ยวจาริกไปในชนบทเถิด
เพื่อประโยชน์และความสุขแก่ชนเป็นอันมาก"
"เพื่อจะไหวตามอนุเคราะห์ซึ่งสัตว์โลก
เพื่อสิ่งที่สัตว์ประสงค์ เพื่อประโยชน์เกื้อกูล
เพื่อความสุขแก่เทพดามนุษย์ทั้งหลาย"
"อย่าได้ไปรวมกัน ๒ องค์โดยมรรคา (ทาง) เดียว"
"ท่านทั้งหลายจงแสดงธรรม ไพเราะในเบื้องต้น
ท่ามกลาง และที่สุด"
"ท่านทั้งหลายจงประกาศซึ่งพรหมจรรย์อันบริสุทธ์บริบูรณ์ทั้งสิ้น
พร้อมทั้งอรรถและพยัญชนะ"
"สัตว์ทั้งหลายที่มีกิเลสธุลีในปัญญาจักษุน้อยเป็นปกติ
มีอยู่มากณ โลกนี้"
"เพราะโทษที่ไม่ได้ฟังธรรม
ย่อมเสื่อมจากคุณพิเศษที่จะพึงได้ตรัสรู้"
"สัตว์ทั้งหลายที่เป็นรู้ทั่วถึงซึ่งธรรม จักมีอยู่มาก"
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
แม้ถึงเราผู้ตถาคตจักไปอุรุเวลาเสนานิคม
เพื่อแสดงธรรม"
**********
ในระหว่างทางไปอุรุเวลาเสนานิคม
ได้ทรงแนะนำภัตทวัคคีย์กุมาร ๓๐ คน ในชัฏป่าฝ้าย.
บรรดาภัตทวัคคีย์กุมารเหล่านั้น
คนท้ายสุดได้เป็น พระโสดาบัน
คนเหนือสุดได้เป็น พระอนาคามี
พระองค์ทรงให้ภัตทวัคคีย์กุมารทั้งหมด
นั้นบรรพชา ด้วยความเป็นเอหิภิกขุเหมือนกัน
แล้วทรงส่งไปในทิศทั้งหลาย
**********
บันทึก
1
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
พุทธประวัติ
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย