Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
คีตาแห่งสยาม
•
ติดตาม
31 ธ.ค. 2022 เวลา 03:54 • หนังสือ
✴️ บทที่ 4️⃣ ศาสตร์สูงสุดแห่งการรู้พระเจ้า ✴️ (ตอนที่ 9)
🍀 การอวตารแห่งเทพ 🍀
⚜️ โศลกที่ 7️⃣➖8️⃣ ⚜️ (ตอนที่ 2) หน้า 474 – 477
◾แม้สำแดงพระองค์ในองค์อวตารอย่างสมบูรณ์ แต่พระเจ้าไม่ได้จำกัดอยู่เพียงรูปเดียว◾
#นักคิดหลายคนเสนอว่า พระเจ้าเป็นอนันตภาวะไร้ตัวตน พระองค์จึงเป็นบุคคลหรือแสดงตัวตนอันมีความจำกัดไม่ได้ แนวคิดนี้จำกัดฤทธิ์อำนาจแห่งพระเจ้า เช่นเดียวกับ ก๊าซไฮโดรเจน–ออกซิเจนที่เรามองไม่เห็น แต่สามารถกลั่นตัวเป็นไอน้ำ หรือน้ำ หรือแข็งตัวเป็นน้ำแข็ง บรมวิญญาณอันไร้ตัวตนแห่งพระเจ้าและจิตจักรวาลที่มองไม่เห็น ก็สามารถทำตนให้เป็นรูปธรรมในลักษณะของแสงอันเรืองโรจน์ ในเสียงแห่งญาณปัญญาเป็นภาษาใด ๆ ก็ได้ในรูปแบบที่ต้องการ และแม้แต่ในร่างกายมนุษย์ที่มีข้อจำกัด
พระเจ้าผู้ทรงสร้างมนุษย์ และแฝงอยู่ในตัวพวกเขาทุกคน สามารถสำแดงพระองค์ในลักษณะของนักบุญ หรือเป็นกายมนุษย์อื่น ๆ ที่ผู้ภักดีที่ก้าวหน้า หรือคนอื่นบางคน สามารถเห็น จับต้อง หรือได้ยินเสียงได้ เขาสามารถพูดด้วยความจริงว่าพระเจ้าผู้ทรงความสมบูรณ์สําแดงพระองค์อยู่ในกายใหม่
แต่คงไม่ใช่สิ่งถูกต้องในเชิงอภิปรัชญาที่จะพูดว่าพระเจ้าจำกัดอยู่แต่ในกายนั้น พระเจ้าผู้ทรงอนันตภาวะสามารถสําแดงพระองค์ได้ในรูปสามมิติ พระองค์ปรากฏองค์ให้วิญญาณที่หลุดพ้นได้เห็น ไม่ว่าวิญญาณเหล่านั้นต้องการเห็นพระองค์ในลักษณะใด แต่พระองค์ไม่ได้จำกัดอยู่ในรูปนั้น และพระองค์ไม่ทรงถือว่ารูปนั้นเป็นฉายาเพียงอย่างเดียวแห่งพระองค์ อนันตภาวะย่อมแสดงออกในอนันตภาพ นี่แหละที่เป็นเหตุผลว่าทำไมพระเจ้าจึงไม่มีรูปที่ถาวรแน่นอน
พระเจ้าโปรดที่จะใช้กฎการสร้างตนในความจำกัด หรือกฎสัมพัทธภาพ เมื่อพระองค์ปรากฏในลักษณะของมนุษย์ พระองค์เลือกที่จะมาจุติในกายของคุรุผู้หลุดพ้น โดยวิธีนี้พระองค์จึงปรากฏในร่างเนื้อหนังที่แตกต่างกันไป ให้เหมาะกับพระประสงค์และความต้องการของผู้ภักดีมาตลอดทุกยุคทุกสมัย อย่างเช่น พระเยซู พระราม ภควันกฤษณะ หรือ บาบาจี หรือท่านอื่น ๆ พระองค์อวตารในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อช่วยให้คุณธรรมเจริญรุ่งเรือง และทำลายความชั่วในโลก
พระเจ้าผู้ทรงอนันตภาวะ สามารถสำแดงพระองค์ในรูปใด ๆ ก็ได้ และทรงกระทำเช่นนั้น ตามกาลอันเหมาะสม แต่พระองค์จะไม่ยอมให้รูปสำแดง เช่น พระเยซู หรือ ภควันกฤษณะมีชีวิตอยู่ในสายตาของคนโง่นาน ๆ ด้วยเหตุนี้ บาบาจีผู้ไม่ตาย ซึ่งปัจจุบันอยู่ในรูปของมนุษย์จึงได้เร้นกายอยู่ในเทือกเขาหิมาลัย ใกล้ ๆ เมือง พัทรีนารายัณ อย่างไรก็ตาม ผู้หลุดพ้นสามารถสำแดงตนต่อหน้านักบุญผู้ก้าวหน้า หรือแม้แต่ต่อหน้ากลุ่มคนธรรมดา ๆ (ถ้ามีเป้าหมายพิเศษ) อย่างเช่นที่พระเยซูและบาบาจีได้กระทำ
ทำไมพระเจ้าจึงโปรดที่จะสำแดงพระองค์โดยผ่านบุคคลผู้หลุดพ้นแล้วบางส่วนหรือหลุดพ้นแล้วอย่างสมบูรณ์ ซึ่งพระองค์ได้ส่งไปเกิดในโลก (โดยวิธี “บริสุทธิ์ไร้มลทิน” หรือ การสร้างสรรค์ตามประเวณีทั่วไป) เพื่อเร่งให้มนุษย์ผู้มีคุณธรรมได้วิวัฒน์เร็วขึ้นและทำลายความชั่วร้ายของคนชั่วด้วยเล่า ก็เพราะว่าวิญญาณที่ก้าวหน้าเหล่านั้น ครั้งหนึ่งก็เป็นมนุษย์ธรรมดา ๆ ที่เป็นทาสของความเย้ายวนและธรรมชาติมายาของจักรวาล
ตัวแทนเทพเหล่านั้น มีความเมตตาปรานี มีอารมณ์ขันและมีความเข้าใจที่จะบอกกับเพื่อนมนุษย์ได้ว่า “จงรู้ไว้เถิดว่า ครั้งหนึ่งเราก็หลงอยู่กับเนื้อหนังอย่างที่ท่านเป็นกันตอนนี้❗ แต่อาศัยการควบคุมตน การรู้จักใช้ปัญญาแยกแยะ การทำสมาธิภาวนา และมีความเพียรทางจิตวิญญาณ เราจึงได้เก็บเกี่ยวความอุดมแห่งบรมวิญญาณอันดำรงอยู่ทุกที่ทุกกาล ถ้าเราทำได้ ท่านก็สามารถเอาชนะความอ่อนแอ ความใคร่ของเนื้อหนัง ด้วยการขยายจิตและทำให้บรมวิญญาณซึ่งมีอยู่แล้วในตัวท่าน มีความเข้มแข็งอย่างต่อเนื่องเรื่อยไป❗”
พระเจ้าสามารถสร้างพระเยซูคริสต์ และบาบาจีได้อีกนับหมื่น ๆ ท่านโดยวิธีโอปปาติกะ หรือ เกิดจากตัวอ่อนในครรภ์มารดา และท่านเหล่านี้สามารถดำเนินชีวิตศักดิ์สิทธิ์ของท่านในฐานะหุ่นเชิดแห่งพระผู้เป็นเจ้า แต่ถ้าท่านเหล่านั้นขาดประสบการณ์ ไม่เคยถูกผัสสอินทรีย์ข่มขี่มาก่อน ท่านจะเป็นเลิศในการสอนศิลปะการพิชิตความเย้ายวนของเนื้อหนังด้วยวิธีควบคุมตนได้ละหรือ
ผู้ภักดีชื่นชมพระคริสต์ เพราะท่านเสด็จมาในฐานะมนุษย์อยู่ท่ามกลางพวกเขา ท่านถูกทดลอง ต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ในมือของผู้ประหารท่าน แต่ท่านเอาชนะความทุกข์ยากทั้งหลายของมนุษย์ได้ด้วยเจตจำนง ด้วยความเพียร และความรักพระเจ้า❗ หุ่นเชิดศักดิ์สิทธิ์ผู้ดำเนินละครแห่งพระเจ้าในความเย้ายวนและชัยชนะนั้น เป็นแค่ตัวปลอมที่มาแสดงบทบาทบนเวทีแห่งชีวิต แต่มนุษย์ผู้กลายเป็นอาจารย์ในศิลปะแห่งจิตวิญญาณนั้น สามารถแสดงแก่เพื่อนร่วมโลกว่าจะทำลายความชั่วร้ายและกลายเป็นทิพย์ได้อย่างไร
.
◾ความเชื่อที่ว่าคุรุผู้หลุดพ้นคนหนึ่งยิ่งใหญ่กว่าคนอื่น ๆ เป็นความโง่อย่างหัวชนฝา◾
วิญญาณของคนโง่กับวิญญาณของคุรุนั้นแท้จริงแล้วมีแก่นสารเดียวกัน สมบูรณ์เหมือนกัน เหมือนดวงจันทร์ที่บิดผิดรูปไปเมื่อสะท้อนอยู่ในหม้อน้ำขุ่นที่กระเพื่อม แต่ไม่ผิดรูปเมื่อสะท้อนอยู่ในน้ำใสสะอาด แต่อย่างไรก็เป็นภาพสะท้อนของดวงจันทร์ดวงเดียวกันนั่นเอง
เมื่อลมพัดน้ำในหม้อน้ำให้ขุ่นและกระเพื่อม ดวงจันทร์ที่สะท้อนในน้ำนั้นบิดผิดรูปไป ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้วดวงจันทร์ไม่ได้เป็นเช่นนั้น จิตที่ขุ่นและกระเพื่อมด้วยความไม่สงบอันเกิดจากคุณแห่งธรรมชาติ ก็ทำให้วิญญาณบิดเบือนไปทํานอง เดียวกัน เมื่อทำโยคะสมาธิ จิตที่ขุ่นด้วยความโง่จะสงบลง ความวุ่นวายหายไป วิญญาณที่แจ่มใสย่อมปรากฏ
เช่นเดียวกับที่ภาพสะท้อนของดวงจันทร์ในน้ำที่หมุนวน บิดผิดรูปไปจนจำไม่ได้ ภาพสะท้อนของวิญญาณที่หยาบช้าของผู้ที่ติดวัตถุก็เป็นเช่นนั้น ภาพสะท้อนของดวงจันทร์ที่ยังรู้ว่าเป็นดวงจันทร์ในน้ำใสที่กระเพื่อมน้อย ๆ หรือภาพสะท้อนที่สมบูรณ์ในน้ำใสสงบ ก็เช่นเดียวกับวิญญาณรู้แจ้งที่มีพระเจ้าสําแดงอยู่เป็นบางส่วนหรือสําแดงอย่างสมบูรณ์นั่นเอง
วิญญาณที่หลุดพ้นย่อมแสดงแก่นแท้อันบริสุทธิ์ของวิญญาณได้เช่นเดียวกับที่น้ำใสในหม้อน้ำสะท้อนแสงจันทร์อันงามสมบูรณ์ เมื่อหม้อน้ำแตกและน้ำไหลออกไป ภาพสะท้อนของดวงจันทร์ในหม้อน้ำหลาย ๆ ใบ ที่คล้ายถูกจํากัดอยู่ในหม้อเหล่านั้นก็จะกลายเป็นหนึ่งเดียวกับดวงจันทร์ที่ฉายแสงอยู่ทั่วฟากฟ้า
ทำนองเดียวกันคุรุที่หลุดพ้นแล้วอย่างสมบูรณ์ ผู้สามารถใช้จิตแยกภาพสะท้อนวิญญาณจากกาย แต่ก็ยังอยู่ในรูปกายนี้ นี่แหละคือภาพลักษณ์วิญญาณแห่งพระเจ้าอันสมบูรณ์เสมอพระเจ้ามายาที่ทำให้รูปที่ปรากฏนั้นแตกต่าง แต่เมื่อกายสลายจากความจำกัดเหล่านั้นไป ก็คือบรมวิญญาณอันเป็นหนึ่งเดียวนั่นเอง
ศิษย์ที่ติดอาจารย์อย่างหัวชนฝา จิตใจคับแคบ พยายามทําให้เห็นว่าอาจารย์ของตนนั้นยิ่งใหญ่กว่าอาจารย์ท่านอื่น ๆ มีใครบ้างล่ะที่มีสิทธิ์จะพูดว่า “อาจารย์ของฉันคืออวตารแห่งพระเจ้า ผู้หลุดพ้นแล้วอย่างสมบูรณ์” คนที่จะพูดเช่นนี้ได้ต้องมีสหัชญาณอย่างแท้จริง และมีญาณปัญญาที่จะเข้าถึงพระเจ้าอย่างบริบูรณ์
คนที่พูดว่า “อาจารย์ของเราเป็นองค์อวตารที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งพระเจ้า หรือเป็นคุรุหนึ่งเดียวผู้หลุดพ้นแล้ว” นั้นเป็นคนโง่อย่างไม่ต้องสงสัย มีแต่ศิษย์ที่หลุดพ้นแล้วอย่างสมบูรณ์เท่านั้นที่จะวัดได้ว่าคุรุท่านใดหลุดพ้นอย่างแท้จริง ศิษย์ที่หลุดพ้นคือผู้ที่ภักดีแน่วแน่ต่อคุรุผู้ชี้ทางหลุดพ้นให้แก่ตน แต่เขาก็เคารพนับถือองค์อวตารและอาจารย์ท่านอื่น ๆ ด้วย
คุรุและศิษย์ผู้เข้าถึงการหยั่งรู้ตนหลังจากผ่านเส้นทางความเชื่อมาแล้วอย่างมากหลายล้วนรักนักบุญทุกท่าน เห็นว่าท่านเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า แต่ศิษย์โง่ที่พยายามจะเชิดชูอวตารบางท่านว่าเหนือกว่าอวตารท่านอื่น ๆ นั้นกลับจะยิ่งทำให้อาจารย์ของตนเสียหาย เพราะความ ดันทุรัง ความไม่อดทน ความเกลียด การชอบจับผิดและชอบทำสงครามศาสนา
ในพระองค์ผู้ทรงความเป็นสากลนั้น ไม่มีนายงาน ไม่มีประธาน ไม่มีคนรับใช้ ไม่มีผู้ยิ่งใหญ่ หรือผู้ที่ยิ่งใหญ่กว่า หรือผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ทุกคนล้วนเท่าเทียมกันและเป็นหนึ่งเดียวกับบรมวิญญาณ — เป็นที่รวมแห่งความเบิกบานในความรักแห่งพระเจ้า
(มีต่อ)
หนังสือ
จิตวิญญาณ
บันทึก
1
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
เล่ม 1 บทที่ 4
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย