25 ธ.ค. 2022 เวลา 01:27 • หนังสือ
✴️ บทที่ 4️⃣ ศาสตร์สูงสุดแห่งการรู้พระเจ้า ✴️ (ตอนที่ 8)
🍀 การอวตารแห่งเทพ 🍀
⚜️ โศลกที่ 7️⃣➖8️⃣ ⚜️ (ตอนที่ 1)
หน้า 469–474
โศลกที่ 7️⃣➖8️⃣
〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️
โอ ภารตะ (อรชุน)❗ เมื่อใดธรรมเสื่อมลง และอธรรมมีอำนาจ เราจะอวตารในรูปที่เห็นได้ มาในยุคต่าง ๆ เพื่อปกป้องความดี และทำลายความชั่ว ดำรงความถูกต้องไว้
〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️
โลกนี้เป็นเวทีแสดงละครแห่งพระเจ้า เมื่อนักแสดงส่วนใหญ่ใช้เสรีภาพที่พระเจ้าประทานให้ไปอย่างผิด ๆ สร้างกรรมชั่ว ทําลายแผนการที่พระเจ้าทรงวางไว้ให้ทั้งแก่พวกเขาเองและเพื่อนร่วมโลกอื่น ๆ (ทรงตั้งพระทัยให้แผนการดำเนินไปเมื่อมนุษย์ใช้การเลือกเสรีของตนอย่างถูกต้อง)
พระเจ้าหรือผู้กำกับจักรวาลจึงทรงปรากฏบนเวทีในรูปของมนุษย์ (อวตาร) เพื่อสั่งสอนนักแสดงให้รู้จักศิลปะการมีชีวิตที่ถูกต้อง พระเจ้าทรงสอนมนุษย์ ซึ่งถูกสร้างตามฉายาของพระองค์ ให้วิวัฒน์ไปด้วยการใช้เจตจํานงเสรี สำแดงทิพยธรรมชาติที่มีอยู่แล้วในธรรมชาติของมนุษย์
.
——————💠——————
ธรรมชาติขององค์อวตาร
——————💠——————
คำถามจึงอยู่ที่ว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่พระเจ้าจะอวตารมาในรูปของมนุษย์ การพูดว่าพระเจ้าทำบางสิ่งบางอย่างไม่ได้เป็นการปรามาสพระองค์ ใช่สิ พระเจ้าทำได้หลายสิ่งหลายอย่าง แต่บางอย่าง พระองค์ไม่ทรงกระทำอย่างที่มนุษย์คาดหวัง เท่าที่รู้ ๆ กันมา พระเจ้าในรูปของมนุษย์นั้นไม่เคยถูกเรียกว่า “พระเจ้า” ในท่ามกลางมนุษย์ (พระเยซูตรัสว่า★ “ท่านถามเราถึงสิ่งที่ดีทำไม❓ ผู้ที่ดีมีแต่ผู้เดียว นั่นคือ พระเจ้า” ทั้งนี้เพื่อจะได้แยกพระองค์ในฐานะองค์อวตารจากพระบิดาเจ้า ผู้ทรงความสัมบูรณ์และไร้รูป) [★มัทธิว 19:17]
พระเจ้าเสด็จลงมาหลายครั้ง สําแดงองค์อวตารในบุคคลผู้หลุดพ้นแล้วอย่างแท้จริง สะท้อนความเป็น “บุตรของพระเจ้า” อย่างแท้จริงในความเป็นมนุษย์ธรรมดา ๆ ดังนั้น พระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ที่สามารถทำอะไรได้ทุกอย่าง จึงสำแดงอำนาจของพระองค์ในร่างขององค์อวตาร เช่นเดียวกับที่มหาสมุทรแห่งจิตจักรวาลรู้ว่าคลื่นแห่งวิญญาณสําแดงตนอยู่บนผิวมหาสมุทร คลื่นวิญญาณอวตารก็รู้ได้ถึงคลื่นของจิตจักรวาลที่สําแดงในรูปของตน
ศาสดาพยากรณ์ผู้ยิ่งใหญ่กับนักบุญน้อยนั้น แตกต่างกันก็แต่ระดับการหยั่งรู้ — จิตของท่านในกลุ่มแรกคือหน้าต่างกว้างที่สําแดงความเป็นพระเจ้า ส่วนกลุ่มหลังนั้นสําแดงความเป็นพระเจ้าผ่านช่องน้อย ๆ ของการหยั่งรู้พระเจ้า อาจพูดได้ว่าการสําแดงความเป็นพระเจ้าในองค์อวตารนั้นยิ่งใหญ่กว่าการสําแดงเพียงบางส่วนในนักบุญ ซึ่งยังไม่หลุดพ้นอย่างสมบูรณ์
1
มนุษย์ทุกคนมีศักยภาพของการเป็นพระเจ้า ผู้มีปัญญากับคนโง่ล้วนเป็นฉายาของพระเจ้าโดยแท้ พระองค์ผู้ทรงสถิตอยู่ทุกที่ทุกกาลทรงรับทุกวิญญาณไว้ดุจเดียวกับมหาสมุทรอันไพศาลที่รองรับทุกคลื่น อย่างไรก็ตาม ถ้าคลื่นไม่สลายตนกลายเป็นหนึ่งเดียวกับมหาสมุทร มันก็จะจำกัดตัวเองอยู่อย่างนั้น ถ้าผู้ภักดียังไม่หลุดพ้นแล้วอย่างแท้จริง เขาก็ไม่อาจพูดได้อย่างจริงจังว่า “ฉันกับพระบิดาเป็นหนึ่งเดียวกัน”
พระเจ้าไม่มีอวตาร “พิเศษ” หรือ การเกิดใหม่ “ที่เป็นเอกลักษณ์” (นอกจากในแง่ของ รูป เวลา และ สถานที่) วิญญาณที่หลุดพ้นสามารถจุติมาใน โลกหรืออาณาอื่น ๆ ในฐานะพระผู้ช่วยให้รอดหรืออวตารแบบเต็มรูปแบบ
.
◾จิตแห่งพระเจ้าแดงเพียงบางส่วนหรือเต็มรูปในนักบุญและองค์อวตาร◾
จากการศึกษาลำดับกาลเวลาของโลก มีหลักฐานชัดเจน ว่าทุกชาติได้ผ่านขั้นตอนวิวัฒนาการมาเช่นเดียวกับบุคคล และโลกนั้นได้วิวัฒน์ผ่านวัฏจักรทั้ง 4 ขั้นตอน คือ วัตถุ ปรมาณู จิต และ จิตวิญญาณ ตามคุณลักษณะเด่น ๆ ได้แก่ กาย ไฟฟ้า จิต และจิตวิญญาณ ในลักษณะของผู้คนส่วนใหญ่
อย่างไรก็ตาม ในแต่ละยุคก็ต้องมีความชั่วร้ายอยู่ด้วยมากน้อยแตกต่างกันไป แม้ในยุคที่มีคุณธรรมนำหน้า ดังนั้น เมื่อใดก็ตามที่ความโง่ ความเห็นแก่ตัว สงคราม และความทุกข์ยากครอบงำ พระองค์ผู้ทรงความสูงสุดจะสําแดงพระองค์ผ่านครูบาอาจารย์ ผู้เวียนเกิดเวียนตายมาหลายชาติ และหลุดพ้นแล้วบางส่วนหรือหลุดพ้นแล้วอย่างสมบูรณ์
ท่านเหล่านั้นอาจปรากฏบนโลกในลักษณะของนักบุญน้อย หรือคุรุผู้ยิ่งใหญ่ตามระดับการหยั่งรู้ของท่าน #เพื่อรับใช้ ในฐานะตัวอย่างของผู้มีคุณธรรม และเป็นแรงดลใจให้แก่ผู้ศรัทธาในการทำลายความชั่วร้ายทั้งภายในและภายนอกตน
ด้วยวิธีนี้บรมวิญญาณจึงปรากฏในลักษณะของวิญญาณที่หลุดพ้นแล้วอย่างสมบูรณ์หรือหลุดพ้นบางส่วน ซึ่งฉายความเรืองโรจน์มากน้อยต่างกันตามระดับความกระจ่างแจ้งแห่งจิตที่บริสุทธิ์ด้วยโยคะ ทิพยบุคคลผู้ยังไม่หลุดพ้นแล้วอย่างเต็มที่ หรือผู้ที่มาสู่โลกเพื่อช่วยวิญญาณให้หลุดพ้น แต่ไม่มีพันธกิจที่แน่ชัดในโลก เรียกว่า “#ขันธอวตาร”
แต่เมื่อยุคใดที่ความชั่วครองโลก พระเจ้าจะอวตารมาในฐานะพระผู้ช่วยให้รอด (ในรูปของผู้ที่หลุดพ้นแล้วอย่างแท้จริง) เพื่อฟื้นฟูคุณธรรมที่เสื่อมทราม ปกป้องคุ้มครองจิตวิญญาณ ช่วยตัดกระแสชั่ว และทำลายนิสัยชั่วร้ายของคนชั่ว การสำแดงเช่นนี้เรียกว่า “#ปูรณอวตาร”
เช่นเดียวกับคลื่นรับรู้มหาสมุทรที่รองรับมันอยู่ ผู้หลุดพ้นย่อมรับรู้ทะเลบรมวิญญาณที่อยู่เบื้องหลังการรู้ของตน เช่นเดียวกับที่มหาสมุทรปรากฏเพียงบางส่วน เมื่อมนุษย์เห็นความกว้างใหญ่ไพศาลจากชายฝั่ง และเห็นกว้างขึ้นเมื่อมองจากเครื่องบิน นักบุญผู้มีสหัชญาณแตกต่างกัน ย่อมหยั่งรู้บรมวิญญาณมากน้อยแตกต่างกันไป แต่วิญญาณที่หลุดพ้นแล้วอย่างสมบูรณ์ เช่น ภควันกฤษณะ พระเยซูคริสต์ บาบาจี ลาหิริ มหัสยะ ศรียุกเตศวร และอีกหลาย ๆ ท่าน ล้วนเป็นการสำแดงอย่างเต็มรูปของพระเจ้า
ดังที่พระคัมภีร์ไบเบิลกล่าวไว้ว่า “แต่ทุกคนที่ยอมรับพระองค์ (นั่นคือพระเจ้าทรงสำแดงอย่างบริบูรณ์ผ่านสหัชญาณอันบริสุทธิ์ของเขา) คือคนที่เชื่อในพระนามของพระองค์นั้น (ผู้หลุดพ้นทุกคนในทุกยุคทุกสมัยทั้งก่อนและหลังพระเยซูประสูติ) พระองค์ก็จะประทานสิทธิให้เป็นลูกของพระเจ้า (อำนาจที่จะปรากฏในฐานะการสำแดงแห่งพระเจ้าอย่างเต็มบริบูรณ์)”★ คือ “บุตรของพระเจ้า” อย่างแท้จริง นี่คือพระฉายาแท้แห่งบรมวิญญาณผู้ทรงสถิตอยู่ทุกที่ทุกกาล [★ยอห์น 1:12]
.
◾คุณธรรมแห่งพระเจ้าที่สำแดงในองค์อวตารทำลายความชั่ว◾
ในเมื่อมักมีการแปลโศลกที่ 8 ในบทที่ 4 โดยอ้างถึงการ “ทำลายผู้ทําชั่ว” เรื่องราวตามตํานานหลาย ๆ เรื่องในคัมภีร์ปูราณะก็ได้พูดถึงการที่ผู้วิเศษกวาดล้างความชั่ว นักเทวศาสตร์บางคนจึงอ้างว่า พระเจ้าของฮินดูอวตารมาเพื่อปกป้อง ความดีด้วยการทําลายคนชั่ว ซึ่งขัดกับพระเยซูคริสต์ที่เสด็จมาสู่โลก ไม่แค่มาปลดปล่อยคนดีเท่านั้น แต่ยังรวมถึงผู้ประพฤติชั่วด้วย❗ ทว่าความจริงนั้นมีอยู่ว่า ความดีเป็นเหตุให้ความชั่วสลายไปเสมอ
เราอ่านพระคัมภีร์ไบเบิลพบว่า แม้แต่ เอลีชา เอลียาห์และปีเตอร์ ต่างล้วนเป็นเครื่องมือทำลายคนชั่วที่ขัดขวางพลังอำนาจแห่งความดี สวามีศรีศังกราจารย์ และมุนีหลายท่านในอินเดียมีประสบการณ์ทำนองเดียวกันนี้ เมื่อเราแตะสายไฟ ที่หุ้มกระแสไฟฟ้าล้านโวลท์จะไม่เกิดอันตราย แต่ถ้าแตะสายเปลือยก็ต้องตายแน่ ๆ เมื่อเตือนแล้วแต่บุคคลยังไปแตะสายเปลือยนั้น เขาก็ต้องถูกไฟฟ้าดูด
ทำนองเดียวกัน อำนาจอันมหาศาลแห่งพระเจ้านั้นมีอยู่ทุกที่ แต่มายาความโง่หลงทำให้มนุษย์ไม่รู้ว่ามีอำนาจนี้ คนโง่ที่หยาบหยามพระเจ้าจะไม่ถูกลงโทษในทันที แต่คนชั่วที่เกิดร่วมยุคและรู้จักกับองค์อวตาร หรือคุรุผู้ยิ่งใหญ่ จะได้รับผลกรรมของตนทันที ที่เมื่อเตือนแล้วก็ยังหยาบหยามบรมวิญญาณ
อย่างเช่นปีเตอร์รับรู้พระเจ้าได้ทันทีอย่างไม่มีโมหะ พระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์สำแดงในตัวท่านอย่างเต็มที่ และเมื่อคู่สามีภรรยา★ —ทั้ง ๆ ที่ปีเตอร์เตือนแล้ว— ก็ยังพูดโกหกต่อหน้าพระวิญญาณซึ่งอยู่ในร่างที่มีชีวิต เขาจึงต้องถูกทําลาย เนื่องจากความตั้งใจชั่วของเขาปะทะกับความกลมกลืนแห่งพระเจ้า [★กิจการของอัครทูต 5:1-10]
พระเจ้ากับนักบุญของพระองค์นั้นแทบไม่ตั้งใจทำร้ายผู้ใดเลย แต่ที่ต้องทำอย่างนั้นก็เพื่อลดผลกรรมชั่วของคนคนนั้น หรือให้บทเรียนโดยตรงเพื่อเขาจะได้พ้นบาปได้เร็วขึ้น
ทั้งพระเจ้าและอวตารแห่งพระองค์ไม่ได้ใช้ฤทธิ์อำนาจต่อผู้กระทำชั่วเพราะความโกรธหรือต้องการแก้แค้น ผู้คนทำร้ายตัวเองด้วยการกระทำชั่วอย่างผิดธรรมชาติ ข้อนิ้วของคนจะหักได้เมื่อเขากระทำสิ่งโง่ ๆ ที่ผิดธรรมชาติ เช่น กําหมัดชกกำแพงหิน ทั้ง ๆ ที่กำแพงหินไม่ได้มีเจตนาชั่วร้าย คุณธรรมความดีก็บริสุทธิ์เช่นเดียวกับกำแพงหิน แต่คนชั่วเอาตัวเข้าไปชนความดีนั้นเอง
หลักการทำนองเดียวกันนี้ ใช้ได้กับการทำงานของบุคคลแห่งพระเจ้า ซึ่งท่านจะรู้ถึงการกระทำนั้นหรือไม่ก็ตาม แต่ท่านได้ให้พรแก่ผู้ที่พร้อมจะรับ ผู้ภักดีที่เข้าหาพระเจ้าด้วยใจและจิตที่บริสุทธิ์กลมกลืนจะได้รับพรทันทีที่ได้เห็นหรือได้สัมผัสกับบุคคลผู้ศักดิ์สิทธิ์ (ทรรศนะ) ตัวอย่างเช่น เมื่อฝูงชนเบียดเสียดเข้ามา พระเยซูตรัสว่า “มีคนหนึ่งแตะต้องตัวเรา เพราะเรารู้สึกได้ว่าฤทธิ์ซ่านออกจากตัวเรา” ผู้หญิงคนนั้นหายจากโรคทันที เพราะนางมีศรัทธา จึงเข้ามาทางด้านหลังของพระเยซู และแตะชายฉลองพระองค์★ [★ลูกา 8:43-48]
องค์อวตารอย่างภควันกฤษณะและพระเยซู มีอำนาจแห่งพระองค์ผู้ทรงฤทธิ์อยู่ในตน ท่านทั้งสองจึงสามารถเปิดวิญญาณจักษุ และทำลายความชั่วร้ายได้เหมือนกับที่พระเจ้าสามารถทำลายจักรวาลได้ในพริบตา มนุษย์อ่อนแอแทบ ไม่ตระหนักถึงอำนาจที่เขาเข้าไปตอแย เมื่อเขาเลือกที่จะเป็นปฏิปักษ์กับพระเจ้า❗
แต่เขาไม่ต้องกลัวว่าพระเจ้าจะทรงกดขี่เกรี้ยวกราด ทั้งพระเจ้า นักบุญและอวตารของพระองค์จะไม่ลดตัวลงมาใช้วิธีการแบบมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นการเฆี่ยนตีลงโทษ หรือเรียกร้องค่าชดเชยตอบแทน พระเจ้าจะปลอบโยนชักนำลูก ๆ ของพระองค์กลับสู่พระองค์ ด้วยอำนาจความรัก ซึ่งมีอยู่แล้วในทุกอณูแห่งสิ่งสร้างและในทุกวิญญาณ ทำนองเดียวกัน นักบุญและอวตารของพระเจ้าเกือบทุกท่านล้วนใช้วิธีละมุนละม่อม น้อมนำจิตวิญญาณมาดลดาลใจคนชั่วร้ายให้ปรับปรุงตน
มนุษย์ถูกสร้างตามฉายาแห่งพระเจ้า ให้มีเจตจำนงอิสระเช่นเดียวกับองค์พระผู้สร้าง เขาให้รางวัลหรือลงโทษตัวเขาเอง จากผลการทำดีทำชั่วของตน เขาเองนั่นแหละเป็นผู้ดำเนินการจัดการกฎแห่งกรรมอันเคร่งครัด พระเจ้าจะเข้ามาเกี่ยวข้องก็ต่อเมื่อมีเหตุผลอันสมควร พระองค์ไม่แสดงความเคียดแค้นชิงชังหรือโปรดปราน แต่กระทำเพื่อให้มนุษย์ได้รับสิ่งดีที่สุดด้วยความรักและความยุติธรรม และอวตารแห่งพระองค์ก็กระทำด้วยความเมตตาปรานีดุจเดียวกัน
(มีต่อ)

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา