24 ธ.ค. 2022 เวลา 03:20 • หนังสือ
✴️ บทที่ 4️⃣ ศาสตร์สูงสุดแห่งการรู้พระเจ้า ✴️ (ตอนที่ 7)
🍀 การอวตารแห่งเทพ 🍀
⚜️ โศลกที่ 6️⃣ ⚜️
หน้า 468–469
โศลกที่ 6️⃣
〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️
แม้แก่นแท้ที่ไร้การเปลี่ยนแปลงของเราไม่เกิด❗ แต่เราก็เป็นเจ้าเหนือสิ่งสร้างทั้งหลาย อยู่กับธรรมชาติจักรวาล (ประกฤติ) ของเราเอง เราหุ้มห่อตัวเราไว้ด้วยมายาแห่งอาตมัน
〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️
“แม้เราไม่มีเหตุที่จะเกิดและไม่เกิด มีลักษณะอันไม่เปลี่ยนแปลง แต่เมื่อเข้าสู่ธรรมชาติ เรา พระเจ้าของทุกชีวิต เป็นจักรวาลของพวกเขา ก็ต้องสวมเสื้อจักรวาลแห่งมายาที่เราสร้างขึ้นมาเอง แต่อำนาจมายาของมันไม่อาจเปลี่ยนเราได้”
โศลกนี้พูดถึงธรรมชาติอันเหนือสิ่งอื่นใดและเป็นสากลแห่งองค์พระผู้สร้างผู้สถิตอยู่ทุกที่ทุกกาล – ทั้งในฐานะผู้ปกครองจักรวาลในลักษณะการสำแดงแห่งประกฤติ และในฐานะองค์อวตาร★ ในรูปของมนุษย์
★อวตาร ในภาษาสันสกฤต แปลว่า “ลง” จาก อว “ต่ำลง” กับ ตริ “ผ่าน” ในคัมภีร์ฮินดู อวตาร หมายถึง เทพเจ้าลงมาเกิดในรูปของเลือดเนื้อ
เสมียนในร้านค้าถูกบังคับให้ทํางาน (“ไม่ทํางานไม่ได้เงิน❗”) แต่เจ้าของร้านที่อาจเต็มใจทำหน้าที่เสมียน ไม่ได้ถูกบังคับให้ต้องทํางานนั้นหรือถูกกำหนดให้ต้องทำหน้าที่เสมียน ทำนองเดียวกัน มนุษย์ทั่วไปถูกมายาจักรวาลกับกฎเหตุและผล (กรรม) บังคับให้เกิด พระเจ้า พระผู้สร้างมายาและกำหนดกฎแห่งกรรม ไม่ต้องขึ้นอยู่กับกฎนี้ แต่เมื่อทรงอวตารมาในโลก พระองค์ก็ต้องดำเนินตามกฎนี้ แต่ภายในนั้นไม่ได้ทรงหวั่นไหวไปกับการบังคับของมายาและกรรม
คนทั่วไป เมื่อเข้ามาในกายที่ถูกสร้างตามธรรมชาติแล้ว ก็จะถูกคลื่นสุขผัสสะซัดไป อย่างไม่รู้ว่ามหาสมุทรอันกว้างใหญ่แห่งบรมวิญญาณรองรับตนอยู่ แต่โยคีผู้หลุดพ้นย่อมเห็นมหาสมุทรแห่งพระเจ้าที่ไร้การเปลี่ยนแปลงนิรันดร์ (นั่นคือ ไม่มีการเกิด) ดำรงอยู่อย่างไม่สะดุ้งสะเทือน แม้จะถูกพายุมายาที่พระองค์ทรงสร้างเหวี่ยงไปมาในท่ามกลางคลื่นธรรมชาติแห่งจักรวาลก็ตาม
จิตมนุษย์เมื่ออยู่ใต้อำนาจของมายาจักรวาล มันจะยึดอยู่กับทรัพย์สมบัติและอารมณ์ แต่โยคีผู้หยั่งรู้ตนนั้นตรงกันข้าม ท่านรู้ว่าท่านมีกาย และให้กายนั้นทำงานอย่างพ้นแล้วจากความอยากและจากผลของกรรม เช่นเดียวกับที่พระเจ้าไม่ยึดมั่น และทรงพ้นแล้วจากกรรม แม้ว่าญาณปัญญาแห่งพระองค์ยังคงสร้างสรรค์จักรวาลอันสั่นไหวไปอย่างเงียบ ๆ และจําหนดให้กฎมายาสัมพัทธ์เป็นผู้ควบคุมจักรวาลที่ทรงสร้างนั้น
ในภาวะปีติอย่างล้นพ้น (ตื่น) นั้น โยคีผู้หลุดพ้นจะรู้สึกว่า “อาณาแห่งจิตของเราไพศาลกว่าอาณานิรันดร์อย่างที่มตชนทั่วไปคิดกัน... เรา ทะเลจักรวาลเฝ้ามองอาตมันน้อย ๆ ลอยฟ้องอยู่ในตัวเรา ไม่มีสิ่งใดรอดพ้นจากสายตาเรา ไม่ว่า นกกระจอกสักตัวร่วงลง หรือเม็ดทรายปลิวไปสักเม็ด ห้วงหาวลอยฟ่องเหมือนภูเขาน้ำแข็งในทะเลใจของเรา เราคือภาชนะใหญ่ใส่ไว้ด้วยทุกสิ่งสร้าง” พร้อม ๆ กันนั้น ท่านเห็นบรมวิญญาณสงบนิรันดร์ดั่งมหาสมุทรไร้คลื่น แล้วบรมวิญญาณก็ได้สําแดงการรังสรรค์อันระรัวไหวเริงรำไปบนอกอนันตภาวะ
โศลกนี้ให้กำลังใจแก่มนุษย์อย่างใหญ่หลวง เมื่อเราไม่ใช้การเลือกเสรีที่พระเจ้าประทานให้ไปอย่างผิด ๆ และด้วยการปฏิบัติกริยาโยคะ บุคคลก็จะสว่างไสวในฐานะฉายาแห่งพระเจ้า –ฉายาที่ตลอดมาถูกมายาบดบังไว้— เมื่อระลึกได้ว่าตนคือฉายาแห่งบรมวิญญาณ โยคีผู้มีญาณปัญญาก็ได้เรียนรู้ว่า แม้พระเจ้าก็ยังสามารถทํางานอยู่ในโลกได้อย่างไม่สะดุ้งสะเทือนไปกับสภาพแวดล้อมทางกาย หรือกับกรรม หรือกับธรรมชาติของจักรวาลที่เปลี่ยนลักษณะ (คุณ) อยู่ตลอดเวลา
พระเจ้าทรงปั่นการแสดงบนเวทีแห่งกาลเวลาเพื่อให้เราได้ชม แต่เราถือเอาเงานั้นว่าเป็นเรื่องจริง❗ แท้จริงแล้วมีเรื่องจริงเพียงสิ่งเดียว นั่นคือ พระเจ้า❗
(มีต่อ)

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา