18 ธ.ค. 2022 เวลา 01:10 • หนังสือ
✴️ บทที่ 4️⃣ ศาสตร์สูงสุดแห่งการรู้พระเจ้า ✴️ (ตอนที่ 6)
🌸 ประวัติศาสตร์และแก่นแท้ของโยคะ 🌸
⚜️ โศลกที่ 5️⃣ ⚜️ หน้า 465 – 467
หน้า 465–467
✴️ การอวตารแห่งเทพ ✴️
โศลกที่ 5️⃣
〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️
ภควันกฤษณะตรัส :
โอ อรชุน เรากับเจ้าเกิดมาแล้วหลายภพชาติ เราคุ้นเคยกับภพชาติเหล่านั้นดี แต่ เจ้าผู้ล้างผลาญศัตรูเอย เจ้าจำมิได้ดอก
〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️
“โอ้ อรชุน เจ้าคือผู้ล้างผลาญโมหะอันคับแคบด้วยไฟแห่งการควบคุมตนของเจ้า เจ้ารู้ว่าจิตอันเป็นอิสระของเรานั้นเป็นหนึ่งเดียวกับบรมวิญญาณ จึงพ้นจากการแผ้วพานของความทุกข์ที่หลงละเมออยู่กับภพชาติในอดีต ที่เราตั้งใจอวตารมาอยู่บน โลกในรูปแบบต่าง ๆ ต่างกาลกันไป เมื่อเราจําบรมวิญญาณได้ เราจึงเห็นสายกระแสอันไม่ขาดตอนของจิตที่เกิดในหลายภพชาติบนโลก รวมถึงอวตารเมื่อนานมาแล้วที่เราได้ถ่ายทอดโยคะศาสตร์อันศักดิ์สิทธิ์แก่วิวัสวัต
อรชุนเอย บรมวิญญาณผู้รู้ถ้วนเดียวกันนี้ มีอยู่ในตัวเรากับวิญญาณของเจ้าเช่นเดียวกัน และต่างได้เกิดมาหลายภพชาติหลายรูปแบบ แม้ว่าความจําที่กำลังจะเป็นอิสระของเจ้าระลึกถึงภพชาติเหล่านั้นไม่ได้ แต่เรารู้ทุกภพชาติที่ได้มีชีวิตร่วมกับเจ้า ศิษย์ตามอุดมคติเอย บัดนี้เจ้าอยู่ต่อหน้าเราในรูปของอรชุน”
ศิษย์ที่กำลังเดินอยู่บนเส้นทางอันแหลมคมสู่การหยั่งรู้คนนี้ จะยังไม่มีความจำถึงการดำรงอยู่ทุกที่ทุกกาล แม้แต่อรชุน ความจำนี้จะมีก็แต่ในวิญญาณที่หลุดพ้นแล้วอย่างแท้จริง วิญญาณแห่งการทรงสำแดงของพระเจ้า เช่นที่กฤษณะระลึกชาติได้ ทั้งการเกิด การตาย และช่วงเวลาระหว่างนั้น
เมื่อใดก็ตามที่จิต ซึ่งเปรียบได้กับดาบวาบประกาย เข้าไปในฝักดาบ ซึ่งก็คือกฎทั้ง 24 ของธรรมชาติ จิตจะสำแดงตนแตกต่างกันไปตามเปลือกหุ้ม เราเรียก #เปลือกหุ้มจิต —พุทธิ มนัส อหังการ จิต อินทรีย์ (ญาเนินทรีย์ทั้งห้ากับกรรเมนทรีย์ทั้งห้า) กับธาตุทั้งห้าในกาย— #ว่าการเกิด
วิญญาณใช้เวลาระหว่างการตายกับการเกิดใหม่อยู่ในโลกทิพย์ อหังการไม่อาจจำประสบการณ์ก่อนการเกิด หรือในช่วงที่เป็นตัวอ่อน หรือแม้เมื่อเกิดมาแล้วและอยู่ในวัยทารก ทำนองเดียวกัน (เมื่อตายไปแล้ว) ผู้ที่ยังไม่รู้แจ้งก็ระลึกถึงการดำรงอยู่ในโลกทิพย์ไม่ได้ และไม่อาจจำชีวิตที่เกิดมาบนโลกนี้ในชาติก่อน ๆ ได้
.
◾ทำไมพระเจ้าจึงให้มนุษย์ลืมประสบการณ์ในชาติก่อน ๆ◾
ด้วยพระกรุณาของพระเจ้า ที่วิญญาณมืดมนซึ่งทนทุกข์อยู่กับความขัดแย้งในโลกแห่งวัตถุสามารถลืมเรื่องเหล่านี้ที่เกิดขึ้นในอดีตชาติได้
1
การลืมความทุกข์ยากในอดีตชาติถือเป็นยาสลบทางจิตที่พระเจ้าเมตตาประทานให้แก่มนุษย์ เขาจึงไม่ต้องแบกความเศร้าโศกที่จดจํามาแต่อดีตชาติ เขาไม่ต้องแบกความเลวร้าย ความทุกข์ใจ ติดตัวไปสู่ชาติต่อ ๆ ไป เขาจึงเริ่มต้นใหม่บนทางแคบตรงสู่เป้าหมายอันสูงสุดแห่งชีวิตได้ เพียงแค่กระตุ้นอนุสัยดีชั่ว —ผลจากกรรมดีกรรมชั่วใน ชาติก่อน ๆ— ในตัวเขาก็เพียงพอแล้ว ที่จะทำให้เขาระลึกถึงบทเรียนที่ยังจะต้องเรียนรู้เพื่อชัยชนะแห่งตน
ประสบการณ์ชั่วดีในอดีตชาติ จะสำแดงเป็นอารมณ์ร้ายอารมณ์ดี หรือ เป็นนิสัยตั้งแต่บุคคลเกิดมาในชีวิตนี้ ข้อเท็จจริงนี้อธิบายได้ว่าทําไมบางคนจึงเกิดมาเป็นคนชั่ว ส่วนบางคนเกิดมาเป็นนักบุญ ในเมื่อความชั่วนำมาซึ่งความทุกข์ คนที่ เกิดมาเลวจึงต้องขวนขวายทําตนให้พ้นจากความชั่วที่ติดตัวมาแต่ก่อนเกิด ด้วยการอยู่ในหมู่เพื่อนดีและปฏิบัติภาวนา คนที่เกิดมาดีแล้วก็ไม่ควรพอใจอยู่แค่นั้น ต้องพยายามทําให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป จนกว่าจะปลอดภัยอยู่ในบรมวิญญาณแห่งจักรวาล และพ้นจากวงวัฏการเกิดและการเกิดใหม่เรื่อย ๆ ไป
พระเจ้า (หรืออวตารแห่งพระองค์) ไม่เคยลืมสิ่งใด ทันทีที่ผู้ภักดีหลุดพ้นแล้วอย่างแท้จริง เขาจะสามารถจดจํารูปแบบนานาที่เขาเคยแสดงในการเกิดและได้สูญสิ้นเมื่อเขาตาย —รูปแบบที่ห่อหุ้มอยู่ในความสำเร็จ และการพลาดพลั้งไปกับมายาชั่วช้า เมื่อผู้หลุดพ้นตื่นอยู่ในพระเจ้า และเข้าใจความเร้นลับของชีวิตที่เหมือนความฝัน ตอนนั้นแหละที่เขาพร้อมจะทบทวนตนด้วยความยำเกรง
.
◾การเกิดในอดีตชาติล้วนเผยแสงแห่งจักรวาล◾
เมื่อตีความในเชิงรหัสยนัย คำถามและคำตอบระหว่างกฤษณะกับอรชุน คือการแลกเปลี่ยนญาณทางสหัชญาณกันระหว่างบรมวิญญาณ (ที่เกิดแล้วเกิดเล่าพร้อมกับการเกิดของทุกวิญญาณ) กับวิญญาณอันปีติของผู้ภักดีผู้เป็นแบบอย่างอันเลิศ บรมวิญญาณดั้งเดิมที่สำแดงโยคะ หรือความเป็นหนึ่งกับผู้ภักดีที่ก้าวหน้าในฐานะแสงจักรวาล วิวัสวัตได้อยู่กับอรชุนในหลายภพชาติแห่งการเวียนตายเวียนเกิดของพระองค์ เมื่อผู้ภักดีสามารถติดต่อกับพระเจ้าด้วยจิตที่เต็มเปี่ยม (ในปีติแห่งนิรวิกัลปสมาธิขั้นสูงสุด) เขาจะถามคำถามนานาเกี่ยวกับบรมวิญญาณอยู่ในใจ
แสงแห่งจิตจักรวาลที่เห็นถ้วนทั่วค่อย ๆ ฉายให้โยคีเห็นช่องว่างอันมืดมิดที่เชื่อมการเกิดใหม่ในแต่ละชาติมาจนถึงบัดนี้ ในภาวะที่ก้าวหน้านั้น โยคีเห็นแสงจักรวาล หรือบรมวิญญาณที่สำแดง (“เรา”) กับ วิญญาณ (“เจ้า”) ดำรงอยู่ร่วมกันในหลายภพหลายชาติ แล้วโยคีก็จะตระหนักได้ว่า วิญญาณจอมปลอมที่ยึดกายอย่างหลงลืม มัวเมาอยู่กับมายาของมตจิต นั้นได้ลืมความเป็นหนึ่งเดียวอันเป็นทิพย์ไปแล้วอย่างสิ้นเชิง
บรมวิญญาณเป็นผู้บำรุงเพียงหนึ่งเดียว ที่บำรุงวิญญาณทั้งปวงตลอดการเวียนตายเวียนเกิดหลายภพชาติ บรมวิญญาณจึงจำภพชาติเหล่านั้น ซึ่งเป็นสิ่งจําเป็น เพื่อให้วิญญาณได้ถึงการหลุดพ้น —และสุดท้ายแล้ววิญญาณก็จะกลายเป็นบรมวิญญาณ จากนั้นวิญญาณที่หลุดพ้นก็จะพูดกับอหังการฝ่ายต่ำว่า :
“เราประจักษ์ว่าเราเป็นบรมวิญญาณในอาตมันอันประเสริฐ จิตเป็นพยานตลอดกาลถึงสายกระแสการเกิดตายอย่างไม่สิ้นสุดในหลายภพหลายชาติ และพร้อม ๆ กันนั้น เราก็เป็นอหังการที่มีกาย หลงลืมทุกสิ่ง นอกจากชีวิตในชาตินั้น ๆ ในฐานะบรมวิญญาณ เรารู้เปลือกนอกทั้งหลายที่สวมให้แก่กายเจ้า หรืออหังการฝ่ายต่ำของเรา แม้ว่าเจ้าจําเปลือกเหล่านั้นไม่ได้
โอ้ อหังการที่อยู่กับความหลง เราคือ บรมวิญญาณผู้สถิตอยู่ทุกที่ทุกกาล พระผู้สร้างของเจ้า ได้บำรุงเลี้ยงเจ้าโดยที่เจ้ามองไม่เห็นมาหลายภพหลายชาติ เรา อาตมันอันประเสริฐ อาจนับการเปลี่ยนแปรจากกายสู่กายที่เจ้า ซึ่งเป็นอหังการฝ่ายต่ำของเรา นำพาไปอย่างหลงละเมอ ลืมทุกสิ่งที่เกิดก่อนและหลังการมีชีวิตอย่างฝัน ๆ ไปกับมายา”
มนุษย์ทุกคนได้รับความมั่นใจว่า สักวันหนึ่งเมื่อเขาหลุดพ้น เขาจะรู้การเวียนเกิดเวียนตายทั้งหลายของตนในฐานะปัจเจกสำแดงแห่งบรมวิญญาณ ไม่ว่าในโลกนี้หรือโลกอื่น ๆ
โยคีที่หลุดพ้นแล้วจะย้ายจิตของท่านจากคลื่นวิญญาณไปสู่ มหาสมุทรแห่งบรมวิญญาณ อันประกอบด้วยคลื่นมากมายของชีวิตที่เกิดมา ผู้ภักดีที่เป็นอิสระอย่างแท้จริงจะตระหนักว่า บรมวิญญาณนั่นเองที่เกิดใหม่ในลักษณะต่าง ๆ ในหลายภพหลายชาตินั้น แล้วเขาก็จะไม่พูดว่า “ฉันเกิดมาในหลายรูปหลายร่าง” แต่จะพูดว่า “บรมวิญญาณสำแดงในรูปลักษณะต่าง ๆ ห่อหุ้มวิญญาณของฉันไว้จนกว่าจะหลุดพ้นในที่สุด”
(มีต่อ)

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา