Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
เบื่อเมือง
•
ติดตาม
5 ม.ค. 2023 เวลา 06:22 • ไลฟ์สไตล์
๏ ปริเฉทที่ ๒๒
ยมกปาฎิหารย์ปรวรรต
เศรษฐีชาวกรุงราชคฤห์ ประกาศหาพระอรหันต์
**********
~ เศรษฐีได้ไม้จันทน์ทำบาตร ~
ความพิสดารว่า สมัยหนึ่ง
เศรษฐีชาวกรุงราชคฤห์ ให้ขึงข่ายมีสัณฐานคล้ายขวด
เพื่อความปลอดภัย (เพื่อเปลื้องอันตราย.)
และเพื่อรักษาอาภรณ์เป็นต้น ที่หลุดไปด้วยความพลั้งเผลอแล้ว
เล่นกีฬาทางน้ำในแม่น้ำคงคา.
ในกาลนั้น ต้นจันทน์แดงต้นหนึ่ง เกิดขึ้นที่ริมฝั่งตอนเหนือของแม่น้ำคงคา
มีรากถูกน้ำในแม่น้ำคงคา เซาะโค่นหักกระจัดกระจาย อยู่บนหินเหล่านั้นๆ.
ครั้งนั้นปุ่มของไม้จันทน์แดง หนึ่งมีประมาณเท่าหม้อ ถูกหินครูดสี
ถูกคลื่นน้ำซัด เป็นของเกลี้ยงเกลา ลอยไปโดยลำดับ
อันสาหร่ายรวบรัด มาติดที่ข่ายของเศรษฐีนั้น.
เศรษฐีกล่าวว่า "นั่นอะไร ?" ได้ยินว่า "ปุ่มไม้"
จึงให้นำปุ่มไม้นั้นมาให้ถากด้วยปลายมีด
เพื่อจะพิจารณาว่า "นั่นชื่ออะไร ?"
ในทันใดนั่นเอง จันทน์แดงมีสีดังครั่งสดก็ปรากฏ.
ก็เศรษฐียังไม่เป็นสัมมาทิฏฐิ, ไม่เป็นมิจฉาทิฏฐิ, วางตนเป็นกลาง;
เขาคิดว่า "จันทน์แดงในเรือนของเรามีมาก,
เราจะเอาจันทน์แดงนี้ทำอะไรหนอแล ?"
ทีนั้นเขาได้มีความคิดอย่างนี้ว่า "ในโลกนี้ พวกที่กล่าวว่า
‘เราเป็นพระอรหันต์’ มีอยู่มาก, เราไม่รู้จักพระอรหันต์แม้สักองค์หนึ่ง;
เราจักให้ประกอบเครื่องกลึงไว้ในเรือน ให้กลึงบาตรแล้ว ใส่สาแหรกห้อย
ไว้ในอากาศประมาณ ๖๐ ศอก โดยเอาไม้ไผ่ต่อกันขึ้นไปแล้ว จะบอกว่า
‘ถ้าว่า พระอรหันต์มีอยู่, จงมาทางอากาศแล้ว ถือเอาบาตรนี้;’
ผู้ใดจักถือเอาบาตรนั้นได้ เราพร้อมด้วยบุตรภรรยา จักถึงผู้นั้นเป็นสรณะ."
เขาให้กลึงบาตรโดยทำนองที่คิดไว้นั่นแหละ ให้ยกขึ้นโดยเอาไม้ไผ่ต่อๆ
กันขึ้นไปแล้ว กล่าวว่า "ในโลกนี้ ผู้ใดเป็นพระอรหันต์,
ผู้นั้นจงมาทางอากาศ ถือเอาบาตรนี้."
**********
~ ครูทั้ง ๖ อยากได้บาตรไม้จันทน์ ~
ครูทั้งหกกล่าวว่า "บาตรนั้น สมควรแก่พวกข้าพเจ้า,
ท่านจงให้บาตรนั้นแก่พวกข้าพเจ้าเสียเถิด."
เศรษฐีนั้นกล่าวว่า "พวกท่านจงมาทางอากาศแล้ว เอาไปเถิด."
ในวันที่ ๖ นิครนถ์นาฏบุตรส่งพวกอันเตวาสิกไปด้วยสั่งว่า
"พวกเจ้าจงไป, จงพูดกะเศรษฐีอย่างนี้ว่า
‘บาตรนั่น สมควรแก่อาจารย์ของพวกข้าพเจ้า,
ท่านอย่าทำการมาทางอากาศเพราะเหตุแห่งของเพียงเล็กน้อยเลย,
นัยว่า ท่านจงให้บาตรนั่นเถิด." พวกอันเตวาสิกไปพูดกะเศรษฐีอย่างนั้นแล้ว.
เศรษฐีกล่าวว่า "ผู้ที่สามารถมาทางอากาศแล้วถือเอาได้เท่านั้น จงเอาไป."
**********
~ นาฏบุตรออกอุบายเอาบาตร ~
นาฏบุตรเป็นผู้ปรารถนาจะไปเอง จึงได้ให้สัญญาแก่พวกอันเตวาสิกว่า
"เราจักยกมือและเท้าข้างหนึ่ง เป็นทีว่าปรารถนาจะเหาะ,
พวกเจ้าจงร้องบอกเราว่า ‘ท่านอาจารย์ ท่านจะทำอะไร ?
ท่านอย่าแสดงความเป็นพระอรหันต์ที่ปกปิดไว้
เพราะเหตุแห่งบาตรไม้ แก่มหาชนเลย’
ดังนี้แล้ว จงพากันจับเราที่มือและเท้าดึงไว้ ให้ล้มลงที่พื้นดิน."
เขาไปในที่นั้นแล้ว กล่าวกะเศรษฐีว่า "มหาเศรษฐี บาตรนี้สมควรแก่เรา,
ไม่สมควรแก่ชนพวกอื่น, ท่านอย่าชอบใจการเหาะขึ้นไปในอากาศของเรา
เพราะเหตุแห่งของเพียงเล็กน้อย, จงให้บาตรแก่เราเถิด."
เศรษฐี. ผู้เจริญ ท่านต้องเหาะขึ้นไปทางอากาศแล้ว ถือเอาเถิด.
ลำดับนั้น นาฏบุตรกล่าวว่า "ถ้าเช่นนั้น พวกเจ้าจงหลีกไปๆ"
กันพวกอันเตวาสิกออกไปแล้ว กล่าวว่า " เราจักเหาะขึ้นไปในอากาศ
ดังนี้แล้ว ก็ยกมือและเท้าขึ้นข้างหนึ่ง.
ทีนั้น พวกอันเตวาสิกกล่าวกับอาจารย์ว่า
"ท่านอาจารย์ ท่านจะทำชื่ออะไรกันนั่น ?
ประโยชน์อะไรด้วยคุณที่ปกปิดไว้ อันท่านแสดงแก่มหาชน
เพราะเหตุแห่งบาตรไม้นี้"
แล้วช่วยกันจับนาฏบุตรนั้นที่มือและเท้า ดึงมาให้ล้มลงบนแผ่นดิน.
เขาบอกกะเศรษฐีว่า "มหาเศรษฐี อันเตวาสิกเหล่านี้ ไม่ให้เหาะ,
ท่านจงให้บาตรแก่เรา."
เศรษฐี. ผู้เจริญ ท่านต้องเหาะขึ้นไปถือเอาเถิด.
พวกเดียรถีย์ แม้พยายามด้วยอาการอย่างนี้สิ้น ๖ วันแล้ว
ยังไม่ได้บาตรนั้นเลย.
**********
~ ชาวกรุงเข้าใจว่าไม่มีพระอรหันต์ ~
ในวันที่ ๗ ในกาลที่ท่านพระมหาโมคคัลลานะ
และท่านพระปิณโฑลภารทวาชะ
ไปยืนบนหินดาดแห่งหนึ่งแล้วห่มจีวร ด้วยตั้งใจว่า
"จักเที่ยวไปเพื่อบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์"
พวกนักเลงคุยกันว่า "ชาวเราเอ๋ย ในกาลก่อน
ครูทั้ง ๖ กล่าวว่า ‘พวกเราเป็นพระอรหันต์ในโลก,’
ก็เมื่อเศรษฐีชาวกรุงราชคฤห์ให้ยกบาตรขึ้นไว้แล้วกล่าวว่า
‘ถ้าว่า พระอรหันต์มีอยู่, จงมาทางอากาศแล้ว ถือเอาเถิด’
วันนี้เป็นวันที่ ๗, แม้สักคนหนึ่งชื่อว่าเหาะขึ้นไปในอากาศด้วยแสดงตนว่า
‘เราเป็นพระอรหันต์’ ก็ไม่มี;
วันนี้พวกเรารู้ความที่พระอรหันต์ไม่มีในโลกแล้ว."
ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้ยินถ้อยคำนั้นแล้ว
จึงกล่าวกะท่านพระปิณโฑลภารทวาชะว่า "อาวุโส ภารทวาชะ
ท่านได้ยินถ้อยคำของพวกนักเลงเหล่านี้ไหม ?
พวกนักเลงเหล่านี้ พูดเป็นทีว่าจะย่ำยีพระพุทธศาสนา;
ก็ท่านมีฤทธิ์มากมีอานุภาพมาก,
ท่านจงไปเถิด จงมาทางอากาศแล้วถือเอาบาตรนั้น."
ปิณโฑลภารทวาชะ. อาวุโส โมคคัลลานะ
ท่านเป็นผู้เลิศกว่าบรรดาสาวกผู้มีฤทธิ์,
ท่านจงถือเอาบาตรนั้น; แต่เมื่อท่านไม่ถือเอา ผมจักถือเอา.
**********
~ พระปิณโฑลภารทวาชะแสดงปาฏิหาริย์ ~
เมื่อพระมหาโมคคัลลานะกล่าวอย่างนี้ว่า "ท่านจงถือเอาเถิดผู้มีอายุ"
ท่านปิณโฑลภารทวาชะก็เข้าจตุตถฌาน มีอภิญญาเป็นบาท
ออกแล้ว เอาปลายเท้าคีบหินดาดประมาณ ๑ คาวุต
ให้ขึ้นไปในอากาศเหมือนปุยนุ่น
แล้วหมุนเวียนไปในเบื้องบนพระนครราชคฤห์ ๗ ครั้ง.
หินดาดนั้นปรากฏดังฝาละมีสำหรับปิดพระนครไว้ประมาณ ๓ คาวุต.
พวกชาวพระนครกลัว ร้องว่า "หินจะตกทับข้าพเจ้า"
จึงทำเครื่องกั้นมีกระด้งเป็นต้นไว้บนกระหม่อม แล้วซุกซ่อนในที่นั้นๆ.
ในวาระที่ ๗ พระเถระทำลายหินดาด แสดงตนแล้ว.
มหาชนเห็นพระเถระแล้ว กล่าวว่า
"ท่านปิณโฑลภารทวาชะผู้เจริญ ท่านจงจับหินของท่านไว้ให้มั่น,
อย่าให้พวกข้าพเจ้าทั้งหมดพินาศเสียเลย."
พระเถระเอาปลายเท้าเหวี่ยงหินทิ้งไป. แผ่นหินนั้นไปตั้งอยู่ในที่เดิมนั่นเอง.
พระเถระได้ยืนอยู่ในที่สุดแห่งเรือนของเศรษฐี.
เศรษฐีเห็นท่านแล้ว หมอบลงแล้ว กราบเรียนว่า "ลงเถิด พระผู้เป็นเจ้า"
นิมนต์พระเถระผู้ลงจากอากาศให้นั่งแล้ว,
ให้นำบาตรลง กระทำให้เต็มด้วยวัตถุอันมีรสหวาน ๔ อย่างแล้ว
ได้ถวายแก่พระเถระ.
พระเถระรับบาตรแล้วบ่ายหน้าสู่วิหาร ไปแล้ว.
ลำดับนั้น ชนเหล่าใดที่อยู่ในป่าบ้าง อยู่ในบ้านบ้าง
ไม่เห็นปาฏิหาริย์ของพระเถระ,
ชนเหล่านั้นประชุมกันแล้ววิงวอนพระเถระว่า
"ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขอท่านจงแสดงปาฏิหาริย์แม้แก่พวกผม" ดังนี้แล้ว
ก็พากันติดตามพระเถระไป.
พระเถระนั้น แสดงปาฏิหาริย์แก่ชนเหล่านั้นๆ พลางได้ไปยังพระวิหารแล้ว.
**********
~ พระศาสดาทรงห้ามไม่ให้ภิกษุทำปาฏิหาริย์ ~
พระศาสดา ทรงสดับเสียงมหาชนที่ติดตามพระเถระนั้นอื้ออึงอยู่
จึงตรัสถามว่า "อานนท์ นั่นเสียงใคร ?"
ทรงสดับว่า "พระเจ้าข้าพระปิณโฑลภารทวาชะเหาะขึ้นไปในอากาศแล้ว
ถือเอาบาตรไม้จันทน์, นั่นเสียงในสำนักของท่าน"
จึงรับสั่งให้เรียกพระปิณโฑลภารทวาชะมา
ตรัสถามว่า "ได้ยินว่า เธอทำอย่างนั้นจริงหรือ ?"
เมื่อท่านพระปิณโฑลภารทวาชะกราบทูลว่า
"จริง พระเจ้าข้า"
พระศาสดา จึงตรัสว่า "ภารทวาชะ ทำไม เธอจึงทำอย่างนั้น ?"
ทรงติเตียนพระเถระ แล้วรับสั่งให้ทำลายบาตรนั้น ให้เป็นชิ้นน้อยชิ้นใหญ่แล้ว
รับสั่งให้ประทานแก่ภิกษุทั้งหลาย เพื่อประโยชน์แก่อันบดผสมยาตา
แล้วทรงบัญญัติสิกขาบทแก่พระสาวกทั้งหลาย
เพื่อต้องการไม่ให้ทำปาฏิหาริย์.
ฝ่ายพวกเดียรถีย์ได้ยินว่า "ทราบว่า พระสมณโคดมให้ทำลายบาตรนั้นแล้ว
ทรงบัญญัติสิกขาบทแก่สาวกทั้งหลาย เพื่อต้องการมิให้ทำปาฏิหาริย์"
จึงเที่ยวบอกกันในถนนในพระนครว่า "สาวกทั้งหลายของพระสมณโคดม
ไม่ก้าวล่วงสิกขาบทที่ทรงบัญญัติแม้เพราะเหตุแห่งชีวิต,
ถึงพระสมณโคดมก็จักรักษาสิกขาบทที่ทรงบัญญัตินั้นเหมือนกัน,
บัดนี้พวกเรา ได้โอกาสแล้ว" แล้วกล่าวว่า "พวกเรารักษาคุณของตน
จึงไม่แสดงคุณของตนแก่มหาชนเพราะเหตุแห่งบาตรไว้ในกาลก่อน,
เหล่าสาวกของพระสมณโคดมแสดงคุณของตนแก่มหาชนเพราะเหตุแห่งบาตร,
พระสมณโคดมรับสั่งให้ทำลายบาตรนั้นแล้ว
ทรงบัญญัติสิกขาบทแก่เหล่าสาวก เพราะพระองค์เป็นบัณฑิต,
บัดนี้ พวกเราจักทำปาฏิหาริย์กับพระสมณโคดมนั่นแล."
**********
บันทึก
1
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
พุทธประวัติ
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย