15 ม.ค. 2023 เวลา 14:00 • หนังสือ

หนังสือเล่มนี้ว่าด้วยพลังของปัจจุบันที่ขายดีไปกว่า 5 ล้านเล่ม

ก่อนที่เราจะไปต่อ เรามีคำถามอยากถามทุกคนว่า ครั้งล่าสุดที่อยู่กับปัจจุบันจริงๆคือเมื่อไหร่คะ? 🙂 ถ้าคำตอบคือเมื่อไม่นานมานี้ เมื่อไม่กี่วินาทีที่แล้ว หรือ นาทีก่อนก็ยินดีด้วยมากๆเลยค่ะ แต่สำหรับเราเองก็มีบางวันที่เราแทบไม่รู้ตัวเลย คิดฟุ้งไปถึงเรื่องราวที่ไม่ได้เกิดขึ้นปัจจุบันทั้งวันอยู่บ่อยๆ แล้วทำไมการอยู่กับปัจจุบันจึงสำคัญนัก?
3
ถ้าเราอยู่ในอดีตหรือพะวงกับอนาคต เราจะละเลยช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดในชีวิตเรานั่นคือ “ปัจจุบัน” ปัจจุบันไม่มีสุข ไม่มีทุกข์ เป็นแค่เสี้ยววิของการมีอยู่ของเราจริงๆ
การอยู่กับปัจจุบันมันสำคัญ เพราะว่ามันไม่มีอะไรที่เกิดขึ้นในอดีตและอนาคต ทุกอย่างเกิดขึ้นในปัจจุบันที่ต่อเนื่องกัน การที่เราละเลยปัจจุบันเหมือนกับการดูหนังที่ไม่ยอมดูเรื่องที่เกิดขึ้น แต่กรอกลับไปดูตอนก่อน หรือข้ามไปดูตอนหน้า เนื้อเรื่องมันก็จะไม่ปะติปะต่อกันและสับสนวุ่นวาย
แต่ในความเป็นจริงแล้วมันยากมากเลยเนอะที่จะอยู่กับปัจจุบัน จิตใจและความคิดของเราจะพะวงไปถึงอดีตและอนาคตอยู่เรื่อย ทั้งๆที่บ่อยครั้งไม่มีประโยชน์ที่จะไปคิดถึงเรื่องราวเหล่านั้นเลย และก็บ่อยครั้งอีกเหมือนกันที่ความคิดเหล่านั้นจะทำให้เราเป็นทุกข์
เป็นธรรมชาติที่เราจะรักสุข เกลียดทุกข์ แต่เราต้องตระหนักก่อนว่าความทุกข์คือสิ่งที่เราสร้างขึ้นมาเอง บางคนอาจบอกว่าความทุกข์คือเรื่องภายนอกที่ไม่ถูกใจเรา แต่จริงๆแล้ว เราอนุญาตให้เรื่องที่ไม่ถูกใจนั้นเข้ามาทำร้ายเราได้เอง หรือก็คือเราแปะป้ายให้กับเรื่องราวรอบตัวว่า “ฉันชอบอันนี้” “ฉันไม่ชอบอันนี้”
ในเล่มนี้ได้บอกว่า สาเหตุของทุกข์นั้นมาจากใจเราทั้งนั้น เราเองที่เป็นคนปรุงหรือสร้างทุกข์ในชีวิตขึ้นมา และนั่นคือเหตุผลที่ว่า “การอยู่กับปัจจุบัน” จะช่วยทำให้เราพบความสงบได้ โดยที่ในเล่มนี้ได้พูดถึงการรับรู้ร่างกาย หรือ เอาจิตมาอยู่ที่กาย ว่าตอนนี้ร่างกายเราทำอะไรอยู่ พอความคิดลากเราไปได้ยาวๆ เราก็ดึงสติกลับมาอยู่ที่กาย ความคิดนั้นก็จะเหมือนถูกตัดไป พลังในการปรุงทุกข์ของมันก็จะลดน้อยลง
4
สำหรับคนที่ผ่านการฝึกฝนจิตใจมาอาจรู้สึกว่าก็เหมือนไม่เห็นมีประเด็นอะไรใหม่นี่นา เราเองตอนอ่านบางบทก็รู้สึกว่าเนื้อหาคล้ายๆกับที่เรามักเคยได้ยินหรือได้อ่านมาก่อนหน้านี้เหมือนกันค่ะ แต่ในเล่มนี้มีประเด็นใหม่ที่เราชอบนั่นคือ ในเล่มนี้เปรียบเทียบการอยู่กับปัจจุบันเป็น “Active Waiting”
ปกติเวลาเรารอใคร เราจะรอเรื่อยๆ หาอะไรทำฆ่าเวลา ปล่อยให้เวลาผ่านไป แต่ Active Waiting คือการรอเหมือนกำลังจะมีอะไรเกิดขึ้น รอแบบรู้ตัว รอแบบจดจ่อ ตัวอย่างเช่น มีพระเซนที่ให้ลูกศิษย์นั่งหลับตาแล้วก็เอาไม้มาตีแล้วให้ลูกศิษย์หลบ ถึงแม้ว่าตอนที่ไม้ยังไม่มาตี ลูกศิษย์ก็จะรู้ตัวตลอดเวลา พวกเขารับรู้ถึงความไหวของใบไม้ เสียงกรอบแกรบ เพราะพวกเขา “รอ” สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นอย่างจดจ่อ
2
การอยู่กับปัจจุบันไม่ได้แปลว่าเราต้องละเลยความทุกข์หรือสุข แต่มันคือการรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นโดยไม่ตัดสินตังหาก และไม่ได้แปลว่าเราต้องใช้ชีวิตเอื่อยเฉื่อย ไม่คิดไม่ทำอะไรเลย เราสามารถที่จะมีสติรู้ตัวได้โดยที่ทำงานไปด้วย พูดไปด้วย หรือสังเกตความคิดตัวเองตอนที่ต้องทำเรื่องที่ต้องทำได้เช่นกัน
พอเราอ่านเล่มนี้จบ เราเข้าใจมากขึ้นว่าทำไมหนังสือเล่มนี้ถึงขายดิบขายดี ข้อดีของหนังสือเล่มนี้คือความชัดเจน ทั้งเล่มพูดถึงเพียงประเด็นเดียวเท่านั้นคือ “อยู่กับปัจจุบันซะ แล้วปัญหามันจะดีขึ้นเอง” และจุดที่ดีอีกข้อคือการไม่ได้เอาศาสนาใดศาสนานึงเป็นที่ตั้ง ผู้เขียนศึกษาทุกศาสนาและอ้างอิงหลายๆศาสนาทำให้เข้าถึงคนได้มาก
3
การอยู่กับปัจจุบันเป็นเรื่องที่ยากที่สุดเรื่องนึงที่เราเคยฝึกฝนมา สำหรับเราแล้วมันคือทักษะที่ต้องผ่านกาลเวลา ทดลองถูกผิด ผิดพลาดแล้วก็เอาใหม่เหมือนทักษะอื่นๆ แต่ทักษะนี้เป็นทักษะที่ถ้าเมื่อฝึกแล้วจะเป็นที่พึ่งให้เราได้มากในทุกสถานการณ์ในชีวิตเลยค่ะ 🙂
4
อันนี้เป็นเพียงสรุปโดยคร่าวๆของหนังสือเท่านั้น ถ้าใครอยากอ่านเต็มเล่มซื้อ Power of Now ได้เลยที่ https://shope.ee/30FWtMqYPG
—————————————————————
ตอนนี้รีวิวทุกอย่างที่อ่านออกมีถึง 6 ช่องทางแล้วนะคะ 🥳
เอาใจทั้งสายอ่าน สายฟัง สาย Podcast
ขอขอบคุณทุกคนที่ติดตามกันมาตลอดนะคะ :D
โฆษณา