30 ม.ค. 2023 เวลา 04:15
ฝึกไม่ทำตามอารมณ์ คิดก่อนพูด ก่อนทำ คะเน
ผลลัพธ์ที่ร้ายที่สุดว่ารับได้ไหม
ถ้าเป็นพ่อแม่
#อยากให้ลูกใจเย็นกว่านี้
พ่อแม่ทุกคนก็อยากให้ลูกใจเย็น อารมณ์ดี แต่มันเป็นไปไม่ได้ ที่คนคนหนึ่งจะอารมณ์ดีอยู่ตลอดเวลา
โดยปกติคนเราก็มีทั้งอารมณ์ด้านบวก(คือดีใจ มีความสุข สนุกสนานฯลฯ) และอารมณ์ด้านลบ(เศร้า โกรธ หงุดหงิด เบื่อ น้อยใจฯลฯ)
สิ่งสำคัญคือ เวลามีอารมณ์ด้านลบ ผู้ใหญ่จะสอนให้เด็กๆจัดการอารมณ์ตัวเองได้ยังไงบ้าง
หากผิดหวัง โกรธ เสียใจ ไม่ได้ดังใจ แทนที่จะจัดการด้วยอารมณ์ด้านลบด้วยความรุนแรง จะทำยังไงให้ผ่านพ้นพายุอารมณ์ตรงนั้นไปได้อย่างไม่ต้องเกิดผลกระทบรุนแรง โดยเฉพาะต่อคนอื่นๆและตัวเอง
.
1) พ่อแม่ต้องเป็นตัวอย่างของการไม่ใช้อารมณ์และความรุนแรงตัดสินปัญหา
แน่นอน ครอบครัวเป็นจุดแรกที่เด็กสัมผัส ถึงจะเป็นเด็กที่มีพื้นอารมณ์ร้อน ถ้าผู้ใหญ่รอบข้างเป็นตัวอย่างให้เห็น
สมมติพ่อของเด็กเป็นคนใจร้อนมาก เวลาโกรธแม่ จะทำร้ายร่างกาย ทำลายของ ตะโกนอาละวาดเสียงดัง ลูกก็จะเห็นภาพนั้นและซึมซับเป็นตัวตน แม้ว่าพ่อจะสอนลูกว่า ลูกจ๋า ใจเย็นๆนะ ก็ไม่เป็นผล เด็กจะเรียนรู้จากสิ่งที่เห็นมากกว่าคำพูดที่ได้ยิน
เวลาโกรธก็มีวิธีจัดการ ไม่ใช้ความเกรี้ยวกราดโวยวาย ไม่ตะโกนเสียงดัง เช่น แม่หงุดหงิด ก็บอกลูกดีๆ ขอตัวไปสงบอารมณ์ เด็กก็จะเรียนรู้ว่าไม่ควรทำอะไรเวลาที่หงุดหงิดหรือโกรธรุนแรง
.
2) ให้เด็กได้สัมผัสธรรมชาติตั้งแต่เล็ก ไปออกกำลังกายกลางแจ้ง สร้างความเชื่อมโยงให้เด็กรับรู้ว่า นอกจากตัวเขาเองก็มีโลกรอบข้าง จะทำให้เขายึดติดกับตัวเองน้อยลง และการจัดการอารมณ์ก็จะดีขึ้นด้วย
.
3) ไม่ควรให้เด็กอยู่แต่กับอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับจอโดยที่ไม่ทำกิจกรรมอื่นๆเลย เพราะสื่อต่างๆบางทีก็มีความรุนแรง และทำให้เด็กหมกมุ่นกับตัวเอง ขาดความเชื่อมโยงกับธรรมชาติด้วย
.
4) พ่อแม่ควรสร้างสัมพันธภาพที่ดีกับเด็ก ให้เด็กรู้สึกว่ามีเรื่องอะไรก็สามารถคุยกับพ่อแม่ได้ เวลามีปัญหาอะไรจะได้ไม่ต้องเก็บไว้ และปรึกษา ทำให้ความเครียดต่างๆลดลงไป แทนที่จะกลายเป็นปัญหาที่สายเกินแก้
.
5) สอนให้เด็กรู้จักและรับรู้เข้าใจอารมณ์ต่างๆ และสอนเรื่องความเห็นอกเห็นใจ
ไม่ว่าจะเป็นด้านดีหรือไม่ดี บอกเด็กว่าอารมณ์เป็นเรื่องธรรมดา การรับรู้และเข้าใจจะทำให้คนคนนั้นจัดการกับอารมณ์ตัวเองได้ดีขึ้น
เริ่มด้วยผู้ใหญ่แสดงความรับรู้และเข้าใจอารมณ์ของเด็ก อย่างเวลาที่เด็กโกรธ ไม่พอใจ ควรบอกให้เด็กรู้ว่าเรารับรู้และเข้าใจความโกรธของเขา อย่าเพิ่งไปดุว่า เช่น ควรหลีกเลี่ยงคำพูดเช่น “หนูจะโมโหทำไมเนี่ย”/“หนูใจเย็นๆสิ”/“ทำไมต้องโกรธด้วยล่ะ”
เช่น เด็กโมโหโวยวายที่น้อยสาวเอาสมุดของตัวเองไประบายเล่น เด็กร้องเสียงดัง ตีน้อง ก่อนจะดุเด็กว่าตีน้องทำไม ก็ควรบอกเด็กว่า "แม่รู้ว่าหนูคงจะโกรธที่น้องเอาสมุดหนูไปวาดเล่น" แล้วค่อยตักเตือนหรือทำโทษเรื่องที่ตีน้อง
ถ้าแม่แสดงออกว่ารับรู้ มองเห็นอารมณ์ความรู้สึกของเขา เด็กจะรู้สึกว่า แม่เข้าใจอารมณ์เขารับรู้ตัวตน ความโกรธจะลดลง การที่มีใครสักคนแสดงความเข้าใจอารมณ์เขา ตรงนั้นจะทำให้เด็กเข้าใจและรับรู้อารมณ์ตัวเอง และเป็นจุดเริ่มต้นของความเห็นใจคนอื่นด้วย (นอกจากจะคิดถึงแต่ความโกรธหรือผิดหวังของตัวเองอย่างเดียว)
.
6) ผู้ใหญ่ควรจะค่อยๆสอนเขาถึงวิธีจัดการอารมณ์ทางลบอย่างเหมาะสม
ควรสอนเมื่ออารมณ์เบาบางลงไปแล้ว อย่าไปสอนตอนที่เด็กมีอารมณ์ เด็กไม่ฟังเราหรอกตอนนั้น
เช่น เด็กที่โกรธหงุดหงิด เสียใจ บางทีเขาโวยวาย ร้องไห้ สังเกตอารมณ์ของเด็กก่อน เมื่อเขาหายโกรธหรือหายเศร้า ค่อยเข้าไปพูดคุย ไต่ถามความรู้สึก
ให้เขาเล่าความรู้สึกให้ฟังเมื่อพร้อม และพูดคุยถึงการจัดการกับอารมณ์ของเขา คราวนี้เขาอาจจะจัดการแบบใช้ความรุนแรง เช่น ตะโกนเสียงดัง ทำของพัง ก็ไม่ต้องไปใช้อารมณ์กับลูก (แต่ควรให้เขาเรียนรู้ที่จะรับผิดชอบเมื่อของพังไป เช่น หักค่าขนมสมทบเป็นค่าของที่เสีย)
คุยกับเขาว่าถ้าไม่ใช้ความรุนแรง ทางออกในการจัดการอารมณ์ที่สร้างสรรค์ทำยังไงได้บ้าง และอาจจะให้เขาลองทำดูคราวหน้า (คราวนี้ก็ไม่เป็นไร)
เช่น เด็กบางคนโกรธแล้วไปล้างหน้า ดื่มน้ำเย็นๆ ไปเตะฟุตบอลกับเพื่อน ไปเล่นกับสัตว์เลี้ยง เมื่อทำแล้ว อารมณ์โกรธลดน้อยลง ถ้าเขาจัดการอารมณ์ได้ดีก็ให้เราชื่นชมให้กำลังใจ
.
7) ในกรณีที่เด็กโกรธแล้วมีพฤติกรรมที่รุนแรงมาก เช่น ทำร้ายคนอื่น ทำร้ายตนเอง หรือทำลายข้าวของ เราคงต้องหยุดการกระทำนั้นไว้ก่อน และอาจต้องปรึกษาจิตแพทย์เด็ก
เช่นในเด็กเล็กอาจเข้าไปกอดเด็กข้างหลัง จนเขาสงบ ถ้ารุนแรงและจัดการไม่ได้ เด็กอาจจะมีภาวะบางอย่างที่เกี่ยวข้องที่ทำให้อารมณ์ขึ้นลงง่าย หุนหันหลันแล่น ซึ่งต้องรักษาเฉพาะ
.
8)เมื่อพบเห็นความรุนแรงที่เกิดขึ้นในสังคมที่มาจากความโกรธ ผิดหวัง เสียใจ เช่น ข่าว ละคร ควรพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับลูกในเรื่องการจัดการความโกรธที่เหมาะสม
เห็นอะไรที่ดีๆ เราก็ชื่นชมให้ลูกฟัง แต่ถ้าอะไรที่ไม่เหมาะเราก็ควรบอก และคุยถึงเหตุผลว่าเพราะอะไรถึงไม่ดี ขณะเดียวกันก็ลองฟังความคิด และความเห็นของลูกไปด้วย
.
9) อย่าตามใจลูกไปหมด เพราะเด็กจะกลายเป็นคนเอาแต่ใจ ผิดหวังไม่เป็น
พ่อแม่ที่ตามใจลูกไปทุกเรื่องแบบไม่มีขอบเขต เด็กจะโตมาโดยที่เป็นคนยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง รับความผิดหวังไม่ค่อยได้ เอาแต่ใจตัวเองและคิดถึงคนอื่นน้อย ไม่รู้จักควบคุมการกระทำตัวเอง บางเรื่องรู้ว่าไม่ดีแต่อยากทำและห้ามใจตัวเองไม่ได้
.
อารมณ์ทางลบต่างๆที่เกิด จริงๆเป็นเรื่องปกติและธรรมชาติ ไม่มีใครที่ไม่เคยเจอความหงุดหงิด หรือผิดหวัง ไม่มีใครหรอกที่จะอารมณ์ดีตลอดเวลา แต่เราจะจัดการกับมันอย่างไรนั้นสำคัญกว่า
#หมอมิน
โฆษณา