1 ก.พ. 2023 เวลา 15:07 • ประวัติศาสตร์

เชแช-เลอคู (Jaeger-Lecoultre) ค.ศ. 1833

ผู้ได้รับฉายา “The Watchmaker of Watchmakers”
ถ้าเป็นเรื่องของนาฬิกาแล้วละก็ คงไม่มีใครไม่รู้จัก “Jaeger-Lecoultre” (JLC) ซึ่งนับเป็นเวลาเกือบ 200 ปี ที่ “Jaeger-Lecoultre” ได้คิดค้นประดิษฐกรรมต่าง ๆ ขึ้นมากมาย
ซึ่งเป็นเหมือนต้นแบบทางเทคโนโลยีให้กับแบรนด์ดังหลายๆ แบรนด์ ไม่เว้นแม้แต่นาฬิกาหรูระดับ “Holy Trinity” อย่าง Patek Philippe , Audemars Piguet และ Vacheron Constantin ก็ยังต้องพึ่งนวัตกรรมของ JLC
ในปี ค.ศ. 1833 ในใจกลางของ Vallée de Joux ในสวิตเซอร์แลนด์ Antoine LeCoultre (รูปด้านบน) ได้เปลี่ยนโรงนาเล็ก ๆ ของครอบครัวของเขาให้กลายเป็นโรงงานทำนาฬิกา ที่หมู่บ้าน Le Sentier และเริ่มสร้างนาฬิกาที่มีความแม่นยำสูง เขาเป็นนักประดิษฐ์ที่สมดุลทั้งสติปัญญาและจินตนาการ
โดยประยุกต์ใช้ตัวเองกับความท้าทายในการวัดเวลา ด้วยความหลงใหลในความแม่นยำ เขาจึงสร้างเครื่องมือที่จำเป็นต่อการพัฒนาชิ้นส่วนที่เล็กที่สุดเพื่อผลิตคาลิเบอร์ที่แม่นยำที่สุด
อุปกรณ์ Millionometer
ในปี ค.ศ. 1844 LeCoultre ได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้กับวงการนาฬิกา ด้วยการสร้าง “Millionometer” อันเป็นอุปกรณ์ที่สามารถวัดความเล็กของชิ้นส่วนเป็นหน่วยไมครอน (Micron) และในปี ค.ศ. 1847 เขาได้สร้างระบบแบบไม่ใช้กุญแจเพื่อกรอกลับและตั้งนาฬิกา
สี่ปีต่อมา เขาได้รับรางวัลเหรียญทองจากการทำงานด้านความแม่นยำของนาฬิกาและกลไกที่งาน Universal Exhibition ครั้งแรกในลอนดอน (ในเรื่องการคิดค้น Lever-Winding) และยังได้รับรางวัล Gold Medal จากงาน Crafted Gold Chronometer อีกด้วย
pocket watch with triple calendar and moon phases
ในปี 1866 ภายใต้การบริหารของบุตรชายของ LeCoultre ได้ให้กำเนิดบริษัท LeCoultre & Cie. ซึ่งมีช่างนาฬิกามากกว่า 500 คน และภายใน 4 ปี ได้สร้าง “pocket watch with triple calendar and moon phases” ออกมา ตามมาด้วย Calibre มากกว่า 350 รูปแบบ
อีก 128 รูปแบบเป็น chronographs และอีก 99 รูปแบบ เป็น minute repeaters ต่อมาในช่วง 30 ปีนี้เอง (ค.ศ. 1833 - 1866) ที่ LeCoultre ผลิต Movement ให้ Patek Philippe เกือบทั้งหมด
และยังผลิต Movement ให้แก่แบรนด์ดังอย่างกลุ่ม Holy Trinity แทบจะทั้งหมดเช่นกัน หากไม่มี Antoine LeCoultre ที่คิดค้น Millionometer ในวันนั้น ก็ไม่มี Movement ที่สุดเพอร์เฟคในวันนี้
Jacques-David LeCoultre
ในปี ค.ศ. 1903 Edmond Jaeger ช่างซ่อมนาฬิกาในปารีสประจำกองทัพเรือฝรั่งเศส ท้าทายผู้ผลิตนาฬิกาสวิสแบรนด์นี้ ให้พัฒนาและผลิตกลไกการทำงานที่บางเฉียบที่เขาประดิษฐ์ขึ้น Jacques-David LeCoultre หลานชายของ Antoine ซึ่งรับผิดชอบการผลิตที่บริษัท LeCoultre & Cie.
ตอบรับการท้าทายในครั้งนี้ก่อให้เกิดคอลเล็กชั่นนาฬิกาพกที่บางเฉียบ ซึ่งรวมถึงนาฬิกาข้อมือที่บางที่สุดในโลกในปี ค.ศ 1907 ซึ่งติดตั้งระบบกลไกที่มีชื่อเรียกว่า LeCoultre Calibre 145 ซึ่งมีความหนาเพียง 1.38 มิลลิเมตร
จากเหตุการณ์นี้เองที่ทำให้ Edmond Jaeger และ Antoine LeCoultre ได้รู้จักกันและแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันเรื่อยมา และในระหว่างนั้น ทั้งคู่ได้ร่วมกันผลิตนาฬิกาซึ่งเป็นการนำเอา Ultra-thin Movement ที่บางเฉียบ
มาผนวกเข้ากับเทคโนโลยีอันล้ำสมัยได้อย่างลงตัว ได้แก่ Duoplan, Atmos และ Jaeger-LeCoultre Calibre 101 ซึ่งเป็นนาฬิกาที่เล็กที่สุดในโลก จนในที่สุดทั้งคู่จึงได้ควบรวมบริษัททั้งสองแห่งเข้าด้วยกันภายใต้แบรนด์ Jaeger-LeCoultre (JLC)
Calibre 920
Jaeger-LeCoultre เป็นหนึ่งในผู้ผลิตนาฬิกาที่มีชื่อเสียงที่สุด ได้รับการยกย่องอย่างสูงในธุรกิจนาฬิกาด้วยกัน ไม่เพียงแต่เป็นที่รู้จักในการสร้างนาฬิกาเท่านั้น แต่ยังผลิต Movement ที่มีประสิทธิภาพให้กับบริษัทนาฬิกาที่มีชื่อเสียงหลายแบรนด์
ยกตัวอย่างเช่น IWC ก็ใช้การ Movement จาก JLC มายาวนานแล้ว เช่นเดียวกับ Vacheron Constantin, Patek Philippe และ Audemars Piguet ต่างก็พึ่งพาความชำนาญในการผลิต Movement ของ JLC
ยกตัวอย่างเช่น Calibre 920 ที่ขึ้นชื้อในเรื่องความบาง แบรนด์ Holy Trinity ทั้งสามแบรนด์นี้ก็ได้นำ Calibre 920 นี้ไปต่อยอดให้กับแบรนด์ของตนเอง ประกอบด้วยแบรนด์ Patek Philippe ที่ต่อยอดเป็น Calibre 28-255, Vacheron Constantin เป็น Calibre 1120, 1121, 1122 และ Audemars Piguet เป็น Calibre 2120, 2121, 2122
ด้วยความเชี่ยวชาญทั้งหมดนี้ JLC ไม่ใช่เป็นเพียงบริษัทผลิตและจำหน่ายนาฬิกาธรรมดา ๆ เพราะยังเป็นผู้นำแห่งนวัตกรรม และเป็นผู้อยู่เบื้องหลังในการคิดค้นและผลิตชิ้นส่วนต่าง ๆ ให้แก่แบรนด์ดังหลาย ๆ แบรนด์ จนหลายคนต่างให้ฉายาว่า “Watchmaker’s Watchmaker” ซึ่งต่อมาได้กลายมาเป็น Iconic ของแบรนด์ มีดังต่อไปนี้
Memovox
Memovox เป็นอีกหนึ่งคอลเลคชั่นที่โดดเด่นของทาง JLC สะท้อนให้เห็นถึงความทรงจำผ่านกาลเวลา นาฬิกาตระกูล Memovox ของ Jaeger-Lecoultre นั้นคือนาฬิกาที่มีสไตล์ Vintage
โดยตัวเรือนมาในรูปลักษณ์แบบ Yellow Gold หน้าปัดเป็นสีขาว เข็มหลักชั่วโมงแบบขีดสีทอง ตัวป้องกันหน้าปัดทำมาจากพลาสติกที่คุณภาพรูปทรงโดม ระบบของนาฬิกาเป็นแบบอัตโนมัติแบบโรเตอร์ครึ่งรอบ
ทำให้มีเสียงปลุกที่ไพเราะกว่าเครื่องอัตโนมัติปกติ และมีกลไกเม็ดมะยมสองเม็ดสำหรับตั้งเวลาและตั้งปลุก ด้วยวัสดุต่าง ๆ ที่นำมาใช้ และเอกลักษณ์ในเรื่องของการตั้งเวลาปลุก ทำให้ Jaeger-LeCoultre Memovox นั้น มีเสน่ห์ดึงดูดนักสะสมนาฬิกา Jaeger-Lecoultre อย่างไม่ต้องสงสัย
ลักษณะเด่นที่เป็นเสน่ห์ของ Memovox คือเป็นนาฬิกาข้อมือที่มีเสียง สามารถใช้เป็นเครื่องเตือนสำหรับการประชุมได้เป็นอย่างดี แต่หากวางมันไว้บนโต๊ะด้วยแรงสั่นสะเทือนจะทำให้ก้องกังวานเหมือนนาฬิกาปลุกเลยทีเดียว
เป็นที่ต้องการของนักสะสมเพราะราคาที่ไม่แพงจนเกินไปนัก คุณค่าของ Memovox คือ ทำให้เรานึกถึงเครื่องบันทึกเสียงแบบโบราณ หรือการส่งผ่านข้อความไปยังอีกซีกโลกหนึ่งด้วยโทรเลข จึงไม่แปลกที่จะพูดอย่างเต็มปากว่า Memovox คือสเน่ห์แห่งวันวานที่ส่งผ่านข้ามกาลเวลาสู่ปัจจุบันอย่างแท้จริง
Roverso
Roverso มาจากภาษาละติน มีความหมายว่า “ฉันหมุนกลับได้” ถูกสร้างสรรค์ขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1931 จากกีฬาการแข่งขัน Polo ซึ่งถือว่าเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมในหมู่กษัตริย์ราชวงศ์และสังคมชั้นสูงในสมัยนั้น
เนื่องจากเป็นกีฬาที่ต้องใช้ทักษะในการผสานความทุ่มเทของมนุษย์ ในการตีลูกบอลให้เข้าประตูฝ่ายตรงข้าม โดยในช่วงเวลานั้น Mr. César de Trey หนึ่งในผู้บุกเบิกแบรนด์ JLC ได้เดินทางไปประเทศอินเดีย เพื่อรับชมการแข่งขัน Polo โดย นายทหารอังกฤษนายหนึ่งที่ประจำการอยู่ที่อินเดีย ลงแข่งด้วย
หลังจบการแข่งขัน นายทหารผู้นั้นได้นำนาฬิกาข้อมือที่กระจกหน้าปัดแตกมาให้เขาดู พร้อมคำถามที่ว่า ทำอย่างไรจึงจะสร้างนาฬิกาที่มีกระจกหน้าปัดอันทนทานต่อการแข่งขันกีฬาของพวกเขา
เมื่อ Mr. César de Trey เดินทางกลับประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เขาได้ทำการหารือกับเจ้าของบริษัท Lecoultre ซึ่งว่าจ้างให้ห้าง Jaeger S.A ทำการผลิตอีกทอดหนึ่ง
ดีไซน์เนอร์ชาวฝรั่งเศสของห้าง Jaeger นาม René-Alfred Chauvot จึงได้คิดค้นวิธีการปกป้องคริสตัลอันบอบบางในเรือนนาฬิกา ด้วยการออกแบบนาฬิกาให้ตัวเรือนสามารถหมุนได้ 180 องศาเพื่อสลับเอาหน้าปัดคริสตัลไว้ด้านล่าง
และหมุนด้านหลังที่เป็นโลหะขึ้นมาแทนที่ การออกแบบขั้นสุดท้ายที่ยังคงใช้อยู่ในปัจจุบันนี้ ทำให้ตัวเรือนสามารถหมุนในโครงยึดเพื่อปกป้องกระจกนาฬิกาได้ การออกแบบถือเป็นศิลปะอาร์ตเดโคคลาสสิก (classic of Art Deco)
Westminster
ปิดท้ายด้วยความอลังการจาก JLC ที่สะท้อนความเป็นตัวตนสูงมาก นั่นก็คือการผลิต Westminster เรือนที่มี Movement ที่สุดแสนอลังการ ในครั้งแรก Jaeger-Lecoultre ได้ประกาศว่าจะทำการผลิตนาฬิการุ่น Westminster ออกมาเพียง 18 เรือน และราคาอยู่ที่ประมาณ 28.7 ล้านบาท
ด้วยราคาสูงลิบเช่นนี้ เรามาดูกันว่ามันมีส่วนประกอบอะไรบ้าง นอกจากวัสดุที่ดีเลิศ และความพิถีพิถันในการผลิตที่ดีเยี่ยม Jaeger-LeCoultre Master Grande Tradition Gyrotourbillon Westminster Perpétuel”
เป็นนาฬิกาที่มีกลไกอันสลับซับซ้อนมากที่สุดของ JLC นับเป็นการรวบรวมความรู้ และทักษะขั้นสูงสุดเท่าที่ JLC เคยมีมา และมี Minute reapeeater ที่สามารถบรรเลงเป็นบทเพลง Westminster Carillon ซึ่งเป็น Melody ที่มีชื่อเสียงมาจากหอนาฬิกา Big Ben
ทั้งหมดนี้คือ ประวัติ Jaegar LeCoultre การเดินทางอันยาวนานของอีกหนึ่งแบรนด์นาฬิกาแห่งประวัติศาสตร์ ตัวแทนแห่งความบ้าบิ่นแห่งการสร้างสรรค์นาฬิกาที่มีกลไกสลับซับซ้อนที่สุด
ซึ่งนอกจากจะเป็นผลงานตัวแทนแห่งเครื่องบอกเวลาแล้ว ยังนับว่าเป็นนวัตกรรมและงานศิลปะอันล้ำค่า การพัฒนาที่ไม่หยุดยั้งของ “ประดิษฐกรรมแห่งการบอกเวลา” ด้วยระยะทางที่พิสูจน์แล้วว่า Jaegar LeCoultre เหมาะสมกับฉายา “The Watchmaker of Watchmakers” อย่างแท้จริง
ฝากกดถูกใจ กดแชร์ เพื่อเป็นกำลังใจให้ผมด้วยนะครับ
Reference เชแช-เลอคู (Jaeger-Lecoultre) :
โฆษณา