28 ก.พ. 2023 เวลา 06:23 • ความคิดเห็น
เป็นคำถามที่ชี้ชวนให้คิดถึง สุขภาพ ดีครับ
หลายๆครั้งเราจะได้ยินคำว่า"พ่อแม่รังแกฉัน และต่ออีกว่าฉันก็รังแกตัวเองต่ออีก"
สมัยเด็ก ถ้าลูกของพ่อแม่ร้องเสียงอ้อแอ้ "แจ๊ปจี้ๆ" พ่อแม่ปูย่าตายายก็จะฟินเปล่งเสียงปลื้ม "โอ๊ยน่ารัก น่าร๊ากมาก ! ปลื้มลูกร้องอยากดูดอยากกิน ช่างน่ารักมากมาย ลูกเดินไปเปิดขวดมาดูดเองไม่ได้หรอก พ่อแม่เอาหลอดใส่ปากตั้งแต่ยังอุ้มประครองอยู่เลย
 
จากวันนั้นถึงวันนี้ ลูกๆหลานๆส่งต่อสืบทอดคำว่า
"พ่อแม่รังแกฉัน และฉันก็รังแกตัวเองต่อ" ก็ได้เสพความสุขสดชื่น เสพติดความหวานเข้าไปในระบบเส้นเลือดเสียแล้ว โดยไม่รู้เลยว่ามีคุณมีโทษอย่างไร
ระยะยาว
รู้อย่างเดียวว่า มันอร่อยมากๆ อะไรที่หวานมันอร่อยสุดๆ ตอนนี้มีค่าขนมไปโรงเรียน มีตังส์มีเงินเข้าวิทยาลัย มหาลัย หรือทำงานมีรายได้ของตัวเองก็เสพเต็มๆเลยด้วยความหลงใหลความหวาน ไม่ใช่ติดนะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตมานานแล้ว จนถึงปัจจุบัน
คนที่หันมาเริ่มมอง มาให้ความสำคัญกับ ความหวาน อย่างน้อยก็ยังดีกว่าคนที่
ไม่ต้องการรู้ หรือไม่รู้นะครับ มีโอกาสเลิกเสพติดได้ถ้าเรามีหลักคิดใหม่มากกว่าหลักคิดเดิม ว่าหวานชนะทุกสิ่ง เข้มแข็งพอที่จะละ เลิก แต่ไม่ต้องหยุดกินน้ำตาลนะครับ เพราะมนุษย์ร่างกายมนุษย์ขาดน้ำตาลไม่ได้ ขาดละก็น๊อค เครื่องน๊อคนะครับ
น้องน้ำตาลเป็นสิ่งมีประโยชน์ เป็นสารอาหาร นะครับไม่ใช่สารเสพติด สิ่งเสพติดหรือยาเสพติด อยู่ที่เรามองน้องน้ำตาลในมุมไหนต่างหาก
ถ้ารู้สึกจะป่วยหรือเริ่มมีอาการบางอย่างที่น่าจะมาจากการดื่มกินความหวานมากๆ ก็เริ่มตรวจสอบน้ำตาลในเลือด ลดปริมาณความหวานลง ค่อยๆลดนะครับ
ไม่ต้องคิดแค่ว่า แค่ของหวาน น้ำตาลเท่านั้น แต่ต้องมองถึงอาหารแป้งจากคาโบไอเดตทุกชนิดด้วย เพราะกลไกลระบบร่างกายเปลี่ยนแป้งเป็นน้ำตาลให้เราทุกวันอยู่แล้วไม่กินน้ำตาลก็มีน้ำตาลจากกระบวนการธรรมชาติในร่างกายเรา
โลกผลิตน้ำตาลประมาณ 168 ล้านตันในปี พ.ศ. 2554 โดยเฉลี่ยคนบริโภคน้ำตาล 24 กิโลกรัมต่อปี (33.1 กก. ในประเทศอุตสาหกรรม) เทียบเท่ากับอาหารปริมาณมากกว่า 260 แคลอรีต่อวัน และเรากินน้ำตาลหรือแป้งเพื่อผลิตน้ำตาลกี่เท่าของมาตรฐานต่อวัน ทุกชนิดของน้ำดื่มรสหวานมีน้ำตาลเกินมาตรฐานมากกว่า10 เท่าขึ้นทั้งนั้น เดี๋ยวนี้เลี่ยงบาลี Non Sugar ,หญ้าหวาน. สารแทนน้ำตาล.....มากมายเราดื่มอย่างเมามันส์เพราะมั่นว่าไม่มีน้ำตาล น้ำเปล่าคือเปล่าไม่เจือปนน้ำใสๆคลีนดริ๊งส์ ยิ่งฉลองทีนึง...น้ำตาลขึ้นปรี๊ดปราดเลย
" วันนึงมนุษย์ทั่วไปปกติต้องการน้ำตาลเพียงแค่ 1 ช้อนชา "
น้ำอัดลม น้ำชาเขียว น้ำปั่น น้ำอร่อยหวานมันส์ แก้วนึงมีน้ำตาลมากว่า 15 เท่าของมาตรฐานที่ร่างกายต้องการ หรืออาจเป็นหลายสิบช้อนโต๊ะเสียด้วย
แล้วไม่ป่วยเป็น โรคยอดนิยม โรคตุ้ยนุ้ยจ้ำม่ำ ขึ้นทุกวันได้ไงครับ
วันๆนึงก็ไม่เคยได้มีเวลาBurn เผาผลาญพลังงาน มีแต่เติมเข้าทุกวัน จัดหนัก
และก็ไม่เคย IF ไม่เคยออกกำลังกาย มาแน่ครับ โรคน้ำหนักมากเกินล้นมาก่อน
แขนขารับน้ำหนักมากเกินการอักเสบเจ็บปวด ความดันเบาหวานเรียงแถวมาตามๆกัน สุดท้ายพาลพะโลไปกระทบไตน่าห่วงนะครับ
คิดได้แล้วทำเลยครับ ดีครับเปิดประเด็นเชิญชวนให้คิด อาจไม่ใช่เราแต่จะเป็นเราที่มีหลักคิดให้ลูกหลาน เพื่อนพ้องเข้าใจ ระมัดระวัง ผ่อนเบาหรือลด ละปริมาณที่ไม่พึงประสงค์ของร่างกาย แต่พึงประสงค์ของผู้เสพติดหวาน
" ก็มือคุณถือปากคุณคาบหลอด ปากคุณดื่ม จ่อขนาดนั้น ร่างกายจะขัดได้ไง
ปฎิเสธได้ก็ตอนเขาStrikeป่วย shut down ระบบนั่นแหละจึงจะหยุดได้ "
เคยอ่านข่าวคุณตาวัย60-70 เป็นสำไส้ทะลุขนาดระยะท้ายๆแล้วยังอดพายเรือข้ามฝากไปกินน้ำอัดลมไม่ได้เลย เพราะติดความหวานมาทั้งชีวิต"
ไม่ใช่แกแข็งแรงนะครับ ออดแอดเจ็บป่วยมาตั้งแต่วัยยังไม่ 40 ปี ท้ายสุด
ลำไส้ทะลุมาเติมให้โรคสุดท้ายก่อนลาเสียอีก
อย่าคิดไปไกลเลยครับ เรายังมีเวลา สกัด ยับยั้ง กำจัดจุดอ่อน ปรับเปลี่ยนวิธีการ
ทั้งการกิน การเลือกดื่มซะใหม่ สุขภาพดีแล้วจะหันไปดื่มบ้างก็ยังได้ครับ
โรคอ้วน เจ้าเนื้อมาก อุ้ยอ้าย มีเอวเกิน น้ำหนักตัวเอาไม่ลงมีแต่จะขึ้น
เพราะการกินการใช้ชีวิตไม่สมดุลย์แคลอรี่
" ธรรมชาติของสัตว์โลก โดยเฉพาะมนุษย์ ที่หางยาวแบบลิงเมื่อกินหอยกินปูกินกุ้งจากน้ำแล้วขึ้นต้นไม้ ปีนเก่งจน เปลี่ยนโครงสร้างหางหด กุดไปเพราะใช้ก็งอกพัฒนาการไม่ใช้ประโยชน์ก็รีบกุดหายหดไป "
หยุดคิด ทบทวน การใช้ชีวิตติดแก้วน้ำ เช้ากลางวันเย็น ค่ำ ยิ่งกลุ่มที่ใส่ครีมมันส์
on Top ด้วยละก็ แถมไขมันทรานส์ ด้วย ไม่เคยถาม น้องหลอดเลือดสมอง น้องหลอดเลือดหัวใจ น้องๆเลยว่าเขาอร่อยด้วยมะ ดูดอักดูดอัก ยิ่งเค๊ก เนย คาราเมล
ครีมมันส์ โอย!!! Stoke หรือเส้นสมองเส้นใหญ่ขั้นนายพลแตกแป๊ะปะละ
ตัวย่อ ยวบยาบอ่อนแรงไปข้างนึงเลยละ ถ้าเป็นเส้นพลทหาร เส้นเล็กก็ยังพอแก้ไขฟื้นฟูได้บ้าง
ตามแต่กรณี แต่อย่าเลยครับ ชีวิตเป็นภาระกับตัวเองและคนใกล้ตัวมากๆเลยครับ
" IF โปรแกรมเลยครับ หักดิบเบาๆ เว้นวรรคชีวิต ทานวันละ 2 บ้าง จิตใจเข้มแข็งมากก็ 1 มื้อต่อวันสักอาทิตย์ละ2-3 วัน หรือ 1 สัปดาห์เพื่อresetระบบให้ดึงเอาส่วนเกินจากไขมันสะสม ห่วงยางประจำตัวมาย่อยสลายบ้าง "
อันนี้น้ำหนักลดแน่ครับ สุขภาพดีด้วยครับ
" กินน้อยตายช้า กินมากตายเร็ว"
กินมากลำไส้เพียง 2 คืบจากกระเพาะอาหารจะดูดซึมคุณค่าสารอาหารมากที่สุด
ถ้าเรากินอะไรก็ได้ใส่เข้าไปเต็มสตรีมสำไส้ทำงานดูดซึมไม่ทันก็จะรีบลำเลียงอาหารนั้นลงไปลำไส้ใหญ่อีก 6 เมตร รวมท่อลำเลียงประมาณ 8 เมตร
ทำการคัดสรร แบ่งจัดสรรไปเก็บไว้เป็นไขมันสะสม
วันรุ่งขึ้นมื้อต่อไปก็อัดเข้าไปใหม่ ร่างกายทำงานไม่ทันย่อยสลายไม่ทันก็จะเอา
ไปเก็บสะสมไว้อีกอย่างนี้ซ้ำๆทุกวัน
เคี๊ยวช้าๆเอื้องๆหน่อยเพื่อลำไส้สองคืบ และดูดดื่มความหวานค่อนเป็นน้ำเปล่าวันนี้จะดีกว่ามากครับ
คนหวานไม่ใช่น้ำตาลทำให้หวาน แต่หวานจากความรู้สึก หวานน่ารักสวยงาม
จากข้างใน ไม่ต้องฉาบเชื่อมด้วยน้ำตาล
โฆษณา